สวัสดีค่ะ ก้าวแรกเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น อะไรๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเรื่องเรียนและการใช้ชีวิต บางคนแค่รู้สึกว่าชีวิตจืดชืด ไร้สีสัน ก็ต้องหาอะไรมากระตุ้นให้ไม่น่าเบื่อ กลายเป็นว่าบางทีเต็มที่ชีวิตจนออกจะหลุดโลกไปหน่อย เกิดเป็นพฤติกรรมเพี้ยนๆ ในวัยเรียนที่อยากบอกลาค่ะ


 
        วันนี้เรามาทำความเข้าใจสัญญาณของพฤติกรรมเหล่านั้นกัน บอกเลยว่าบางเรื่องไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่น้องๆ เคยนึกกลัวหรือกังวลไว้ ที่สำคัญเราแก้ไขได้ค่ะ

ต้นตอของพฤติกรรมเพี้ยน
        วัยของน้องๆ เป็นวัยที่กำลังตามหาความเป็นตัวของตัวเอง เริ่มทำความรู้จักกับตัวเอง อยากออกไปสัมผัสสิ่งที่ชอบ อยากเจอสิ่งที่ถนัด อยากทำให้ตัวเองสนุกกับการเรียน และใช้สีสันแห่งความเป็นวัยรุ่นให้วงจรความสุขหมุนเวียนในทุกๆ วัน ติดอยู่ที่ว่าบางครั้งรู้สึกเหมือนควบคุมพฤติกรรมไม่ค่อยได้ อารมณ์แปรปรวนบ่อยๆ จนบางคนเริ่มกลัวตัวเองว่า เอ๊ะ! แบบนี้จะเรียกว่าเพี้ยนรึเปล่านะ?

        เพี้ยนที่น้องๆ ว่าก็คือการที่เรามองตัวเองผิดแปลกไปจากปกติ นอกจากปัจจัยภายนอกอย่างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ส่งผลต่อพฤติกรรมเราแล้ว ก็ยังมีปัจจัยภายในอย่างฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปแบบก้าวกระโดดด้วย เจ้าฮอร์โมนนี่แหละค่ะ ส่งผลทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกของน้องๆ ยิ่งฮอร์โมนเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งมีผลทางร่างกายและจิตใจมากขึ้นเท่านั้น 


นี่แหละเข้าข่าย พฤติกรรมเพี้ยน!
        ออกตัวแรงก่อนว่าการเปลี่ยนแปลงจนเกิดเป็นพฤติกรรมเพี้ยนๆ หรือบางทีน้องๆ เรียกว่า "ทำอะไรไม่เข้าท่าเลย!" มันเกิดแค่กับบางคนเท่านั้นนะคะ เราอาจไม่คิดว่าตัวเองเพี้ยนก็ได้ แต่ในบางขณะก็เริ่มจะยอมรับว่ามันชักจะผิดปกติไปซักหน่อยแล้ว

วัยทองตั้งแต่วัยเรียน
        เป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดใจสุดๆ เพราะเราจะรู้สึกหงุดหงิด ใครทำอะไรก็ไม่เข้าตา พฤติกรรมที่แสดงออกมาคือเหวี่ยง วีน หัวเราะ โกรธ เครียด ยิ้ม ร้องไห้ เรียกว่าหลายอารมณ์ในวันเดียว แถมยังเบ็ดเสร็จในคนคนเดียวแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ด้วย ยกตัวอย่างง่ายๆ นะคะ
        ชวนเพื่อนทะเลาะเรื่องไม่เป็นเรื่อง เห็นหน้าเพื่อนแล้วรู้สึกเหม็นขี้หน้า คันปากยิบๆ อยากจะด่าแบบไม่มีเหตุผลให้ด่า (ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันมาก่อนเล้ย) หรือเห็นรุ่นน้องมานั่งโต๊ะกลุ่มเจ้าประจำของตัวเอง ก็เครียดจนต้องไปไล่ที่ตบตีแย่งโต๊ะกัน เพราะมันคือศึกศักดิ์ศรี โอ๊ย! อะไรจะขนาดนั้น


 
วิธีหักดิบ     
        ถ้าอะดรีนารีน (ฮอร์โมนแห่งความโกรธ) และคอร์ติซอล (ฮอร์โมนแห่งความเครียด) ของน้องๆ จะพลุ่งพล่านขนาดนั้น นอกจากหาที่ปรึกษาดีๆ ในการระบายความโกรธและความเครียดของเราแล้ว ในทางการแพทย์แนะนำว่าให้หาวิธีดับอารมณ์ร้อนเดือดปุดๆ ด้วยการหาตัวช่วยเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อดึงสติกลับมา แล้วหลีกจากความโกรธหรือเครียดด้วยการนั่งผ่อนคลายกับกิจกรรมที่ชอบ เช่น
        ช่วงนี้โกรธบ่อยๆ ลองสวมหนังยางไว้ที่ข้อมือ พออารมณ์ขึ้นเมื่อไหร่ "ดีดหนังยางเรียกสติ" เลยค่ะ ดีดเบาๆ ให้พอรู้ตัวว่าโกรธอยู่ เครียดอยู่ พูดซ้ำๆ ยับยั้งชั่งใจไว้ว่า "อย่าระเบิด อย่าปรี๊ด" แล้วหลบไปคิดว่าจะทำเรื่องสนุกๆ อะไรดี พอได้คิด ได้ฟังเพลง ดู MV ไอดอลที่เลิฟ เล่นเกม อ่านฟิคชั่น ฯลฯ เดี๋ยวซักพักร่างกายก็หลั่งสารแห่งความสุข (Endorphine) ออกมาให้อารมณ์ดีขึ้นเอง


