คนที่ข้ามสะพานไปแล้ว แต่เปลี่ยนใจถอยกลับ

ดูจากท่าทีของคนที่แอบชอบแล้วเขาก็สนใจคุณอยู่ ทำให้คุณคิดจะสารภาพรักแต่ก็มาเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ดังนั้นจึงควรดึงเอาความมั่นใจออกมาให้หมด แล้วรอจังหวะดีเข้าไปสารภาพรักเลย

ฮือ ฮือ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งจริงๆ ด้วย 

คนที่หาสะพานไม่เจอ

ไม่คิดที่จะสารภาพรักเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะชอบกังวลว่า \\"ถ้าถูกปฏิเสธล่ะ\\" คุณจึงมักจะล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงอยากให้คุณปลุกพลังรักในตัวขึ้นมา แล้วหันหน้าออกมาเผชิญกับโลกเสียที


เอ่อ อันนี้คือเลวร้ายที่สุดเลยสินะ - - 

คนที่ข้ามสะพานไปแล้ว แต่เปลี่ยนใจถอยกลับ

ดูจากท่าทีของคนที่แอบชอบแล้วเขาก็สนใจคุณอยู่ ทำให้คุณคิดจะสารภาพรักแต่ก็มาเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ดังนั้นจึงควรดึงเอาความมั่นใจออกมาให้หมด แล้วรอจังหวะดีเข้าไปสารภาพรักเลย

ฮือ ฮือ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งจริงๆ ด้วย 

คนที่หาสะพานไม่เจอ

ไม่คิดที่จะสารภาพรักเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะชอบกังวลว่า \\"ถ้าถูกปฏิเสธล่ะ\\" คุณจึงมักจะล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงอยากให้คุณปลุกพลังรักในตัวขึ้นมา แล้วหันหน้าออกมาเผชิญกับโลกเสียที


เอ่อ อันนี้คือเลวร้ายที่สุดเลยสินะ - - 

คนที่ข้ามสะพานไปแล้ว แต่เปลี่ยนใจถอยกลับ

ดูจากท่าทีของคนที่แอบชอบแล้วเขาก็สนใจคุณอยู่ ทำให้คุณคิดจะสารภาพรักแต่ก็มาเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย ดังนั้นจึงควรดึงเอาความมั่นใจออกมาให้หมด แล้วรอจังหวะดีเข้าไปสารภาพรักเลย

คนที่เคาะสะพาน แล้วเดินจากไป

คุณวางแผนสารภาพรักมาแล้วหลายครั้งแต่ไม่เคยลงมือทำจริงสักครั้ง ทั้งๆ ที่ในหัวพูดคำว่ารักไปแล้วนับไม่ถ้วน คุณมีพลังเพียงพออยู่แล้ว จึงควรดึงออกมา ทำให้ความตั้งใจของคุณกลายเป็นจริง

ตรงมาก

คนที่หาสะพานไม่เจอ

ไม่คิดที่จะสารภาพรักเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะชอบกังวลว่า "ถ้าถูกปฏิเสธล่ะ" คุณจึงมักจะล้มเลิกความตั้งใจตั้งแต่ต้น ดังนั้นจึงอยากให้คุณปลุกพลังรักในตัวขึ้นมา แล้วหันหน้าออกมาเผชิญกับโลกเสียที

โอ๊ยยยยยยยยยย ตรงมากกกกกกก เพราะเราคิดมาตลอดว่าถ้าเค้าปฏิเสธล่ะ เค้าคงไม่ชอบเราหรอก ยังไงเค้าก็ปฏิเสธ เราเลยไม่กล้าบอกสักที TT