‘พี่ดิว’ จากครูอาสาสู่ Chevening Scholar ในรั้ว Oxford พกแพสชันอยากเห็นโลกการศึกษาที่เท่าเทียม!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ใครที่ฝันอยากไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยระดับโลก วันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่ดิว – สุคนธา นิลหยก” ศิษย์เก่าวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้คว้าทุนรัฐบาลอังกฤษ Chevening Scholarship ไปเรียนต่อที่ University of Oxford ในหลักสูตร  Master of Science in Education (Digital and Social Change)  ว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสร้าง “การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา” และยังได้ใช้ชีวิตในเมืองมหาวิทยาลัยที่สวยจนฮีลใจได้ทุกวัน

ว่าแต่เด็กโลกคดีฯ เรียนอะไรบ้างนะ? ทำไมถึงพาเธอเข้าสู่เส้นทางครูอาสาในโครงการ Teach for Thailand จนเห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยตาตัวเอง และจุดแพสชันให้เรียนต่อด้านนี้? แล้วทำไมถึงตั้งโจทย์ใหญ่เพื่อหาแนวทางให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง?  วันนี้พี่ดิวจะมาเล่าตั้งแต่เส้นทางการขอทุน ไปจนถึงชีวิตและความทรงจำสุดพิเศษในรั้ว Oxford ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจไม่รู้จบ

ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันทีรีวิวคลาสเรียนของคณะโลกคดีฯ มธ. กันเลยค่ะ~

. . . . . . . .

ปูเส้นทางสายการศึกษา
ก่อนเช็กอินมหาวิทยาลัยระดับโลก

สวัสดีค่ะ “พี่ดิว – สุคนธา นิลหยก” นะคะ จบ ป.ตรี คณะวิทยาลัยโลกคดีศึกษา (Global Studies and Social Entrepreneurship; GSSE) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  แล้วได้ทุน Chevening ไปเรียนต่อที่อังกฤษ สาขา MSc Education (Digital and Social Change) ของ University of Oxford ปัจจุบันเรียนจบกลับมาทำงานด้านการศึกษาเต็มตัวแล้วค่ะ

จุดเริ่มต้นของดิวเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงมัธยมปลาย ตอนนั้นรู้สึกชอบทั้งธุรกิจและภาษา (+ลึกๆ ชอบการให้คำปรึกษารุ่นน้องด้วย) พอมาเจอหลักสูตร GSSE ซึ่งเป็นภาคอินเตอร์ ก็รู้สึกว่าตอบโจทย์ทั้งหลักสูตรและวิธีการสอนค่ะ

ดิวขอถือโอกาสนี้แนะนำคณะโลกคดีฯ ไว้เผื่อมีรุ่นน้องที่กำลังตัดสินใจเลือกคณะ

  • หลักสูตรนี้จะไม่ได้เรียนแบบ lecture-based แต่เป็น activity-based และ problem-based learning อาจารย์หลายท่านจบจากมหาวิทยาลัยระดับโลก แนวการสอนก็ได้รับอิทธิพลจากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก นั่นก็คือการให้อ่าน case ล่วงหน้าแล้วมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในคลาส ซึ่งทุกคนต้องเตรียมตัวเพื่อไม่ให้เสียคะแนนส่วน participation นี้ไปค่ะ ดิวเลยอยากยกเครดิตให้คณะนี้ที่ฝึกให้เราคุ้นชินกับการคิด วิเคราะห์ และแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล ซึ่งได้ใช้เต็มๆ ที่ Oxford
     
  • เรียนครอบคลุมทั้งจิตวิทยาองค์กร สังคม และธุรกิจ เพื่อให้เข้าใจโลกาภิวัตน์และหลักการทำธุรกิจเพื่อสังคม ซึ่งดิวว่าเป็นหลักสูตรที่แปลกใหม่ในไทย ณ ตอนนั้น เพราะช่วยให้เรานำแนวคิดเรื่องความยั่งยืนและธุรกิจมาประยุกต์กับการแก้ปัญหาสังคมจริง ผ่านกระบวนการ Design Thinking
     
  • คณะให้นักศึกษาออกแบบและลงมือทำกิจกรรมเอง โดยมีอาจารย์คอยเป็น mentor ทำให้ได้ฝึกคิด วางแผน และลงมือจริง รวมถึงมีระบบ Community-based Learning ที่ให้นักศึกษาฝึกงานทุกปี ตามธีม เช่น ปี 1 ธีม “สังคมและชุมชน” (ทำใน Education Consulting Company) ปี 2 ธีม “ธุรกิจเพื่อชุมชน” (ทำในองค์กรธุรกิจเพื่อสังคมที่ดูแลโครงการข้าวและเมล็ดกาแฟออร์แกนิก) ส่วน ปี 3 เลือกได้อิสระ ดิวเลยฝึกกับบริษัทหนึ่งในเครือ Estée Thailand ค่ะ

จะเห็นว่าแต่ละปี GSSE จะวางรากฐานให้เราได้ฝึกทักษะสำคัญต่อโลกการทำงานทั้งด้านธุรกิจเพื่อสังคมและภาคเอกชน ได้เห็นการทำงานจริงในหลายมิติ (ตอนนี้อาจมีปรับรูปแบบบ้าง แต่ยังมีระบบฝึกงานช่วงปิดเทอมเหมือนเดิม) ที่สำคัญคือคณะนี้ปลูกฝังให้เรามองโครงสร้างสังคมทั้งในและต่างประเทศอย่างเข้าใจและรอบด้าน

ด้วยความที่ดิวชอบเวลาได้โค้ชน้องๆ และพูดคุยกับคนอื่นๆ สไตล์ครู ตอนเรียนเลยได้ทำหลายบทบาทมากๆ ทั้งประธานนักศึกษาและพิธีกร มีโอกาสจับไมค์ตลอด พอเรียนจบก็ได้ปรึกษาอาจารย์ที่ GSSE (แต่ละท่านเปิดกว้างและคอนเน็กชันดีมากๆ) เค้าช่วยสะท้อนตัวเราว่ามีจุดแข็งเรื่องศิลปะการสื่อสารและการเล่าเรื่องให้ผู้ฟังสนใจ เลยแนะนำให้ไปสมัครโครงการ  Teach for Thailand  ซึ่งที่อเมริกาก่อตั้งมามากกว่า 30 ปีแล้ว และเป็นเส้นทางที่คนในแวดวงนโยบายหลายคนเคยผ่านมาก่อน โครงการนี้เปิดมุมองให้เข้าใจโครงสร้างสังคม ชุมชนเพื่อที่จะไปทำงานด้านที่สร้างผลกระทบเชิงบวกค่ะ

Teach for Thailand คืออะไร?

โครงการที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าไปสอนในโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตอนนั้นดิวสอน 2 ปีที่โรงเรียนในอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ก่อนสอนจะมีการอบรมเข้มข้น เพื่อให้มีเครื่องมือและองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นครูก่อนค่ะ

ช่วงนั้นตรงกับโควิดพอดี ทำให้ต้องเปลี่ยนการเรียนการสอนจากในห้องเรียนไปเป็นออนไลน์ทั้งหมด ดิวเห็นปัญหาชัดมากว่าเด็กหลายคนเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ทั้งเรื่องอุปกรณ์ อินเทอร์เน็ต และความรู้ในการใช้เทคโนโลยี เด็กที่เก่งเทคโนโลยีก็ไปได้ไว แต่ถ้าไม่ได้ก็ตามไม่ทัน ซึ่งทำให้เห็นว่าความไม่พร้อมเหล่านี้ส่งผลต่อโอกาสทางการเรียนรู้มากจริงๆ
 

