ถ้าเรานึกย้อนไปอดีต ข้อสอบสมัยอนุบาล ให้ระบายสี วงกลมรูปภาพ โตมาหน่อยก็เป็นข้อสอบโยงเส้น จับคู่ ตามมาด้วยข้อสอบช้อยส์ 3 - 4 ตัวเลือก แต่น้องๆ รู้หรือเปล่าว่าในระดับมหาวิทยาลัย จะมานั่งหาข้อสอบแบบกากบาทหรือฝนคำตอบนั้นแทบจะไม่มีแล้ว เพราะเราต้องรู้ทุกเรื่องที่เรียนอย่างถ่องแท้ จะเข้าไปฝนข้อสอบมั่วๆ ไม่ได้ ซึ่งในวันนี้พี่มิ้นท์ได้รวบรวมรูปแบบการสอบที่น่าสะพรึง ตะลึงตึงๆ มาฝากน้องๆ ค่ะ ลองนึกภาพตามว่า ถ้าน้องๆ ต้องเจอการสอบแบบนี้ จะทำหน้ากันยังไง
1. ข้อสอบเขียน
สอบข้อเขียนในระดับชั้นเรียนที่สูงขึ้น เป็นข้อสอบ "เขียน" จริงๆ ไม่ใช่การเติมคำ ไม่ใช่จับคู่ ไม่ใช่เขียนเพื่อให้การสอบฟังดูสวยหรู แต่น้องๆ จะได้เขียนร่ายยาวกันเป็นหน้ากระดาษ A4 กับโจทย์ 1 ข้อ โดยเฉพาะคณะทางสายศิลป์ อย่างคณะอักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ รัฐศาสตร์ โดนแน่นอนค่ะ อย่างเช่น โจทย์ถามว่าทำไมเราต้องแปรงฟัน โจทย์ก็จะมาแค่นี้ แต่พื้นที่ให้ตอบ มีตั้งแต่ระบุบรรทัด ไปจนถึงให้กระดาษมา 5 แผ่นแม็กติดมากับกระดาษคำถาม ส่วนคำตอบของเราจะเขียนอะไรก็เชิญเขียนตามอัธยาศัย (แต่ต้องเขียนให้ตอบโจทย์ที่ถามมาด้วยนะ)
การเตรียมตัวสอบข้อเขียน คงขึ้นอยู่กับความรู้ที่น้องๆ มี เรียกว่าต้องประมวลทุกอย่างในหัวออกมาเขียน ซึ่งน้องๆ จะต้องปรับตัวจากตอนเรียนมัธยมมากๆ เลย อย่างแรกคือ ต้องเรียนด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ท่องจำ หากใช้วิธีท่อง เกิดสะดุดตอไม้สติหลุดเขียนคำตอบไม่ได้แน่ๆ ค่ะ อีกอย่างถ้าคำถามมาไม่ตรงกับที่เราท่องจำก็ทำไม่ได้อีก แต่ถ้าเราเรียนแบบเข้าใจก็จะสามารถเรียบเรียงคำตอบได้อย่างเป็นระบบ :D
ข้อสอบแบบหลายช้อยส์ที่น้องๆ เคยเจออาจจะสูงสุดแค่ 5 ตัวเลือกใช่มั้ยคะ แต่ระดับมหาวิทยาลัยแอดวานซ์กว่านั้นหลายขุมนัก โดยคำถามชุดนึงอาจจะมีช้อยส์ถึง 20 ตัวเลือก แต่ใช้ร่วมกับคำถามหลายๆ ข้อ คล้ายๆ กับข้อสอบเติมคำภาษาอังกฤษที่จะมีแผงคำตอบอยู่ด้านบน แล้วให้เลือกลงช่องว่างให้ถูกต้อง สำหรับข้อสอบแบบนี้ ต้องยกนิ้วเรื่องความยากเลยค่ะ เพราะผิดแล้วผิดเลย จะมานั่งแถน้ำท่วมทุ่มไม่ได้เหมือนข้อสอบเขียน
