สวัสดีค่ะน้อง ๆ ใครเคยมีความรู้สึกว่า “การเรียนมันช่างทรมาน” บ้างไหมคะ อ่านหนังสือแต่ละที ทำรายงานแต่ละครั้งเหมือนจมน้ำ อึดอัดอะไรซะขนาดนั้น เคยมีคนกล่าวว่า “ยาพิษ” ในการศึกษาเปรียบได้กับ “ปรอท” ไม่ได้ทำให้ตายทันที แต่ตายทีละน้อย ทั้งนี้ยาพิษที่กล่าวถึงมีไว้สำหรับการศึกษาที่ไม่ดีเท่านั้น
วันนี้พี่เมก้าเลยขอพาไปรู้จักทฤษฎีการเรียนรู้ที่ดีแบบหนึ่ง ซึ่งผ่านการวิจัยมาแล้วว่าเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ผลการเรียนดีขึ้น และผู้เรียนพึงพอใจสุด ๆ เผื่อจะนำมาปรับใช้กับการเรียนของตัวเองได้บ้าง
วิทยานิพนธ์เรื่อง “ผลของการเรียนผ่านห้องเรียนเสมือนจริงที่สร้างตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดย คุณตัสนีม กอแตง” ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของสมองกับการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นที่สมอง จึงควรเชื่อมโยงการเรียนรู้ของสมองกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือแนวคิดการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning หรือ BBL)
BBL คืออะไร?
การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐานเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกัน 3 ด้านคือชีววิทยา ประสาทวิทยา และวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับปัญญา โดยศาสตร์นี้เป็นการพยายามศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการและการทำงานของสมอง เพื่อจะได้ทราบว่าสมองเรียนรู้อย่างไรและนำการทำงานของสมองมาปรับใช้กับการจัดการศึกษา
ตัวอย่างเช่น สารเคมี Cortisol ที่หลั่งออกมาเวลาเครียดจะหยุดยั้งการทำงานของสารส่งสัญญาณทางประสาท (neurotransmitter) ในภาวะปกติ และจะมีการส่งสัญญาณลัดวงจรเกิดขึ้น (downshifting) เป็นอาการที่สมอง เมื่อมีสารเคมีนี้มากเกินไปหรือหลงเหลืออยู่มันจะกลายเป็นสารพิษทำลายสมองส่วนเก็บหน่วยความจำที่ทำให้จำอะไรได้นาน ๆ แปลว่าถ้าอยู่ในภาวะเครียดตลอดเวลา การทำงานของสมองก็จะค่อย ๆ ถูกทำลายลงนั่นเอง
งานวิจัยใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของสมองและสารเคมีในสมอง มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาเรื่อย ๆ ว่า การทำงานของสมองจะตื่นตัวและมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ถ้าผู้เรียนอยู่ในสภาวะมีความสุข ตรงข้ามกับผู้เรียนที่มีสภาวะเครียด เบื่อหน่าย ซึมเศร้า สมองจะถูกปิดกั้นการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ส่งผลต่อระบบความคิดความจำ
วิทยานิพนธ์เรื่อง “ผลของการเรียนผ่านห้องเรียนเสมือนจริงที่สร้างตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี โดย คุณตัสนีม กอแตง” ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของสมองกับการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดขึ้นที่สมอง จึงควรเชื่อมโยงการเรียนรู้ของสมองกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจก็คือแนวคิดการส่งเสริมการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning หรือ BBL)
BBL คืออะไร?
การเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐานเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกิดจากการพัฒนาร่วมกัน 3 ด้านคือชีววิทยา ประสาทวิทยา และวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับปัญญา โดยศาสตร์นี้เป็นการพยายามศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการและการทำงานของสมอง เพื่อจะได้ทราบว่าสมองเรียนรู้อย่างไรและนำการทำงานของสมองมาปรับใช้กับการจัดการศึกษา
ตัวอย่างเช่น สารเคมี Cortisol ที่หลั่งออกมาเวลาเครียดจะหยุดยั้งการทำงานของสารส่งสัญญาณทางประสาท (neurotransmitter) ในภาวะปกติ และจะมีการส่งสัญญาณลัดวงจรเกิดขึ้น (downshifting) เป็นอาการที่สมอง เมื่อมีสารเคมีนี้มากเกินไปหรือหลงเหลืออยู่มันจะกลายเป็นสารพิษทำลายสมองส่วนเก็บหน่วยความจำที่ทำให้จำอะไรได้นาน ๆ แปลว่าถ้าอยู่ในภาวะเครียดตลอดเวลา การทำงานของสมองก็จะค่อย ๆ ถูกทำลายลงนั่นเอง
งานวิจัยใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับการทำงานของสมองและสารเคมีในสมอง มีการเปิดเผยข้อมูลออกมาเรื่อย ๆ ว่า การทำงานของสมองจะตื่นตัวและมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ถ้าผู้เรียนอยู่ในสภาวะมีความสุข ตรงข้ามกับผู้เรียนที่มีสภาวะเครียด เบื่อหน่าย ซึมเศร้า สมองจะถูกปิดกั้นการเรียนรู้โดยอัตโนมัติ ส่งผลต่อระบบความคิดความจำ