ทนกระแสวิจารณ์ไม่ได้ (โดยเฉพาะความสวย-หล่อ)
        เด็กๆ ภูมิต้านทานยังไม่ดีพอค่ะ เวลาถูกคนจ้องก็เริ่มหน้าสั่นๆ ละ "ทำไมอะ เกิดอะไรขึ้น หน้าไม่ V Shape ตัวเตี้ยตัน สิวเขรอะ พุงย้วย ไม่หล่อ ไม่สวยเหรอ" คือรู้สึกแย่มากจนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่อยากออกจากบ้านมาโรงเรียนเลย (หลายคนพอผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ยังนึกขำตัวเองอยู่เลย อะไรจะเว่อร์วังขนาดนั้น) ยกตัวอย่างความเพี้ยนขั้นหนักที่บางคนถึงกับรับตัวเองไม่ได้นะคะ
        โรงเรียนห้ามซอย สไลด์ กัดสี-ทำสีผม เจ็บปวดจน
ต้องแอบเข้าห้องน้ำไปสไลด์ผมทุกสิบนาที เพราะกลัวตัดตรงเท่าติ่งหูแล้วเอ๋อ บางทีก็แอบเติมหน้า โบ๊ะแป้ง เขียนคิ้ว ปาดอุทัยทิพย์เล็กๆ ในเวลาเรียน เพราะไม่อยากหน้าสดเป็นผีออกจากบ้าน หรือแอบพับกระโปรงให้สั้นขึ้นพอตรวจระเบียบค่อยปล่อยลงจะได้ไม่ถูกครูเลาะ ช่วงนั้นทุกคนพยายามแหวกกฎ หรือมากเข้าก็อยากประท้วงยกเลิกกฎการแต่งกายไปเลย จนบางทีก็แอบกลัวตัวเองว่า "ทำเกินไปป่าวหว่า?"


 
วิธีหักดิบ  
        ข้อนี้เป็นพฤติกรรมที่เพี้ยนปนน่ารักนะคะ ช่วงนั้นคงคิดว่าหน้าขาว ปากแดง กระโปรงสั้น ดูดีที่สุดแล้ว แต่พอเราโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ เราจะเห็นอีกมุมหนึ่งว่า "การแต่งกายถูกระเบียบของโรงเรียน" มันเรียบร้อยแล้วก็น่ารักสมวัยอยู่เหมือนกัน ที่สำคัญไม่ต้องเหนื่อยหลบคุณครูด้วย
        น้องๆ คนไหนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ขอแนะนำให้ตั้งเวลา "Happy Time" ของตัวเองเลยค่ะ เป็นช่วงเวลาที่เราจะได้สร้างคุณค่าความงามในแบบของตัวเอง 10-20 นาที นั่งคิดไปเลยว่าเราชอบอะไรในตัวเองบ้าง ไม่ต้องสนใจภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เรื่องไหนที่ยังไม่สวย-ไม่หล่อพอ เราสามารถดูแลตัวเองให้เหมาะสมและดูดีอยู่ภายใต้หน้าที่ของคำว่า "นักเรียน" ได้ค่ะ นี่เป็น To-do-list อย่างหนึ่งที่นักจิตวิทยาแนะนำว่าควรทำเลยนะคะ

   
ความรักห้ามกันไม่ได้

        ข้อนี้บางคนไม่คิดว่าเพี้ยนนะคะ อย่างพี่เมก้ามองว่าน่ารัก แต่บางคนทำไปแล้วมาอายตอนโตค่ะ คือความรักเริ่มเบ่งบานในหัวใจจนบังคับความรู้สึกไม่ได้ มันคอยแต่จะแสดงออกว่าเรา "รักเขามาก" ร้องเพลงจีบ ซื้อขนมไปเสิร์ฟเช้ากลางวันเย็น ซื้อสติกเกอร์ไลน์เป็นของขวัญวันเกิด ฯลฯ แต่ถ้าบางคนรักมากจนแสดงออกแบบผิดๆ เช่น เขียนบอกรักคนที่ชอบบนโต๊ะเรียน หนักสุดคือใช้คัตเตอร์กรีดจารึกไว้เลย อันนี้ก็จะเกินไปนะคะ เริ่มเข้าข่ายทำลายทรัพย์สินโรงเรียนแล้ว หรือบางทีหึงหวงกันจนระงับอารมณ์ไม่อยู่ ก่อเหตุทะเลาะวิวาทในโรงเรียน ถูกเรียกเข้าห้องปกครองงี้ ต้องรีบลาขาดเลย


