รีวิวเส้นทาง ‘พี่โอปอล’ เด็กปวช.วิศวะไฟฟ้า สู่เส้นทางทุน YSEALI (อเมริกา) & ทุน JICA วิจัยป.เอกวิศวะเคมี-สิ่งแวดล้อม Tohoku Univ. (ญี่ปุ่น)

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าน้องๆ สนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม และแอบฝันอยากทำแล็บในประเทศที่ระบบพร้อม งานวิศวกรรมแข็งแรง แถมคุณภาพชีวิตก็ดีมาก “ประเทศญี่ปุ่น” เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าจับตามองสุดๆ

วันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่โอปอล” จากเด็ก ปวช. สายไฟฟ้าที่ค่อยๆ ค้นพบว่าตัวเองอินกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ผ่านประสบการณ์ทุน YSEALI ที่สหรัฐอเมริกา ก่อนตัดสินใจเดินต่อสายวิจัยอย่างจริงจัง และพาตัวเองมาถึงห้องแล็บของ Tohoku University มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของ Japan University Rankings 2025 (อ้างอิงจาก Times Higher Education)

บทสัมภาษณ์นี้เล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของความสนใจ ประสบการณ์แลกเปลี่ยน ไปจนถึงช่วงเตรียมสอบเข้า ป.เอก ที่ชีวิตมีแค่อ่านหนังสือ ไปแล็บ และกินราเมนวนซ้ำๆ จนสอบผ่าน และได้เข้ามาอยู่ในสภาพแวดล้อมการทำวิจัยที่แข็งแรงทั้งด้านวิชาการและคุณภาพชีวิต! // ถ้าพร้อมแล้ว ตามมารู้จักกับเขากันเลยค่ะ

. . . . . . . .

จากเด็กปวช.ไฟฟ้า สู่ป.ตรี-โท วิศวะเคมี
และติดทุน YSEALI ไปแลกเปลี่ยนอเมริกา

ก่อนจะเล่าประสบการณ์ไป YSEALI และชีวิตปริญญาเอกที่ญี่ปุ่น ผมขอแนะนำตัวก่อนครับ

ผมเริ่มต้นจากเรียนโปรแกรม ปวช. สายเตรียมวิศวะไฟฟ้า ช่วงนั้นได้ใกล้ชิดงานด้านพลังงานด้วย ก็เลยค่อยๆ สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม จากนั้นก็ทำเกรดผ่านเกณฑ์เข้า ป.ตรี คณะวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และได้ทำโปรเจ็กต์ร่วมกับบริษัท Big4 พัฒนากระบวนการ Steam Pyrolysis เพื่อเปลี่ยนขยะเป็นเชื้อเพลิง โดยทำแบบจำลองเพื่อหาวิธีจัดการให้ได้ผลผลิตมากที่สุด 

ต่อมาผมต่อป.โท วิศวะเคมีที่จุฬาฯ ทำวิจัยทดลองผลิตสารจากคาร์บอนไดออกไซด์ให้มีมูลค่าเพิ่มเพื่อลดการปล่อย CO₂ ตอนนั้นตั้งใจแล้วครับว่าเดี๋ยวจะต่อป.เอกเพราะอยากเป็นอาจารย์ และเลือกทำเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อหาว่าตัวเองสนใจเรื่องไหนที่สุดด้วยครับ

ระหว่างเรียนปริญญาโท ผมสมัครโครงการ YSEALI ในหัวข้อ Environmental Issues เพื่อไปแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นประเด็นฝุ่นกำลังเป็นเรื่องใหญ่พอดี บวกกับที่บ้านผมทำธุรกิจเกี่ยวกับฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ ทั้งฝั่ง B2B และ B2C เลยทำให้ผมอยากรู้มากขึ้นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วเขาจัดการปัญหานี้กันอย่างไร

ผมเองมีพื้นฐานป.โท ที่มี Specialization และความสนใจด้านสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างชัด น่าจะช่วยให้เตรียมตัวสมัครได้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ขั้นตอนหลักๆ คือกรอกประวัติและประสบการณ์ทำกิจกรรม เขียนเรียงความ และอัดวิดีโอแนะนำตัว โดยผมโฟกัสเล่าว่าทำไมถึงสนใจประเด็นนี้ สมัครโครงการไปเพื่ออะไร และเชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ยังไง เพราะสุดท้ายผมว่าโครงการต้องการมองหาคนที่สนใจปัญหานั้นจริงๆ และมีไอเดียต่อยอดจากโอกาสครั้งนี้ครับ

. . . . . . . .

สรุปไฮไลต์ YSEALI
คลาสเข้มข้น & ช็อตประทับใจเพียบ

ผมได้รับเลือกเข้าร่วมโปรแกรมด้าน Environmental Issues ในโปรแกรมแบ่งเป็น 3 เมือง คือ ฮาวาย เบิร์กลีย์ และวอชิงตัน ดีซี ซึ่งแต่ละที่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างและเกินคาดมากครับ!

เริ่มที่ฮาวาย (Hawaiʻi, USA)
University of Hawaiʻi

ผมอยู่ที่ฮาวายประมาณ 3 สัปดาห์ เมืองนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากหนัง Jurassic World เพราะภูเขาและทะเลอยู่ใกล้กันมาก ฮาวายเด่นเรื่องพลังงานสะอาด เพราะรัฐผลักดันให้แต่ละครัวเรือนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์อย่างจริงจัง ช่วยให้เห็นภาพการใช้พลังงานหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน

ช่วงเวลานี้จะได้เรียนคอร์สของมหาวิทยาลัยฮาวายร่วมกับนักศึกษาท้องถิ่นด้วย ทำให้มีโอกาสเจอผู้คนหลากหลาย ผมได้รู้จักพี่ผู้หญิงจากสิงคโปร์ที่เล่าว่าเคยเป็นคนวางระบบรถไฟฟ้าให้กรุงเทพฯ และผมยังมีโอกาสเป็น Facilitator Conference ที่นำเด็กมัธยมทั้งฮาวายมารวมกัน ทำให้เห็นชัดเลยว่าเยาวชนมีความตื่นตัวและความครีเอทีฟสูงมากกก (ถ้าย้อนกลับไปอายุเท่าน้องๆ ก็คงทำไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ในระดับนั้นครับ)

แล้วฮาวายยังทำให้ผมชอบทะเลมากขึ้น ทั้งสวยและสะอาด แต่อาจจะต้องพึ่งสกิลว่ายน้ำเยอะเพราะคลื่นแรง ผมมีโอกาสได้ลองเล่นเซิร์ฟ ไปไฮกิ้ง เข้าร่วมเซสชันเรียนการกู้ภัยทางทะเล และการดำน้ำตื้น (Snorkeling) ด้วยนะ ใหม่มากครับ! Pupukahi i Holomua

ต่อด้วยเบิร์กลีย์ (Berkeley, California, USA)
University of California, Berkeley

หนึ่งสัปดาห์ที่เบิร์กลีย์เป็นช่วงที่เข้มข้นมาก ผมเป็นสายวิทย์ระดับนึง แน่นอนว่าพอไปถึงมหาวิทยาลัยอันดับ 10 ของโลกจากการจัดอันดับโดย QS Worlds University  Ranking ในปี 2024 แบบนี้ก็ปลื้มใจมากกกกครับ Go Bears! ทั้งบรรยากาศและ vibe สภาพแวดล้อมวิชาการเค้าชัดเจนจริงๆ

ผมได้เข้าเรียนคอร์สกับอาจารย์ที่เป็นคนเขียนหนังสือซึ่งพวกเราสายนี้อ่านกันอยู่จริงๆ ได้เทกคลาส อ่านหนังสือ และมี meet up กับนักศึกษาของเบิร์กลีย์ รวมถึงได้ไปดูโรงงาน และไปเดินทัวร์ Silicon Valley เพราะมีเพื่อนรู้จักคนที่ทำงานใน Google

นอกจากนี้ YSEALI จะมีเครือข่ายศิษย์เก่าที่ไปเข้ามหาลัย Top U. แล้วมาแลกเปลี่ยนกันทั้งเรื่องการเรียนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเรื่องที่เมืองนี้เด่นคือ Waste Management มาก ทำได้อย่างเป็นระบบ ได้เข้าไปดูถึงกระบวนการแยกขยะและเตาเผาจริงๆ ครับ

ปิดท้ายที่เมืองหลวงอเมริกา
อย่าง Washington, D.C.

ชอบมากเพราะส่วนตัวเป็นแฟน Captain America ครับ! 5555 ไฮไลต์คือที่นี่รวมพิพิธภัณฑ์ระดับโลกไว้หลายแห่ง และส่วนใหญ่เข้าฟรีด้วย หลักๆ กิจกรรมที่นี่จะเน้นเรื่องนโยบายและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เราได้พูดคุยกับตัวแทนจาก Department of State ที่มารับฟังประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมโครงการ ทำให้เห็นภาพการทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนโยบายในระดับประเทศเลย

หลักๆ ผมประทับใจตรงที่ได้พูดคุยกับผู้เข้าร่วมจากมหาลัยอื่นๆ โดยเฉพาะเพื่อนจากอาเซียนที่มีความสนใจใกล้กันและตั้งใจกลับไปพัฒนาในประเทศของตัวเอง ถือเป็นการปิดท้ายทริปที่ดีมากครับ

สรุปสิ่งที่ผมได้จาก YSEALI

สำคัญที่สุดสำหรับผมคือเรื่องเพื่อนครับ แม้เราจะมาจากคนละประเทศแต่ต่อติดกันง่าย เพราะคัดมาด้วยเป้าหมายที่คล้ายคลึง อยู่ด้วยกันหลายสัปดาห์จนสนิทเหมือนครอบครัว (ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เลย)

ส่วนในแง่ประสบการณ์ ผมยังได้เห็นมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมในหลายระดับ ตั้งแต่พลังงานสะอาด การจัดการขยะ การศึกษา ไปจนถึงนโยบาย ทำให้ผมเห็นภาพรวมและอยากนำแนวคิดบางอย่างกลับมาทำเพื่อสังคมด้วยครับ

ถ้ามีน้องๆ อยากสมัคร YSEALI ควรเตรียมตัวยังไงดี?

สิ่งแรกที่ผมอยากแนะนำคือถามตัวเองจนมั่นใจก่อนครับ อย่าเริ่มจากการคิดว่าอยากไปอเมริกา หรืออยากไปมหาวิทยาลัยไหน แต่ให้ถามว่าเป้าหมายของเราคืออะไร ไปเพื่ออะไร และทำไมถึงต้องไป คำว่า why สำคัญมาก ถ้าเราตอบคำถามนี้ได้ ในใบสมัครหรือตอนสัมภาษณ์จะสะท้อนออกมาเองว่าเราคิดอะไร ผมว่าเค้าไม่ได้ดูแค่ภาษาหรือพอร์ต แต่อยากเห็นว่าเราเข้าใจและตั้งใจแค่ไหนมากกว่า

สุดท้ายถ้าได้รับเลือก ก็ทำให้เต็มที่ คำว่าพัฒนาตัวเองทำได้ไม่มีที่สิ้นสุดหรอก อย่าคิดว่าเอาเท่านี้พอ ให้คิดว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆ ครับ

. . . . . . . .

ก้าวใหม่ของเด็กทุน JICA
ทำวิจัยป.เอกในญี่ปุ่น

ที่มาที่ไป ทำไมถึงเลือกโทโฮคุ?

หลังกลับจาก YSEALI ผมมั่นใจมากขึ้นว่าตัวเองอยากทำงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อม เลยตัดสินใจเลือกเรียนต่อที่ Tohoku University เพราะสนใจแนววิจัยของอาจารย์หลายท่าน แล้วขออวยยศหน่อยครับ! ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 จาก Japan University Rankings 2025 ของ Times Higher Education

และมี Core Value สำคัญคือ “Research First” ทำให้ผมมั่นใจว่าที่นี่เหมาะกับการทำวิจัยในระยะยาว ซึ่งพอได้เข้ามาจริงๆ ผมรู้สึกว่าบรรยากาศการทำงานค่อนข้างเปิดกว้าง มีอิสระในการคิดและทดลองไอเดียใหม่ๆ ทั้งอาจารย์และเพื่อนในแล็บซัปพอร์ตดีมากครับ

“ช่วง 6 เดือนที่เตรียมสอบเข้า ป.เอก ผมอ่านหนังสือทุกวัน อยู่แล็บตอนกลางคืน กินราเมน แล้วกลับบ้าน วนทุกวันจนสอบผ่าน!”

วิชาที่สอบคือคณิตศาสตร์และวิศวกรรมเคมี ตอนนั้นเครียดมากครับเพราะแนวข้อสอบภาษาอังกฤษมีให้ดูย้อนหลังแค่ 2 ปี ส่วนภาษาญี่ปุ่นผมก็ยังอ่านได้ไม่มาก เน้นไปสู้เอาดาบหน้า มีเวลาสอบ 2 วิชารวมประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ต้องบริหารเวลาดีๆ

อีกอย่างคือผมได้ทุน JICA เลยได้ร่วมกิจกรรมที่เค้าจัดให้ผู้รับทุนจากต่างสาขาในมหาวิทยาลัยต่างๆ มาพบกันที่โตเกียว เพื่อสร้างคอนเน็กชันและแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนในญี่ปุ่นกัน

ทุนยังเปิดโอกาสให้ลงเรียนคอร์สเสริมตามความสนใจทั่วประเทศ ผมเคยไปเรียนคอร์สด้าน Manufacturing ที่ International University of Japan เมืองนีงาตะ เป็นคอร์สที่ได้ลงมือปฏิบัติจริงมีใบประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัย แล้วยังเป็นโอกาสเจอกับเพื่อนจากหลายประเทศ โดยเฉพาะการไป join ในคอมมูนิตี้นักเรียนไทย-ลาว ที่นั่น ซึ่งหลังจบคอร์สก็ยังมีติดต่อกัน และพากันไปเที่ยวทั้งในไทยและญี่ปุ่นด้วยครับ

ถ้าน้องๆ สนใจทุนหรือโครงการฝึกงาน สามารถติดตามข่าวอัปเดตได้ที่เพจ JICA Thailand ซึ่งจะโพสต์ประกาศไว้ตลอด ผมแนะนำให้กดติดตามไว้เพื่อไม่พลาดโอกาสครับ

ชีวิตปัจจุบันของผมในฐานะนักศึกษา ป.เอก ที่ญี่ปุ่น

ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการเรียนปริญญาเอกคือเราต้องมั่นใจจริงๆ ว่าอยากทำ มีเป้าหมายว่าทำไปเพื่ออะไร ไม่ใช่แค่เพราะอยากไปต่างประเทศ เพราะระหว่างทางยังมีเรื่องชีวิตและสังคมเข้ามาอีกเยอะ อย่างน้อยควรทำให้เรื่องการเรียนเป็นสิ่งที่เรารับมือได้ดีที่สุด

ปัจจุบันผมเรียนปริญญาเอกสาขา Applied Environmental Chemistry ที่ Tohoku University งานวิจัยของผมโฟกัสเรื่องการจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งการดักจับ การกักเก็บ และการแปรรูปให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสนใจอยากทำจริงๆ เพราะต้องใช้เวลาหลายปีและต้องคิดสิ่งใหม่อยู่ตลอด พอได้ดูแนวงานของอาจารย์ที่นี่แล้วก็รู้สึกว่าเข้ากับสิ่งที่ผมอยากต่อยอดมากที่สุด

หัวข้องานวิจัยที่ทำอยู่มี  3 ส่วน

  • ส่วนแรกคือการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของกระบวนการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อดูว่ากระบวนการไหนปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์กลับออกมามากน้อยแค่ไหน
  • ส่วนที่สองคือการจำลองการกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ภายในระบบ เช่น ท่อหรือเม็ดวัสดุดูดซับ เพื่อหาจุดที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการได้
  • ส่วนสุดท้ายคือการพัฒนากระบวนการแปรรูปคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม งานทั้งหมดต้องอาศัยความรู้ด้านวิศวกรรมเคมี เทอร์โมไดนามิกส์ และคณิตศาสตร์ผสานกัน ซึ่งเป็นแกนหลักของการทำวิจัยในระดับปริญญาเอกของผมครับ

การปรับตัวในแล็บและการใช้ภาษา

หลักๆ ผมมาด้วยพื้นฐานภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาญี่ปุ่นยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ที่มหาวิทยาลัยมีทั้งคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่นและชมรมภาษาให้ได้ฝึกควบคู่ไปด้วย ก็เลยทำให้ค่อยๆ สื่อสารกับคนในแล็บง่ายขึ้นครับ แต่แนะนำว่าถ้าใครจะมาเรียน ฝึกภาษาญี่ปุ่นไว้ก่อนจะมาช่วยได้มากๆ

สังคมในห้องแล็บ มีความให้เกียรติและเคารพกันสูง มีธรรมเนียมการทักทายเวลาเข้า-ออก คนญี่ปุ่นในแล็บหลายคนจะเก่งมาก ทุกคนก็ช่วยเหลือกันดี ทำให้ผมรู้สึกสบายใจและกล้าถาม กล้าลอง ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ครับ

ความท้าทายและสิ่งที่ได้เรียนรู้

ช่วงแรกผมทำงานหนักเกินไป จนเริ่มรู้ตัวว่าถ้าฝืนต่อเนื่องจะเหมือนรถที่วิ่งจนเครื่องร้อนเกินไป วิ่งไปพังๆ แบบนั้นครับ แต่ถ้าจัดการเวลาให้เป็นระบบ รู้จักพักบ้าง รถก็จะวิ่งได้นานและไกลขึ้น บางทีอาจถึงจุดหมายเร็วขึ้นด้วยซ้ำ

และสำหรับผมการเรียนระดับปริญญาเอกไม่ได้วัดกันแค่ความรู้ แต่การมีใจและความตั้งใจจริงนี่สำคัญสุด ความรู้ยังหาทดแทนได้ แต่ถ้าใจไม่พร้อมก็ไปต่อยาก

. . . . . . . .

รีวิวชีวิตที่เซนได
เมืองแห่งต้นไม้และการศึกษา

ผมว่าการมาเรียนที่เซนได (Sendai, 仙台) เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ที่นี่ถูกเรียกว่า City of Trees หรือเมืองแห่งต้นไม้ เพราะมีพื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ทั่วเมือง เดินไปทางไหนก็เห็นต้นไม้ใหญ่และสวนสาธารณะ บรรยากาสงบกว่าที่คิดและเหมาะกับคนที่อยากโฟกัสงานวิจัย

ธรรมชาติใกล้ตัวที่ช่วยเคลียร์หัว

เซนไดอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง มีร้านค้าครบ เรื่องอาหารก็ดีมาก โดยเฉพาะเนื้อย่างและซีฟู้ด ผมชอบเดินตลาดหรือร้านเล็กๆ ใกล้สถานี เพราะราคาไม่แพงและอร่อย 

ที่สำคัญคือขยับออกมานิดเดียวก็เจอธรรมชาติแล้ว เวลาว่างหรืออยากพักสมอง ผมจะชอบปั่นจักรยานหรือขึ้นเขา ซึ่งเส้นทางจักรยานในเมืองมีเยอะและค่อนข้างปลอดภัย เห็นได้ชัดว่าคนที่นี่รักการออกกำลังกายมาก // ยิ่งช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ต้นไม้เปลี่ยนสีไปทั้งเมือง บรรยากาศสวยและสงบ ช่วยให้ได้เคลียร์หัวและมีแรงกลับไปโฟกัสงานวิจัยต่อ ผมว่าเซนไดเป็นเมืองที่ช่วยบาลานซ์งานวิจัยกับการพักผ่อนได้ดีเลยครับ

เมืองเรียบง่าย คนเป็นมิตร และใส่ใจสิ่งแวดล้อม

วัฒนธรรมของเซนไดค่อนข้างเรียบง่ายและเป็นมิตร คนในเมืองช่วยเหลือดี การเดินทางไม่ซับซ้อน ระบบขนส่งตรงเวลา และเห็นได้ชัดว่าคนที่นี่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวัน ถ้าตัวอย่างนึงที่เห็นคืดการจัดการขยะ ระบบค่อนข้างละเอียดแต่มีตารางของเมืองด้วยครับ

เตรียมตัวยังไงก่อนมาเซนได?

ถ้าพอมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นจะช่วยให้ใช้ชีวิตและคุยกับคนในแล็บได้ง่ายขึ้น กับอีกเรื่องคือสภาพอากาศ โดยเฉพาะหน้าหนาวที่ค่อนข้างเย็น ควรเตรียมเสื้อผ้าให้อุ่นเพียงพอครับ

. . . . . . . .

ถึงน้องๆ ที่กำลังมองหาเส้นทางของตัวเอง

เป้าหมายหลังเรียนจบของผมคืออยากกลับมาเป็นอาจารย์ในไทย และนำความรู้ด้านการจัดการคาร์บอนไดออกไซด์รวมถึงงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมมาช่วยพัฒนางานในประเทศ ผมมองว่างานด้านนี้ยังมีพื้นที่ให้ทำอีกมาก และต้องการคนที่อยากลงมือทำจริงครับ

และไม่ว่าน้องๆ ตั้งเป้าหมายไว้แบบไหน ผมว่าทุกคนมีจังหวะของตัวเอง ขอแค่ตั้งใจ พยายาม และให้โอกาสตัวเองเสมอ ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ ถ้าเกิดน้องๆ สนใจสมัคร YSEALI หรืออยากเรียนต่อด้านสิ่งแวดล้อม ผมอยากให้เริ่มจากการถามตัวเองก่อนว่าอยากไปเพื่ออะไร ถ้าตอบตัวเองได้ชัดเจน การเลือกเส้นทางและประเด็นที่อยากทำจะง่ายขึ้น และจะสื่อสารตัวตนของเราได้ตรงขึ้นทั้งในใบสมัครและการสัมภาษณ์

ส่วนคนที่คิดจะต่อป.เอก ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือใจเลยครับ เพราะต้องใช้ทั้งความอดทนและความรับผิดชอบ ต้องทุ่มเทเวลา มีช่วงที่เหนื่อย แต่ถ้าเรารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ความรู้สามารถค่อยๆ เติมได้ และจะผ่านช่วงยากๆ ไปได้

“If you have a heart, you can do it!”

 

สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากติดตามชีวิตการเรียนและงานวิจัย หรือฮีลใจกับเรื่องราว vibe ญี่ปุ่นๆ ผมมีทำเพจ “ก็แค่โอปอลซังที่ผ่านทางมา” ที่ตั้งใจทำไว้แบ่งปันเส้นทางการเรียนและการใช้ชีวิจครับ และหากใครอยากสอบถามเพิ่มเติม inbox มาได้นะครับ~

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น