ไม่แน่ใจว่ามีโรงเรียนไหนเคยสอบวิธีบ้างหรือเปล่า การสอบแบบ open book นี่เหมือนจะดีนะคะ เพราะเราสามารถเอาหนังสือหรือสมุด หรือสรุปชีทต่างๆ เข้าห้องสอบได้ด้วย ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนจับทุจริต แต่มันโหดเหี้ยมกว่านั้น การันตีมาจากพี่ๆ หลายคนว่า ถึงเอาหนังสือหรือสมุดเข้าไปได้ก็จริง แต่ก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะข้อสอบก็จะยากกว่าเดิม เปิดหนังสือเท่าไหร่ก็หาไม่เจอคำตอบ เผลอๆ เสียเวลาเปิดหนังสือไปฟรีๆ จนบางทีอาจารย์เสนอให้สอบแบบ Open book แต่คนสอบขอสอบแบบเดิมจะดีกว่า ฮ่าๆ
เจอข้อสอบที่ระทึกที่สุดไปแล้ว แนะนำให้เจอการสอบที่กดดันอีกรูปแบบนึงแล้วกัน
การสอบปากเปล่า หรือ Oral Exam คือ การตอบคำถามต่อหน้าอาจารย์ด้วยปากเปล่า เปิดหนังสือไม่ได้แน่นอนค่ะ โดยเราจะต้องเตรียมตัวมาให้พร้อมตั้งแต่ที่บ้าน อ่านหนังสือมาให้เยอะๆ ซ้อมถาม ซ้อมตอบเอาเอง ซึ่งการสอบแบบนี้จะไม่ได้วัดวิชาการเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่จะวัดเรื่องความคิดเห็นด้วย อาจารย์จะยิงคำถาม "อะไร" "ทำไม" "เพราะอะไร" คล้ายๆ กับการสอบสัมภาษณ์ ให้เราแสดงความคิดเห็น พี่มิ้นท์เคยโดนสอบด้วยวิธีนี้ด้วยค่ะ ตื่นเต้นสุดๆ เลย เพราะอาจารย์จะมองหน้าเราตลอดการสอบปากเปล่า ส่วนตัวเราเองก็ต้องตื่นเต้นว่าอาจารย์จะถามอะไรต่อไป เราจะตอบได้มั้ย แค่ย้อนกลับไปคิดก็เหนื่อยแล้วค่ะ
การสอบสุดฮิตของเด็กสายวิทย์ในระดับมหาวิทยาลัยคือ แล็บกริ๊ง ฟังชื่อนี้แล้วจำให้แม่นๆ เลย
"แล็บกริ๊ง" เป็นรูปแบบการสอบที่จะแบ่งข้อสอบออกเป็นโต๊ะๆ หรือเรียกว่า สถานี สถานีละ 1 ข้อ มีเวลาทำข้อละประมาณ 1 นาที หลังจากนั้นจะมีสัญญาณดังกริ๊งขึ้นมา ทุกคนจะต้องขยับไปสถานีต่อไปทันที ดังนั้นเท่ากับว่า น้องๆ จะมีเวลาทำ คิด ขีด เขียนข้อสอบแค่ข้อละ 1 นาที จะทำอะไรต้องรีบๆ ทำค่ะไม่อย่างนั้นพอไปเจอโจทย์ข้อใหม่ก็ต้องคิดโจทย์ข้อใหม่ทันที พี่มิ้นท์จัดให้การสอบแล็บกริ๊งเป็นรูปแบบการสอบที่ระทึกที่สุดค่ะ
6. ประยุกต์เอาความรู้มาใช้จริง