ห้องเรียนเสมือนจริงกับ BBL
ห้องเรียนเสมือนจริงคือการจัดสิ่งแวดล้อมทางการศึกษาให้เสมือนกับการเรียนในชั้นเรียน ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ (เหมาะกับช่วง COVID-19 ที่ต้องเรียนออนไลน์มาก) ห้องเรียนนี้ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ อยากเรียนที่ไหน เวลาใดก็ได้ตามความสะดวก แค่ขอให้มาเข้าร่วมเท่านั้นเอง
งานวิจัยชิ้นนี้ก็ได้สร้างห้องเรียนเสมือนจริงขึ้นมา ออกแบบตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การผ่อนคลาย - ผู้วิจัยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยการเปิดวิดีโอเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนเป็นเวลา 5 - 10 นาที เพราะบรรยากาศที่กดดันจะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลง อารมณ์ที่ดีจะทำให้สมองหลั่งสารเคมีความสุข เวลาเรียนจะจดจำได้นาน
2. การถ่ายโยงการเรียนรู้ - หลังเรียนจบให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันผ่านกระดานเสวนา โดยลองเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ข้อนี้ทำให้ผู้เรียนจำได้และสนุกกับการเรียนรู้ เพราะสมองจะจดจำได้ดี เมื่อมีความจำแบบเชื่อมโยง
3. การเรียนรู้ที่หลากหลาย - ผู้วิจัยนำเสนอเนื้อหาโดยวิธีการสอนที่หลากหลาย ผู้เรียนสามารถเลือกใช้สื่อใดก็ได้ตามความสนใจ เพราะสมองของแต่ละคนจะมีความเฉพาะของตน ถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมก็จะกระตุ้นให้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ได้
4. การสะท้อนคิด - ชวนผู้เรียนมาทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียน โดยตั้งประเด็นคำถามหรือทำแบบทดสอบต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กตัวเองว่าเรียนดีขึ้นหรือเปล่า
ห้องเรียนเสมือนจริงคือการจัดสิ่งแวดล้อมทางการศึกษาให้เสมือนกับการเรียนในชั้นเรียน ผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนได้ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ (เหมาะกับช่วง COVID-19 ที่ต้องเรียนออนไลน์มาก) ห้องเรียนนี้ไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ อยากเรียนที่ไหน เวลาใดก็ได้ตามความสะดวก แค่ขอให้มาเข้าร่วมเท่านั้นเอง
งานวิจัยชิ้นนี้ก็ได้สร้างห้องเรียนเสมือนจริงขึ้นมา ออกแบบตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การผ่อนคลาย - ผู้วิจัยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยการเปิดวิดีโอเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนเป็นเวลา 5 - 10 นาที เพราะบรรยากาศที่กดดันจะทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ลดลง อารมณ์ที่ดีจะทำให้สมองหลั่งสารเคมีความสุข เวลาเรียนจะจดจำได้นาน
2. การถ่ายโยงการเรียนรู้ - หลังเรียนจบให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกันผ่านกระดานเสวนา โดยลองเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนกับความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน ข้อนี้ทำให้ผู้เรียนจำได้และสนุกกับการเรียนรู้ เพราะสมองจะจดจำได้ดี เมื่อมีความจำแบบเชื่อมโยง
3. การเรียนรู้ที่หลากหลาย - ผู้วิจัยนำเสนอเนื้อหาโดยวิธีการสอนที่หลากหลาย ผู้เรียนสามารถเลือกใช้สื่อใดก็ได้ตามความสนใจ เพราะสมองของแต่ละคนจะมีความเฉพาะของตน ถ้าผู้เรียนได้รับประสบการณ์ที่เหมาะสมก็จะกระตุ้นให้กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ได้
4. การสะท้อนคิด - ชวนผู้เรียนมาทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียน โดยตั้งประเด็นคำถามหรือทำแบบทดสอบต่าง ๆ เพื่อตรวจเช็กตัวเองว่าเรียนดีขึ้นหรือเปล่า
เรียนดีขึ้นจริงกว่า 80%
ผลของการเรียนผ่านห้องเรียนเสมือนจริงตามหลักทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนดีขึ้นไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งความพึงพอใจของผู้เรียนก็อยู่ในระดับพึงพอใจมากด้วย เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองได้อย่างอิสระจากสื่อการสอนหลากหลายที่สามารถเลือกได้ตามความสนใจและความถนัดของตัวเอง
ออกแบบห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเอง!
ห้องเรียนเสมือนจริงนี่เหมาะกับการเรียนออนไลน์ตอนนี้มากเลยนะคะ ถ้าลองนำมาปรับใช้ น้อง ๆ ก็สามารถสร้างห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเองได้ตาม 4 Step ที่ผู้วิจัยได้ปูทางไว้ให้เราแล้ว
Step 1: ก่อนเรียนน้อง ๆ อาจจะผ่อนคลายตัวเองก่อนด้วยการเลือกทำกิจกรรมที่ชอบ อาจจะดูคลิปสั้น ๆ ของศิลปินที่ชอบ ฟังเพลง อ่านการ์ตูน สัก 5 - 10 นาที (ระวัง! อย่าลั้นลาเพลินจนลืมเรียนล่ะ)
Step 2: หลังเรียนเสร็จลองนำความรู้ที่เรียนมาเชื่อมโยงกับสิ่งรอบ ๆ ตัวดู เช่น เทียบการบอกปริมาณฟิสิกส์กับสิ่งที่พบในชีวิตประจำวัน เทคนิคนี้หลายคนการันตีว่าใช้ได้จริง! และทำให้จำความรู้เรื่องนั้น ๆ ได้แม่นยำมาก!
Step 3: สำหรับสื่อการเรียน ตอนนี้ก็มีคลิปวิดีโอการสอนออนไลน์ให้เรียนรู้เยอะมาก น้อง ๆ เลือกช่องทางที่ชอบ เลือกครูที่สอนแล้วเข้าใจได้ตามสไตล์เลย ช่วงนี้พี่เมก้าก็แอบเห็นกระทู้แชร์ช่องทางการเรียนวิชาต่าง ๆ ในบอร์ดเพียบเลย
Step 4: สุดท้ายหลังเรียนจบก็อย่าลืมหาแบบฝึกหัดหรือข้อสอบเก่ามาทดสอบตัวเองด้วยนะคะ บางคนชอบความท้าทายก็สักวันละ 100 - 200 ข้อ แต่ถ้ากลัวกดดันตัวเองมากเกินไป วันละ 50 ข้อก็ยังดีค่ะ อย่าลืมจดบันทึกสถิติจะได้รู้ว่าตัวเองพัฒนาไปขนาดไหน
อ่านจบแล้วพร้อมที่จะไปสร้างห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้าน้อง ๆ ใช้ได้ผล ก็อย่าลืมแวะมาบอกกล่าวพี่เมก้าบ้างนะคะ
ผลของการเรียนผ่านห้องเรียนเสมือนจริงตามหลักทฤษฎีการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนดีขึ้นไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ทั้งความพึงพอใจของผู้เรียนก็อยู่ในระดับพึงพอใจมากด้วย เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเองได้อย่างอิสระจากสื่อการสอนหลากหลายที่สามารถเลือกได้ตามความสนใจและความถนัดของตัวเอง
ออกแบบห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเอง!
ห้องเรียนเสมือนจริงนี่เหมาะกับการเรียนออนไลน์ตอนนี้มากเลยนะคะ ถ้าลองนำมาปรับใช้ น้อง ๆ ก็สามารถสร้างห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเองได้ตาม 4 Step ที่ผู้วิจัยได้ปูทางไว้ให้เราแล้ว
Step 1: ก่อนเรียนน้อง ๆ อาจจะผ่อนคลายตัวเองก่อนด้วยการเลือกทำกิจกรรมที่ชอบ อาจจะดูคลิปสั้น ๆ ของศิลปินที่ชอบ ฟังเพลง อ่านการ์ตูน สัก 5 - 10 นาที (ระวัง! อย่าลั้นลาเพลินจนลืมเรียนล่ะ)
Step 2: หลังเรียนเสร็จลองนำความรู้ที่เรียนมาเชื่อมโยงกับสิ่งรอบ ๆ ตัวดู เช่น เทียบการบอกปริมาณฟิสิกส์กับสิ่งที่พบในชีวิตประจำวัน เทคนิคนี้หลายคนการันตีว่าใช้ได้จริง! และทำให้จำความรู้เรื่องนั้น ๆ ได้แม่นยำมาก!
Step 3: สำหรับสื่อการเรียน ตอนนี้ก็มีคลิปวิดีโอการสอนออนไลน์ให้เรียนรู้เยอะมาก น้อง ๆ เลือกช่องทางที่ชอบ เลือกครูที่สอนแล้วเข้าใจได้ตามสไตล์เลย ช่วงนี้พี่เมก้าก็แอบเห็นกระทู้แชร์ช่องทางการเรียนวิชาต่าง ๆ ในบอร์ดเพียบเลย
Step 4: สุดท้ายหลังเรียนจบก็อย่าลืมหาแบบฝึกหัดหรือข้อสอบเก่ามาทดสอบตัวเองด้วยนะคะ บางคนชอบความท้าทายก็สักวันละ 100 - 200 ข้อ แต่ถ้ากลัวกดดันตัวเองมากเกินไป วันละ 50 ข้อก็ยังดีค่ะ อย่าลืมจดบันทึกสถิติจะได้รู้ว่าตัวเองพัฒนาไปขนาดไหน
อ่านจบแล้วพร้อมที่จะไปสร้างห้องเรียนเสมือนจริงของตัวเองแล้วหรือยัง ถ้าน้อง ๆ ใช้ได้ผล ก็อย่าลืมแวะมาบอกกล่าวพี่เมก้าบ้างนะคะ
5 ความคิดเห็น
50 ข้อนี่ก็ยังเยอะอยู่นะครับ