ระหว่างสอนในโครงการ ดิวก็เริ่มคิดต่อว่าจะเรียนต่อด้านไหนถึงจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากที่สุด จนมาเจอหลักสูตร MSc Education (Digital and Social Change) ของ University of Oxford ที่ตั้งเป้าให้ผู้เรียนใช้ทักษะคิดวิเคราะห์และบูรณาการทฤษฎีเข้ากับเทคโนโลยีการศึกษา เพื่อพัฒนาแนวทางใหม่ๆ ที่ทำให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกัน ซึ่งสอดคล้องมากกับโจทย์ที่ดิวสนใจคือ เทคโนโลยีช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้จริงไหม หรือในบางมุมกลับยิ่งขยายช่องว่างให้กว้างขึ้นกันแน่  ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่พาไปต่อยอดเส้นทางสู่ Oxford ค่ะ
 

เตรียมตัวสมัคร Chevening & Oxford
ระหว่างทำ Teach for Thailand

ช่วงที่ทำ Teach for Thailand ดิวเริ่มวางแผนเรียนต่อไปพร้อมกัน อันดับแรกคือศึกษาคณะให้ดีและวางแผนละเอียด โดยยังไม่ต้องเครียดเรื่องคู่แข่ง แต่ให้โฟกัสก่อนว่าโรงเรียนในชุมชนต้องการอะไรมากที่สุด แล้วพยายามทำโครงการมาซัปพอร์ตให้ดี

ปีแรกดิวใช้เวลาปรับตัวกับระบบของโรงเรียน ส่วนปีที่สองเริ่มลุยเรื่องเรียนต่อจริงจัง ซึ่งพอตั้งเป้าหมายชัดว่าอยากเข้า Oxford ก็รู้เลยว่านี่คือเป้าหมายใหญ่ที่ต้องเตรียมตัวหนัก เราต้องมีทั้งประสบการณ์และผลงานที่สอดคล้องกับสิ่งที่อยากเรียน  ดิวเลยลองสังเกตปัญหาที่เจอจากการสอน แล้วเริ่มทำโพรเจกต์เล็กๆ ของตัวเองขึ้นมา นั่นคือ Digital Handbook  สำหรับผู้ปกครอง เพื่อช่วยให้เข้าใจการเรียนออนไลน์ของบุตรหลานมากขึ้น เช่น วิธีส่งงานในไลน์ การใช้แพลตฟอร์มพื้นฐาน หรือการดูแลความปลอดภัยของลูกในโลกออนไลน์ พอได้นำไปใช้จริงก็ได้รับผลตอบรับดี จนได้นำมาต่อยอดทำเป็น Dissertation ตอนเรียนที่ Oxford ด้วย

Tips:

  • เวลาเราจะสมัครเรียนต่อ ไม่ว่าจะปริญญาตรีหรือโท สิ่งสำคัญคือประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่เรามีจริงๆ เพราะจะทำให้เราเล่าได้ชัดว่าทำไมถึงอยากเรียนด้านนั้น และจะสร้างประโยชน์หรือ contribute ให้กับเพื่อนร่วมคลาสได้อย่างไร
     
  • ตอนเตรียมสมัคร ดิวใช้วิธีคิดย้อนกลับ คือถ้าเป้าหมายคือการเรียนที่ Oxford ก็ต้องดูว่าคณะนี้มองหาอะไรบ้าง เช่น ผลงานแบบไหน คะแนนเท่าไร ใครที่สามารถเขียนจดหมายแนะนำให้เราได้ แล้วถ้ายังขาดประสบการณ์ด้านไหนก็ค่อยๆ วางแผนเติมให้ครบทีละส่วน

เราวางไทม์ไลน์ยังไงบ้าง?

ดิวเริ่มวางแผนสมัครทั้งมหาวิทยาลัยและทุน Chevening ควบคู่กันค่ะ

  • สิงหาคม ทุน Chevening เปิดรับสมัคร ดิวเริ่มเขียนเรียงความและเตรียมเอกสารทันที
  • พฤศจิกายน ส่งใบสมัครทุนไปก่อน ซึ่งระบบจะให้เลือก 3 อันดับ ดิวเลือกคณะที่อยู่ในแนวเดียวกันเพื่อแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนในแพสชัน ช่วงนี้ก็พัฒนา Statement ให้โยงกับมหาวิทยาลัยที่อยากเข้าไว้ล่วงหน้า
  • ธันวาคม – มกราคม เป็นช่วงสมัครมหาวิทยาลัย ดิวเลือกยื่นที่ Oxford เพราะรู้สึกว่าโปรแกรม MSc Education (Digital and Social Change) ตอบโจทย์สิ่งที่อยากทำที่สุด จึงเตรียมผลงานและประสบการณ์ต่างๆ มาเติมเต็มพอร์ตให้พร้อมที่สุด 
    *แนะนำเลยว่าให้ยื่นสมัครมหาวิทยาลัยตาม 3 อันดับที่เราเขียนไว้ในใบสมัครทุน เพราะถ้ายื่นเพียงที่เดียวแบบดิวจะเสี่ยงพอสมควรเลยค่ะ
  • มีนาคม  มหาวิทยาลัยประกาศผล ได้รับ Offer เข้าเรียนและถูกเรียกสัมภาษณ์รอบสุดท้ายพอดี ช่วงนั้นทาง Chevening ก็เริ่มเรียกสัมภาษณ์เช่นกัน ดิวเลยถือโอกาสแนบ Offer จาก Oxford ไปตอนสัมภาษณ์ทุนในเดือนเมษายน ทำให้เพิ่มน้ำหนักมากขึ้น
  • มิถุนายน  ได้รับข่าวดีว่าผ่านการคัดเลือกทุน Chevening แล้วค่ะ!

Tips:  ดิวจะแนะนำทุกคนตลอดว่าถ้าอยากยื่น Chevening ให้สมัครมหาวิทยาลัยรอบ early bird ไว้ก่อน เพราะถ้ามีผลตอบรับจากมหาวิทยาลัยจะยิ่งเป็นแต้มต่อ ซึ่งคนที่ยื่นธันวาคมกับมกราคม จะได้รอบสัมภาษณ์ต่างกันด้วย

พี่ดิวยื่นเอกสารและคะแนนอะไรบ้าง?

  • Oxford กำหนด ป.ตรี ต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ซึ่งตอนนั้นดิวได้เกรด 3.55 ผ่านเกณฑ์ของคณะที่ ม.ธรรมศาสตร์ แบบเฉียดฉิวสุดๆ // แนะนำว่าน้องๆ ป.ตรี ห้ามทิ้งเกรดค่ะ
  • ตัวอย่างงานเขียนวิชาการ 2 ฉบับ ฉบับละประมาณ 1,000 คำ
  • จดหมายแนะนำ (Recommendation Letters) 3 ฉบับ
  • ยื่นคะแนน IELTS 7.5 // ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับคณะว่าจะกำหนดคะแนนภาษาเท่าไหร่ ถ้าเรียนสายวิชาการ งานวิจัย ที่ต้องพูดและเขียน แสดงความคิดเห็นหรือจุดยืน ก็ต้องใช้ High Level (7.5 ขึ้นไป แต่ละ band ไม่ต่ำกว่า 7) ถ้าใครเรียนนานาชาติจะขอ waive ได้ ทำเรื่องกับคณะเพื่อรับรองว่าเราเรียนมาเป็นภาษาอังกฤษจริงๆ

สำหรับเรียงความแนะนำตัว หรือ Statement of Purpose (SOP) ต้องยื่นทั้งทุนและมหา’ลัย

  • SOP ของ Chevening มีทั้งหมด 4 หัวข้อ หัวข้อละประมาณ 300 คำ เน้นให้เราเขียนเรื่อง Leadership, Networking, Study in the UK และ Career Plan
  • SOP ของ Oxford  จะยาวกว่าประมาณ 1,000 คำ และต้องแสดง Critical Reflection เล่าว่าทำอะไรมา ทำไมถึงสำคัญ และเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะไปเรียนต่อยังไงบ้าง สิ่งนั้นถึงสำคัญ และเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะไปเรียนยังไง

ความยากของ SOP คือเค้าจำกัดจำนวนคำค่ะ ดังนั้นต้องคัดเลือกประสบการณ์ที่นำเสนอตัวตนและความสนใจของเราได้ชัดที่สุด เช่น ดิวหยิบยกการทำ Teach for Thailand มาเขียนลง SOP ค่ะ

Tips:  แนะนำให้เขียนเอง พยายามอย่าใช้ AI เรียบเรียงค่ะ นอกจากเค้ามีเครื่องตรวจจับแล้ว และกรรมการเองก็อ่านออกว่าอันไหนเป็นเสียงของเราจริงๆ บ้าง // ส่วนตัวดิวใช้ AI ตั้งคำถามกลับค่ะว่า  “ถ้าเราเขียนแบบนี้ คนอ่านจะอยากรู้ต่อไหม?” หรือ “ตอบโจทย์ทุนพอหรือยัง?” วิธีนี้จะช่วยให้เราเขียนได้ตรงประเด็นและเป็นตัวเองมากที่สุดค่ะ

ตอนรู้ผลว่าตัวเองได้ Oxford ดิวดีใจมากกกก เพราะเป็นมหาวิทยาลัยในฝัน เราตั้งใจปลุกปั้นทุกอย่างจนได้มาอยู่จุดนี้ ต่อไปคือเตรียมตั้งรับกับความท้าทายที่กำลังจะเริ่มต้นในไม่ช้าค่ะ!

. . . . . . . .

นี่แหละชีวิตในคลาสระดับโลก
เล่าให้อ่านเพลินๆ ใน 5 ข้อ

ที่ Oxford ไม่ได้มีแค่การเรียนเท่านั้น แต่คือการได้อยู่ในสังคมแห่งการตั้งคำถาม แลกเปลี่ยน และเรียนรู้จากผู้คนที่มาจากต่าง background การใช้ชีวิตในเมืองที่สงบและมีเสน่ห์มากๆ เพื่อให้เห็นภาพกันชัดขึ้น ดิวจะขอรีวิวชีวิตนักศึกษาให้ฟังแบบเพลินๆ นะคะ

1. อ่านเยอะ เขียนเยอะ แต่สนุกมาก!

หลักสูตรนี้เน้นศึกษาความเปลี่ยนแปลงของสังคมยุคดิจิทัลกับระบบการศึกษา ซึ่งตรงกับสิ่งที่ดิวเจอตอนสอนช่วงโควิดพอดี ตลอดหนึ่งปีมีทั้งหมด 6 วิชา เข้มข้นแต่สนุกเพราะอาจารย์เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอด

การเรียนที่นี่เน้นการคิดวิเคราะห์เชิงลึก และต้องมีกรอบแนวคิดหรือ framework รองรับเสมอ ทุกอย่างต้องอ้างอิงทฤษฎี มีการใช้ reference และแนวคิดทางสังคมมาประกอบซะเยอะ ทำให้เข้าใจเลยว่านี่แหละคือการคุยเชิงวิชาการของจริงค่ะ!

2. วิชาที่เปลี่ยนมุมมองต่อความยุติธรรม

ขอเล่าถึงตัวอย่างวิชาที่ชอบสุดๆ นั่นก็คือ  Social Justice  เป็นคลาสที่พูดถึงความยุติธรรมในหลายมิติ ทั้งสังคม นโยบาย และเทคโนโลยี เราจะได้ลองตั้งคำถามว่าระบบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ยุติธรรมจริงไหม หรือยังมีใครที่ถูกมองข้ามอยู่บ้าง

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจมากคือ Decolonization หรือแนวคิดการปลดอาณานิคม ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์กับเทคโนโลยีด้านการศึกษาได้ เช่น หลักสูตรออนไลน์ทั่วโลกส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แล้วคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษล่ะ เขาเข้าถึงความรู้ได้เท่ากันไหม หรือแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์รองรับผู้เรียนที่มีความหลากหลายจริงหรือเปล่า

อาจารย์จะคอยชวนให้เราตั้งคำถามเหล่านี้ เพื่อมองเห็นโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ว่าส่งผลต่อความเท่าเทียมทางการศึกษาอย่างไรบ้างค่ะ

3. อะไรใหม่ๆ คือมีระบบให้ลองก่อนสอบจริง!

ที่ Oxford งานจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ

  • Formative ส่งงานเพื่อรับคำแนะนำและข้อเสนอแนะจากอาจารย์ก่อนการประเมินจริง เพื่อให้รู้แนวทางและจุดที่ควรพัฒนา
  • Summative  การส่งงานที่เค้าจะนำไปคิดคะแนนจริงๆ

ทุกสัปดาห์จะมีทั้งการอ่านบทความและเขียน Reflection เยอะมาก แต่สิ่งที่ดิวชอบคือความใส่ใจของอาจารย์แต่ละท่าน เพราะจะมีให้ feedback อย่างละเอียดและจริงใจ เหมือนค่อยๆ ดึงศักยภาพของนักเรียนออกมาทีละนิด ทำให้เห็นพัฒนาการของตัวเองชัดขึ้นเรื่อยๆ

4. เพื่อนร่วมคลาสจากหลายประเทศ 

สิ่งที่ทำให้คลาสสนุกและมีชีวิตชีวาคือเพื่อนจากทั่วโลก ทั้งอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย จีน อินโดนีเซีย แอฟริกา ปากีสถาน อินเดีย ฯลฯ บรรยากาศตอนเรียนเลยเต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจมาก ได้ฟังตัวอย่างจากประเทศของแต่ละคนมาเทียบกัน ประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ หรือความอยุติธรรมในสังคม เราจะเห็นความซับซ้อนและหลากหลายจากมุมที่เราอาจนึกไม่ถึงมาก่อน

5. โพรเจกต์จบที่ต่อยอดจาก Teach for Thailand

ดิวทำวิทยานิพนธ์หัวข้ออุปสรรคของผู้ปกครองรายได้น้อยในการสนับสนุนการเรียนดิจิทัลที่บ้าน เพราะช่วงโควิดเราเห็นชัดว่าผู้ปกครองหลายคนตั้งใจช่วยลูกเรียนมาก แต่มีข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี ทั้งอุปกรณ์ ความเข้าใจ และการต้องทำงานไปด้วยจนไม่มีเวลาส่งเสริมการเรียนของบุตรหลานเต็มที่

งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยใช้กรอบแนวคิด 3 เสาหลัก ได้แก่

  • Role Construction การมองบทบาทของตนเองในฐานะผู้สนับสนุนการเรียนของลูก
  • Self-efficacy ความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง
  • Context หรือบริบทของครอบครัว

เมื่อนำทั้ง 3 ส่วนมาวิเคราะห์ร่วมกัน ก็ช่วยให้เห็นภาพชัดว่าผู้ปกครองกำลังเผชิญอุปสรรคอะไรบ้างค่ะ

ความยากที่ดิวเจออยู่ที่ขั้นตอนการเก็บข้อมูล  ต้องเลือกกลุ่มเป้าหมาย ติดต่อโรงเรียน ทำโปสเตอร์ และวางไทม์ไลน์การสัมภาษณ์อย่างละเอียด พร้อมค่าตอบแทนเล็กน้อยให้ผู้เข้าร่วม (สามารถเขียนขอทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยได้ด้วย) อย่างไรก็ตาม ดิวมองว่านี่คืองานที่ช่วยสะท้อนเสียงของผู้ปกครองให้คนทำงานด้านนโยบายเข้าใจสถานการณ์จริงมากขึ้น  ว่าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลต้องเริ่มจากการเข้าใจคนในระบบ และในอนาคต ผลการศึกษานี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปใช้ประกอบการออกแบบนโยบายการศึกษาได้ค่ะ

. . . . . . . .

เรียนหนัก เที่ยวหนัก
แต่ใจฟูทุกวัน!

ดิวชอบที่ Oxford เพราะรอบตัวเต็มไปด้วยมหาวิทยาลัย ห้องสมุด และผู้คนที่ตั้งใจทำสิ่งที่ตัวเองรัก ถ้าให้รีวิวสั้นๆ ก็คือ “เรียนหนัก เที่ยวหนัก ปาร์ตี้หนัก” ค่ะ 

เมืองแห่งความสงบและเสน่ห์ของการเรียนรู้

ที่นี่ไม่มีตึกสูงหรือแสงสี เหมาะกับชีวิตนักศึกษา ที่นี่มีห้องสมุดมากกว่า 50 แห่งกระจายทั่วเมือง เดินไปมุมไหนก็เจอมุมให้นั่งอ่านหนังสือได้หมด ถ้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็ขึ้นรถไฟไปลอนดอนได้ในแค่ชั่วโมงเดียว

ช่วงที่สนุกที่สุดคือการได้ออกเดินทางไปเมืองต่างๆ ในอังกฤษ บรรยากาศดี บ้านเมืองสวยจนจรรโลงใจ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นคนแอคทีฟขึ้นเยอะ ชอบเดินเล่นและทำกิจกรรม outdoor ตลอดเวลา แถมยังได้ไปเที่ยวประเทศรอบๆ ยุโรปด้วย (แต่ต้องขอวีซ่าเชงเก้นเพิ่มนะคะ) ถ้ามีเวลาอยากให้ลองออกไปเปิดมุมมองใหม่ๆ ผ่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของแต่ละเมืองดูค่ะ

คอลเลจที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง

ที่ Oxford นักศึกษาทุกคนจะมี College สังกัดควบคู่กับคณะ เหมือนบ้านหลังที่สองที่ดูแลเราครบทั้งเรื่องเรียน การใช้ชีวิต และสุขภาพจิต ดิวเองก็มีช่วงที่รู้สึกกดดันว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ แต่ระบบซัปพอร์ตที่นี่ดีมาก ทั้ง Supervisor ประจำคณะ และ Advisor ประจำคอลเลจคอยสนับสนุให้ผ่านช่วงยากๆ มาได้

ตอนนั้นดิวอยู่ที่ Lady Margaret Hall (LMH) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำ River Cherwell ที่นี่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1879 ในฐานะคอลเลจแรกของ Oxford ที่เปิดรับนักศึกษาหญิง (และเริ่มรับนักศึกษาชายในปี 1979) ต่อมาก็เป็นคอลเลจแรกของ Oxbridge ที่จัด Foundation Year สำหรับนักเรียนจากกลุ่มด้อยโอกาส เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษาระดับโลกได้อย่างเท่าเทียม ทำให้ LMH เด่นเรื่องการสนับสนุนความเสมอภาคอย่างชัดเจนเลยค่ะ

แล้วเรื่องนึงที่รู้สึกโชคดีมากกก ก็คือได้ College Advisor เป็นอาจารย์ของ Oxford ที่เกษียณแล้วแต่ยังมาสอนอยู่ ท่านใจดีและให้คำแนะนำดีมาก โดยเฉพาะเวลารู้สึกไม่มั่นใจหรือปรับตัวยาก ท่านจะให้เราอ่าน materials แล้วสะท้อนความคิดกลับให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น

ดินเนอร์มื้อหรูที่ห้องโถงสุดคลาสสิก

หนึ่งในประเพณีเก่าแก่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Formal Dinner หรือมื้อค่ำสุดทางการของแต่ละคอลเลจ เราจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังเลยค่ะ! ทุกคนต้องแต่งกายสุภาพและใส่ชุดครุยประจำคอลเลจ นั่งรับประทานอาหารสามคอร์สในห้องโถงใหญ่ใต้แสงเทียน เสิร์ฟโดยเจ้าหน้าที่ในชุดยูนิฟอร์ม มีเสียงไวน์ชนแก้วเบาๆ ที่ทำให้รู้สึกพิเศษทุกครั้ง

ตอนแรกดิวตื่นเต้นมากกกก มีไปหาซื้อชุดด้วย (จริงๆ แต่งเดรสปกติได้ ยกเว้นบางคอลเลจที่เจ้าบ้าน (Host) จะต้องใส่ sub-fusc) พอถึงวันจริงก็เห็นบรรยากาศที่สวยและขลังมากๆ ได้เจอเพื่อนหลายคณะมานั่งทานข้าว พูดคุย แลกเปลี่ยนกันแบบอบอุ่นมากกก

นอกจากงานดินเนอร์ แต่ละคอลเลจยังมีหลายกิจกรรมให้เข้าร่วม ตั้งแต่งาน Ball ที่ปิดมิวเซียมทั้งหลังเนรมิตเป็นลานปาร์ตี้ มีวงดนตรีสดกับดิสโก้บอลระยิบระยับ ไปจนถึงกิจกรรมเล็กๆ อย่างดูหนังในสวน พอได้เจอโมเมนต์แบบนี้ก็คือฮีลใจสุดๆ ไปเลยค่ะ!

ชุด Sub fusc  = การแต่งกายอย่างเป็นทางการของนักศึกษามหาวิทยาลัย Oxford สวมในพิธีสำคัญ เช่น พิธีรับเข้าเป็นนักศึกษาและสอบ
ชุด Sub fusc  = การแต่งกายอย่างเป็นทางการของนักศึกษามหาวิทยาลัย Oxford สวมในพิธีสำคัญ เช่น พิธีรับเข้าเป็นนักศึกษาและสอบ

คำแนะนำถึงน้องๆ
อย่าลืมวางแผนเพื่อใช้เวลาให้คุ้มที่สุด

ตอนอยู่ Oxford มีกิจกรรมและคลับน่าสนใจให้เลือกเยอะมาก ทั้ง Talk, Seminar และกิจกรรมอีกหลายรูปแบบ ลองถามตัวเองว่าอยากเรียนรู้หรือมีส่วนร่วมกับอะไร แล้วเลือกทำสิ่งนั้นให้เต็มที่ตามเช็กลิสต์ที่วางไว้ จะได้ไม่รู้สึกเสียดายทีหลัง
 

สิ่งหนึ่งที่ดิวแอบเสียดายคือไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกของ Oxford Union สมาคมนักศึกษาชื่อดังของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเรื่องการดีเบตระดับโลก และมักเชิญบุคคลสำคัญมาพูดคุยอยู่บ่อยๆ หลายกิจกรรมของที่นี่เปิดเฉพาะให้สมาชิกเท่านั้น ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์จะต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แนะนำให้น้องๆ วางแผนเรื่องเวลาและการเงินไว้ตั้งแต่ต้น เพื่อไม่พลาดโอกาสดีๆ ระหว่างเรียนค่ะ
 

. . . . . . . .

กลับมาทำงานสายที่รัก
ด้วยมุมมองที่กว้างกว่าเดิม

ดิวเชื่อว่าการได้อยู่ในที่ที่เหมาะกับตัวเอง จะทำให้เราใช้สิ่งที่เรียนมาได้เต็มที่ค่ะ หลังเรียนจบ ดิวเลือกกลับมาทำงานด้านการศึกษาที่รัก ปัจจุบันทำงานที่ Mastery School Bangkok by Crest โรงเรียนที่ใช้หลักสูตรไทยควบคู่กับของออสเตรเลีย นักเรียนเรียนสองระบบพร้อมกัน และจบออกมาพร้อม Diploma สองใบ

การกลับมาอยู่ในห้องเรียนหลังจบ Oxford ทำให้ดิวมองภาพการศึกษาในมุมกว้างขึ้น และเห็นบทบาทของครูชัดขึ้นด้วย ที่สำคัญคือการคิดอย่างเป็นระบบ ดิวพยายามเชื่อมสิ่งที่เรียนกับสถานการณ์จริงในห้องเรียนเพื่อดูว่าสิ่งไหนนำไปใช้ต่อได้ค่ะ

เพื่อนๆ คนไทยใน oxford มา formal dinner ร่วมกัน
เพื่อนๆ คนไทยใน oxford มา formal dinner ร่วมกัน
เพื่อนร่วมรุ่นที่คณะ
เพื่อนร่วมรุ่นที่คณะ
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น