เป็นรูปแบบการสอบที่ค่อนข้างพิสูจน์ความสามารถคนเรียนจริงๆ อย่างที่รู้ๆ กันว่าในมหาวิทยาลัยมีหลายวิชาที่เป็นวิชาเชิงปฏิบัติ จะสอบทีก็เลยต้องลงมือทำจริงๆ ซะเลย อย่างเช่น วิชาการตลาด พี่มิ้นท์ได้สืบเสาะถามจากปากคนที่เคยเรียนการตลาดได้ความมาว่า มีโปรเจคต้องทำสินค้าขึ้นมาจริงๆ (แต่ละที่อาจไม่เหมือนกันนะคะ) เช่น ต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั้งโลโก้ รูปแบบ ผลิตภัณฑ์ แล้วส่งสินค้าตัวนั้นๆ ให้อาจารย์ไปตรวจ หรือ มีโปรเจคที่ต้องจัดกิจกรรม ให้เราติดต่อสปอนเซอร์ให้ได้ ถ้าติดต่อได้ตามเกณฑ์ก็ถือว่าผ่าน เป็นต้น เรียกว่าอาจารย์ให้ความรู้กับคนเรียน แต่คนเรียนนี่แหละที่ต้องเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลขึ้นมาจริงๆ ทำได้ก็คือได้ ทำไม่ได้ก็คือ จบ! สอบตกไปตามระเบียบ T^T
หูยยยย... การสอบแต่ละวิธีชวนให้คนเรียนหัวใจหล่นตุ๊บจริงๆ นะคะ ถ้าให้เรียงลำดับความยากแล้ว ข้อสอบช้อยส์ที่น้องๆ สอบทุกวันนี้ถือว่าง่ายที่สุด ส่วนที่ยากที่สุดน่าจะเป็นสอบปากเปล่าค่ะ ต้องใช้ไหวพริบมากๆๆๆๆๆๆ ความรู้ก็ต้องแน่นด้วย ห้ามตื่นเต้นอีกตะหาก ไม่งั้นสติกระเจิงแน่นอน 55555
เป็นยังไงบ้างคะน้องๆ หวังว่าคงจะชอบกันเนอะ ไว้วันหลังถ้าพี่มิ้นท์เจอวิธีเรียนหรือวิธีสอบแบบแปลกๆ อีก จะเอามาฝากนะ :D
79 ความคิดเห็น
ม.รามคำแหง
ส่วนใหญ่จะเป็นข้อสอบปรนัย 4 ตัวเลือก บางวิชาเป็นข้อสอบปรนัย 5 ตัวเลือก
แต่บางข้ออาจจะมีคำตอบที่ถูกที่ต้องเพียง 2 คำตอบหรือบางข้อไม่มีข้อใดถูกต้องเลย
เวลาฝนในกระดาษาคำตอบไม่ต้องฝนทั้งสองคำตอบนะ (กรณีที่บางข้อมี 2 คำตอบ)
เครื่องจะไม่ตรวจข้อสอบในข้อนั้นๆเลย จะปรับตกทันที
บางวิชามี 100 ข้อ บางวิชามี 120 ข้อ และ
บางวิชามี 50 ข้อ คือ วิชา MTH1003 (MA103) คณิตศาสตร์เบื้องต้น
บางวิชาเป็นข้อสอบปรนัย 50 ข้อและมีข้อสอบอัตนัยประมาณ 4-6 ข้อนี่แหละ
บางวิชาเป็นข้อสอบอัตนัย 6 ข้อ แต่ให้เลือกทำมาแค่ 3-4 ข้อ
บางวิชาเป็นข้อสอบอัตนัย 4 ข้อ
บางวิชาเป็นข้อสอบอัตนัย 4 ข้อ แต่ให้เลือกทำแค่ 2 ข้อ
-วิชา POL2102 (PS202) หลักรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง
ข้อสอบอัตนัยต้องเขียนให้เหมือนกับเขียนเรียงความ ตัวสะกดต้องเขียนให้ถูกต้อง
ลายมือไม่จำเป็นต้องสวยมาก (สอบนะคะ ไม่ได้ประกวดเขียนเรียงความ)
แค่ขอให้เขียนภาษาไทยอ่านออก เพราะ อาจารย์บางท่านสายตาไม่ค่อยดี
การสอบเเล็ปกริ๊ง เราขอเรียกกว่า สอบกระชากสติ กริ๊งที่กระชากสติไปที กำลังจะนึกออก กริ๊งเดียวหาย ไปข้อใหม่ตะลึงกับคำถามข้อใหม่อีก ข้อเดิมยังนึกไม่ออกเลย--!!
แต่การสอบเเบบนี้คนที่ทำเเล็ปด้วยตัวเองจริงๆจะได้เปรียบมาก คือเเค่ดูก็ตอบได้เเล้ว เพราะส่วนใหญ่จะมีตัวอย่างมาให้ดูเป็นตัวอย่างจริงๆ เเล้วตอบคำถาม
สอบปากเปล่า คือเป็นอะไรที่กดดันมา กลัวตอบไม่ได้ ตอบไม่ถูก เเถมอาจารย์ที่สอบบางท่าน จิตวิทยาสูงส่งนัก เล่นเราเป๋ตอนตอบบ่อยมาก บางครั้งตอบถูกอาจารย์บอกใช่เหรอ มั่นใจเเน่เหรอ คือถ้าเราไม่เเม่นจริงๆมักจะเป๋
ยอมกับแล็บกริ๊งค่ะ = =
มีอีกค่ะ เค้าเรียกกันว่า OSGE
(แล็บกริ้งเราเรียก OSPEค่ะ)
เจ้า OSGE คือการสอบข้อเขียนรูปแบบหนึ่ง แต่แบ่งทำทีละหน้า
หน้านึงให้เวลาซัก 4-10 นาทีแล้วแต่ว่าข้อย่อยอะไรบ้าง
พอกริ้งปุ๊บ
ทุกคนต้องเปลี่ยนหน้า และห้ามย้อนกลับมาแก้คำตอบอีก
เพราะคำตอบอยู่ในหน้าถัดไป
...มันเจ็บสุดๆก้ตรงคำตอบหน้าถัดไนี่ล่ะค่ะ
แถมเสียเวลาเฟลได้อย่างมากสิบวิ ไม่งั้นเขียนตอบข้อต่อไปไม่ทัน แล้วเฟลต่อเนื่องแน่นอนจ้า
แล็บกริ๊งแบบส่งกล้องจุลทรรศน์ คิดยังไม่ทันออกเลย หมดเวลาแล้ว ต้องวาดรูปเก็บไว้ในกระดาษคำตอบ
open book คือหายะข้อการสอบดีๆนี่เอง ขนหนังสือ ขนชีทรุ่นพี่ ขนแนว ข้อสอบ สุดท้ายสะอื้อกับข้อ แมร่ง กรูเคยเรียนแบบนี้ด้วยหร๋อ ไม่มีในหนังสือ ไม่มีในชีท กระดาษคำตอบมีแค่ Sol แค่เริ่ม ยังทำไม่ได้ โจทย์ มีตัวแปร2ตัว ตัวเลขไม่มี ไม่รู้จะใช้สูตรไหน
แลปกริ๊ง แม่เจ้าพระคุณรุนช่องเอ๊ยยยยย 30s แค่อ่านโจทย์ยัง กริ๊ง ที ยังกะ มีมือยมมบาลคอย ดึงลง _ร_ ตลอด
มีสอบอีกอัน
สอบเทคนิค ตัวต่อตัว โอ๊ยจะบ้าาาา อ.กดดันหนู มีแต่ถาม คุณทำผิดรึป่าว มันใช่หร๋อ ผมว่าผมไม่สอนแบบนี้นะ ถ้าทำไม่ได้ออกไปคุณ
เสียเวลาผม เราออกมาสอบชีทดู เราก็ทำถูกนี่หว่า งืออออ อ.แกล้วหนู ตอนสอบเราอย่างสั่น แค่หยิบกระบอกปิเปตร มีเสียง เอฟเฟ็กตามมา (เเกร๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ) สั่นยังกันโดนเจ้าเข้า
ลืมบอกเราเรียน BIOTECH (เทคโนฯชีวภาพ)