 
วิธีหักดิบ
        สำหรับน้องๆ ที่มีความรักในวัยเรียนแบบใสๆ น่ารักๆ ไม่ได้ใช้ความรักไปในทางที่ผิด ตรงกันข้ามกลับนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้ทำในสิ่งที่ดี เช่น คบกันแบบอยู่ในสายตาพ่อแม่ ช่วยกันติวสอบเข้ามหา'ลัย คอยให้กำลังใจกันเรื่องเรียน ฯลฯ ไม่ต้องไปหักดิบ เลิกกันอะไรนะคะ แต่สำหรับน้องๆ ที่รักแบบขาดสติ "สะกดจิตตัวเอง" เลยว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะรักให้เป็น ด้วยการนับถือคุณค่าในตัวเองก่อน ถ้าเรามือบอนไปเขียนโต๊ะ นอกจากคนที่เรารักอาจจะไม่รู้แล้ว ครูมาเจอ เราต้องเป็นคนขัดโต๊ะนะคะ หรือถ้าไปตบตีในโรงเรียน มันคือการลดคุณค่าในตัวเองเลย เรายังไม่รักตัวเอง ใครจะรักเราถูกมั้ย?
        นักสะกดจิตบำบัดบอกเลยว่ายิ่งสะกดจิตคิดในด้านบวกก่อนนอน พลังบวกจะยิ่งวิ่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเรา ทำให้เรามีสติ รวมถึงเรียนรู้ที่จะรักตนเองและผู้อื่นในแง่มุมดีๆ ค่ะ  

ความท้าทายมันยั่วใจ
        ถ้าถามว่าความท้าทาย การชอบแข่งขันของน้องๆ ในวัยเรียนมีอะไรบ้าง โอ้โห! เยอะแยะ แข่งแล้วมีแต่เรื่องดี เช่น แข่งกันทำคะแนนเก็บให้ดียกห้อง แข่งกันออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดียกแก๊ง มันน่าชื่นชมมาก แต่แข่งแล้วดูเพี้ยนสุดๆ ก็แอบหวั่นอยู่เหมือนกันนะคะ ยกตัวอย่างจากความเพี้ยนระดับเบาๆ ไปรุนแรงเลย
        แข่งกันสะสมของแบบแปลกๆ เช่น ห้อยพวงกุญแจไอดอล ใครพวงใหญ่ชนะ ห้อยตุ๊กตาตัวใหญ่เท่าบ้าน ยิ่งเบ้อเริ่มเทิ่ม ยิ่งดูแพง ติดนิสัยใช้เงินมือเติบสุดๆ ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นคือท้าทายอำนาจมืดของครูในโรงเรียน เช่น แอบเอาขนมมาขาย แกล้งครู แหกกฎ โดดเรียน ลอกข้อสอบ ฯลฯ แต่ถ้าถูกจับได้เมื่อไหร่ จากชัยชนะที่หอมหวาน จะกลายเป็นยาพิษที่แสนขมขื่นนะคะ เพราะบางความเพี้ยนมันอาจหนักถึงขั้นเป็นความผิด ทำลายชีวิตเราไปเลย    


 
วิธีหักดิบ
        อย่างที่บอกว่านิสัยชอบแข่งขันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าน้องๆ คิดว่าการชอบเรื่องท้าทายของเรามันเริ่มเปลี่ยนไปในทางเพี้ยนๆ แล้ว แค่หยิบกระดาษ 1 แผ่นขึ้นมา "ทำเช็กลิสต์" เขียนเรื่องท้าทายนั้นลงไปตัวโตๆ เลยค่ะ ตามด้วยการเขียนต่อว่าข้อดีและข้อเสียของเรื่องท้าทายนั้นมีอะไรบ้าง ถ้าข้อเสียมันเยอะกว่าข้อดี ขีดฆ่าออกไปได้เลย! แล้วมาคิดเรื่องท้าทายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองลงไปแทนดีกว่า วิธีนี้นอกจากจะหยุดยั้งอารมณ์ชั่ววูบจากการสนุกกับความท้าทายแบบผิดๆ แล้ว อาจจะช่วยให้เราเจอพรสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเองด้วยนะ

        ทั้งหมดนี้ก็คือพฤติกรรมเพี้ยนๆ ในวัยเรียนที่หลายคนอยากบอกลาค่ะ ได้วิธีหักดิบกันไปแล้ว ก็ลองเอามาประยุกต์ใช้กันดูนะคะ แต่ถ้าน้องๆ ยังหลงเหลือเรื่องเพี้ยนๆ อะไรอีก อยากจะกำจัดให้สิ้นซาก แวะมาบอกเล่าให้พี่เมก้าฟังได้ เราจะได้ช่วยหาวิธีแก้ไปพร้อมกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.honestdocs.co/hormones,
www.nsm.or.th
พี่เมก้า
พี่เมก้า - Columnist นักข่าวสายการศึกษา ที่มีความสุขกับการแต่งฟิค อ่านฟิค เพ้อถึงยัมมี่ฟู้ดไปวันๆ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด