เปรียบเทียบ! ยาคุมแต่ละแบบ ที่สาวๆ ควรรู้ก่อนใช้

ยาคุมมีแบบไหนบ้าง? แล้วแบบไหนถึงจะเหมาะกับเรา

น้องๆ ชาว Dek-D คนไหนเคยใช้ยาคุมกำเนิดกันบ้าง? ไม่ว่าจะช่วยเรื่องสิว ผิวพรรณ ปรับฮอร์โมน หรือคุมกำเนิดก็ตาม ซึ่งที่นิยมกันมากที่สุดก็น่าจะเป็นแบบกิน เพราะว่าหาซื้อง่าย แต่ว่ายาคุมกำเนิดก็ไม่ได้มีแค่แบบกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะ ซึ่งวันนี้พี่ปลิวก็เลยจะมาเปรียบเทียบให้ดูว่ายาคุมกำเนิดแต่ละแบบนั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้เลือกใช้กันได้อย่างถูกต้อง 

ไม่มียาคุมแบบไหนที่คุมกำเนิดได้ 100% และก็ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศได้ด้วย

ยาคุมกำเนิดแบบห่วงอนามัย (Intrauterine Device: IUD)

ห่วงอนามัย หรือ ห่วงคุมกำเนิด เรียกสั้นๆ ว่า ไอยูดี (IUD) มีหลายชนิดและมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยมีแกนเป็นพลาสติกหรือโลหะขดเป็นวง มีลักษณะเป็นรูปตัวที ตัวยู และตัววาย ซึ่งจะใส่เข้าไปภายในมดลูก ปัจจุบันชนิดของห่วงอนามัยจะมีอยู่ 3 แบบ คือ 

  • แบบเคลือบสารทองแดง
  • แบบเคลือบฮอร์โมนโปรเจสติน
  • แบบไม่มีสารออกฤทธิ์ ที่ไม่เคลือบสารหรือฮอร์โมน

ข้อดี :  

  • ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานสูงสุด 3 - 10 ปี
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
  • ไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักตัวขึ้น หรือเกิดสิว ฝ้า

ข้อเสีย :

  • ไม่สามารถใส่ห่วงอนามัยได้ด้วยตัวเอง
  • ต้องคอยเช็กสายห่วงอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์
  • อาจมีอาการปวดเกร็งมดลูกและมีเลือดออกผิดปกติได้

ข้อควรระวัง :

  • เมื่อใส่ห่วงอนามัย ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด 
    แต่ให้ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศภายนอก

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด : 99%

ยาคุมกำเนิดแบบฝัง (Contraceptive Implant)

เป็นการฝังหลอดยาที่บรรจุฮอร์โมนโปรเจสติน ไว้ใต้ผิวหนังบริเวณต้นแขน ซึ่งตัวยาจะไปยับยั้งการเจริญเติบโตของไข่ ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ 

น้องๆ ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี สามารถฝังยาคุมได้ฟรีแล้วนะ! 
ตามสถานพยาบาลที่เปิดรับบริการ

ข้อดี : 

  • ฝัง 1 ครั้ง สามารถคุมกำเนิดได้ 3 หรือ 5 ปี (แล้วแต่ชนิดของยาที่เลือกฝัง)
  • ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน เหมาะสำหรับคนที่ชอบลืมกินยาคุม
  • มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดมากกว่าการกินและการฉีด
  • หากต้องการถอดยาคุมออกก่อนกำหนด สามารถทำได้
  • ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เมื่อเทียบกับระยะเวลาคุมกำเนิด

ข้อเสีย :

  • การฝังยาคุมและถอดออก ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนทำเท่านั้น
  • อาจมีอาการข้างเคียง เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ เลือดออกกะปริบกะปรอย เจ็บคัดตึงเต้านม เป็นต้น

ข้อควรระวัง :

  • เมื่อใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะบางประเภท จะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด : 99%

ยาคุมกำเนิดแบบฉีด (Injectable Contraceptive)

ยาคุมแบบฉีด มี 2 ชนิด โดยจะฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อ 

  • แบบ 1 เดือน เป็นยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
  • แบบ 3 เดือน เป็นยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงอย่างเดียว

ข้อดี : 

  • สะดวก ราคาถูก
  • แก้ปัญหารอบเดือนมาผิดปกติ และลดอาการปวดประจำเดือน
  • ไม่ต้องพบแพทย์ หากต้องการหยุดยา เพราะฤทธิ์ของยาจะค่อยๆ หมดไปเอง

ข้อเสีย :

  • ไม่เหมาะกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หรืออายุเกิน 45 ปี เพราะมีผลต่อกระดูก
  • หากเลือกฉีดยาคุมแบบฮอร์โมนรวมจะฉีดเพียง 1 เข็ม ซึ่งคุมกำเนิดได้เพียง 1 เดือน และต้องมาฉีดเป็นประจำทุกเดือน
  • อาจเกิดผลข้างเคียง เช่น เลือดออกกะปริบกะปรอย ประจำเดือนมาผิดปกติหรือประจำเดือนขาดไปเลย

ข้อควรระวัง :

  • ไม่ควรบีบ หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพราะจะทำให้ตัวยาดูดซึมเร็วขึ้นและอาจหมดฤทธิ์เร็วกว่ากำหนด

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด : 97%

ยาคุมกำเนิดแบบเม็ด (Birth Control Pills)

ประกอบไปด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด คือ เอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่มีความสำคัญต่อการป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งจะมียาเม็ด 2 ชนิด

ข้อดี : 

  • หาซื้อได้ง่าย
  • ช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ และลดอาการปวดประจำเดือน
  • บางคนอาจช่วยลดการเกิดสิว ขนดก หน้ามัน

ข้อเสีย : 

  • ยาคุมแบบธรรมดา 21 เม็ด กับ 28 เม็ด ต้องกินเวลาเดิมทุกวัน หากลืมกินยาจะทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดลดลง
  • ยาคุมฉุกเฉิน ควรกินให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ ภายใน 72 ชม.
  • อาจมีอาการข้างเคียง เช่น วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หงุดหงิดง่าย คัดหน้าอก มีเลือดออกกะปริบกะปรอย

ข้อควรระวัง :

  • หากลืมรับประทานยาไป 1 วัน ควรรีบรับประทานยาโดยทันทีที่จำได้

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด : 92%

ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะ (Contraceptive Patch หรือ Birth Control Patch)

การแปะแผ่นยาคุมที่มีตัวยาฮอร์โมนประเภทเดียวกับยาคุมชนิดเม็ดและยาคุมแบบฉีด ใช้แปะบริเวณผิวหนังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้ตัวยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง

ข้อดี : 

  • ใช้ง่าย สะดวก สามารถแปะแผ่นยาและแกะออกได้ด้วยตนเอง
  • มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการทานยาคุมชนิดเม็ด

ข้อเสีย :

  • ต้องเปลี่ยนแผ่นยาทุกสัปดาห์
  • ต้องคอยเช็กว่าแผ่นแปะมีการหลุดออกหรือไม่
  • อาจเกิดอาการคัน แสบ หรือระคายเคืองผิวหนัง
  • อาจมีอาการข้างเคียง เช่น เจ็บเต้านม คลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดศีรษะ เป็นต้น

ข้อควรระวัง :

  • ไม่ควรถอดแผ่นแปะออก แม้ว่าจะไม่ได้มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำก็ตาม

ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด :  92%

ยาคุมที่เอามาเปรียบเทียบให้ดูเป็นเพียงแค่การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวนะ ไม่สามารถคุมกำเนิดได้แบบ 100% และต้องขอย้ำกับน้องๆ ชาว Dek-D เลยว่า ยาคุมกำเนิดพวกนี้ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์! ดังนั้น อย่าลืมใช้ถุงยางอนามัยป้องกันด้วยทุกครั้ง และหากใครยังไม่มั่นใจว่าตัวเองเหมาะจะใช้ยาคุมแบบไหน ก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหรือเภสัชก่อนใช้ยาจะดีที่สุด เพราะยาคุมแต่ละแบบก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงที่ต่างกัน

ข้อมูลจากhttps://www.medparkhospital.com/en-US/lifestyles/birth-control-pillshttps://www.healthline.com/health/birth-control-implanthttps://www.intouchmedicare.comhttps://www.yalemedicine.org/news/intrauterine-devices-iudhttps://www.samitivejhospitals.com/article/detail/birth-control-patches
Dek-D Team ทีมคอลัมนิสต์ Dek-D

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด