สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com .... มาแล้วๆๆ เจอกับ พี่เป้ และคอลัมน์เล่าประสบการณ์เด็กนอกเช่นเคยนะคะ ^^ ช่วงนี้เห็นจะไม่มีข่าวอะไรดังไปกว่าเรื่องของญี่ปุ่นแล้วล่ะ คิดทีไรก็สลดใจทุกทีเลย .... แต่สำหรับประสบการณ์เด็กนอกวันนี้ เป็นเรื่องราวดีๆ จากญี่ปุ่นค่ะ หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เจ้าของเรื่องวันนี้เค้าเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นและมีความประทับใจต่อญี่ปุ่นมากทีเดียว ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ลองอ่านดูได้เลยค่ะ


(เอ็มเจ คนกลาง)

          สวัสดีครับ ผมชื่อศราวุธ เอี่ยมเล็กครับ ชื่อเล่น “เอ็มเจ” ตอนนี้เรียนอยู่ที่ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย้อนไปเมื่อ 3 ปีก่อน ผมได้รับทุน KOENKAI จาก Nanzan University ให้เรียนที่ Faculty of Policy Studies ในฐานะนักศึกษาต่างชาติระดับอนุปริญญา-ปริญญาตรี ที่ประเทศญี่ปุ่นครับ

          Nanzan University ตั้งอยู่ที่จังหวัด Aichi เมือง Nagoya(นาโกย่า) จริงๆ มหาวิทยาลัยมีอยู่ 2 วิทยาเขตคือ Nagoya Campus และ Seto Campus ซึ่งเป็นวิทยาเขตที่ผมเรียนครับ คณะที่ผมเรียนคือ Faculty of Policy Studies เป็นคณะแนวใหม่ๆ ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ถ้าแปลตรงตัวก็อาจจะแปลได้ว่า “คณะนโยบายศึกษา” นั่นเองครับ  สอนเกี่ยวกับสภาพปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหาและแนวโน้มในการป้องกันปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งญี่ปุ่นและทั่วโลกครับ โดยมี 3 สาขาวิชา คือสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(ด้านการปกครองและประวัติศาสตร์) สาขาการบริหาร และสาขาสิ่งแวดล้อมครับ    

          ตอนไปแรกๆ ก็แอบกลัวอยู่ครับว่าจะสามารถสื่อสารและปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ และการใช้ชีวิตในญี่ปุ่นได้มากน้อยขนาดไหน เพราะว่าการเรียนการสอนทุกอย่างเป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลยครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไมได้ก็คือเพื่อนๆ ครับ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นรู้จักกันเองอยู่ในแวดวงของนักศึกษาต่างชาติด้วยกันเองและก็รุ่นพี่คนไทยมากกว่าครับ เช่น คนจีน(เยอะมาก) ไต้หวัน เกาหลีใต้ เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ เป็นต้น และที่ขาดไม่ได้เลยคือ เพื่อนชาวญี่ปุ่นด้วย (ฮ่าๆ)

          เรื่องการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับญี่ปุ่นนั้น ก็ไม่ค่อยมีอะไรที่แตกต่างกันมากนักครับ ในเรื่องของการเรียน วิชาที่เรียน ชั่วโมงเรียน ก็เป็นรูปแบบคล้ายๆ กัน ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยไปวันๆ เข้าเรียนไปก็นั่งฟังบรรยาย จดเลคเชอร์จากอาจารย์ ทำการบ้าน ส่งรายงาน และก็สอบ เป็นต้น ส่วนสิ่งที่แตกต่างกันคือเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายไปมหาวิทยาลัยครับ ของไทยจะต้องใส่ชุดนิสิตนักศึกษาไปนั่งเรียน มีอาจารย์ฝ่ายปกครองมานั่งจับผิดเวลาพวกเราแต่งตัวผิดระเบียบกันใช่มั้ยครับ แต่ชีวิตนักศึกษาในญี่ปุ่นนั้นไม่มีเครื่องแบบเหมือนอย่างไทยครับ ส่วนใหญ่ก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ สำหรับผู้หญิงก็จะมีฟังชันก์เยอะๆ หน่อยครับ ตามแฟชั่นขั้นเทพ (บางทีอาจดูแปลกตาแปลกใจไปบ้างครับ) และอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างคือ ที่ญี่ปุ่นใช้ภาษาญี่ปุ่นในการเรียนการสอนทั้งหมดครับ (ฮ่าๆ ไม่แปลก ก็เรียนที่ญี่ปุ่นนิ) และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เอ็มเจต้องพยายามฝึกฝนทักษะด้านภาษาของตนเองให้สามารถสื่อสารและทำความเข้าใจในบทเรียนต่างๆ ด้วยครับ

          ต่อไปเอ็มเจจะขอแนะนำวิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่เอ็มเจใช้ตลอดเวลาของการเรียนภาษาญี่ปุ่นครับ นั่นก็คือ หมั่นคัดศัพท์รวมถึงคันจิ และท่องศัพท์ในบทเรียนและที่พบเห็นทั่วไปบ่อยๆ ครับ โดยสิ่งที่เอ็มเจค้นพบก็คือ เราจะไม่สามารถแต่งประโยคหรือพลิกแพลงการเขียนประโยคตามหลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นได้เลย ถ้าตัวของเราเองยังไม่สามารถจดจำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นได้ นั่นก็หมายถึงว่าเราจะไม่สามารถนำคำศัพท์เหล่านั้นมาใช้เขียนเป็นประโยครวมถึงนำมาใช้พูดสื่อสารกันได้ครับ แต่ก็อยากจะขอย้ำนะครับว่า วิธีการแต่ละวิธีนั้นไม่ใช้สูตรสำเร็จที่จะสามารถใช้ได้กับทุกคนเสมอไป แต่เป็นเพียงวิธีที่เหมาะสมกับลักษณะและรูปแบบการเรียนของแต่ละคนเองครับ

          สำหรับเรื่องที่พัก ทางมหาวิทยาลัยให้นักศึกษาต่างชาติทุกคนพักที่หอพักของมหาวิทยาลัย โดยแบ่งแยกหอพักชายกับหอพักหญิงไว้ไกลกันมากครับ เอ็มเจพักที่หอพักชาย ใช้เวลาเดินจากหอไปมหาวิทยาลัย 15 นาทีเองครับ ส่วนหอพักหญิงนั้นอยู่ไกลออกไปหน่อยเลยต้องมีบัสรับ – ส่งครับ  เอาเป็นว่าใครที่ชอบนอนตื่นสายหรือไม่ตรงต่อเวลานั้น ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนตรงต่อเวลาเลยครับ เพราะว่ารถบัสรวมถึงรถไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นนั้นเป็นอะไรที่ตรงเวลามากครับ โดยส่วนใหญ่จะมีตารางเวลาถึงหรือออกรถติดบอกไว้ที่ป้ายรถบัสและสถานีรถไฟติดไว้ไห้ดูเลยครับ (ใครตื่นสายจะอ้างไม่ได้ว่ารถติดครับ ไม่เหมือนที่ไทยเลยครับ ฮ่ะๆ)

          ขอย้อนกลับมาที่ห้องพักครับ คือ 1 ห้องใหญ่ จะแบ่งออกเป็น 4 ห้องเล็ก (ขนาด 3x4 เมตร) โดยแต่ละห้องเล็กนั้น จะเป็นห้องนอนส่วนตัวของนักศึกษาแต่ละคนครับ และจะมีนักศึกษาพักอยู่ไม่ซ้ำประเทศกันเลยครับ ห้องที่เอ็มเจพัก ก็มีคนจีน ไต้หวัน ไทย และก็ญี่ปุ่นครับ ซึ่งก็เป็นเป็นห้องที่เข้ามาอยู่ใหม่หมดเลย ก็เลยยังไม่ค่อยได้คุยได้สนิทกันเท่าไหร่ครับ (เพราะว่าพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดกันแต่ละทีก็จะเมื่อยมือมากๆ) และก็จะมีบริเวณในห้องรวมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ที่ทำครัว โต๊ะอาหาร โทรทัศน์ ไมโครเวฟ ตู้เย็น โซฟา และก็ยังมีห้องส้วมและห้องอาบน้ำอีก 2 ห้อง ซึ่งมีทั้งแบบฝักบัวธรรมดาและแบบญี่ปุ่นที่สามารถลงไปแช่น้ำร้อนได้ทั้งตัว และก็เครื่องซักผ้าพร้อมเครื่องอบผ้าด้วย คือพูดได้คำเดียวครับว่า สะดวกสบายสุดๆ ราคาถูกด้วย ค่าห้องก็จ่ายกันคนละ 25,000 เยน/เดือน (ประมาณ 10,000 บาท) เป็นแบบเหมาจ่ายครับ (น้ำและไฟใช้ได้ไม่อั้น) ส่วนในห้องเล็กหรือห้องนอนอันน้อยนิดของเอ็มเจ ก็มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันครับมีเตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ และแอร์ครับ 

          เรื่องต่อไปก็จะเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ สำหรับแหล่งสถานบันเทิงต่างๆ ที่เป็นสถานที่ที่นักศึกษาที่นั่นเอาไว้พักผ่อนหย่อนใจครับ (ข้ออ้างๆ) แต่วิทยาเขตที่เอ็มเจเรียนไม่ค่อยมีแหล่งบันเทิงเลยครับ เพราะว่าเป็นแถบบริเวณชานเมืองมากๆ ครับ หรือในอีกทางหนึ่งก็ต้องพูดว่าเหมาะกับการศึกษามากครับ (แฮะๆ) แต่ก็มีบ้างครับ และก็มักจะได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ การ“ไปร้องเกะ” (ร้อง Karaoke) แบบข้ามคืน (6โมงเย็น – 6โมงเช้า) แต่ถือว่าเป็นข้อดีครับ เพราะว่าจะเป็นการฝึกฝนการอ่านอักษร kanji ไปในตัวด้วย (ข้ออ้างมากๆ) แล้วก็ราคาถูกด้วยครับ คนละ 1,000 เยน (ประมาณ 350 บาท)

          แต่ถ้าต้องการพักผ่อนหย่อนใจ ซื้อของ ซื้อเสื้อผ้า และแหล่งรวมแฟชั่นต่างๆ แบบจัดเต็ม พวกเราก็ต้องนั่งรถไฟฟ้าเข้าไปในตัวเมือง เช่น นาโกย่า (Nagoya) ซากะเอะ (Sagae) และโอสุ (Osu) เป็นต้นครับ หรือถ้ามีช่วงเวลาที่มีวันหยุดยาวๆ ก็จะจัดทริปไปเที่ยวสวนสนุกบ้าง หรือไม่ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดเลยครับ ส่วนใหญ่ก็จะไปที่ Tokyo Disneyland หรือไม่ก็ลงไปเที่ยวเกียวโต (Kyoto) โอซาก้า (Osaka) โกเบ (Kobe) ครับ

          และถ้าพูดถึงความประทับใจต่อญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นคนที่ตรงต่อเวลา และมีระเบียบแบบแผนในการดำเนินชีวิต (จากที่สังเกตได้) และอีกสิ่งหนึ่งที่ประทับใจก็คือ การช่วยกันรักษาความสะอาดของทุกสถานที่ทั้งบ้านและที่สาธารณะครับ ทำให้บ้านเมืองน่าอยู่มากๆ ครับ แต่อีกด้านหนึ่งก็คือ คนญี่ปุ่นเป็นคนที่ไม่ชอบพูดอะไรตรงๆ มักจะมีสำนวนภาษาญี่ปุ่นมากมายที่สร้างมาใช้ในการปฏิเสธ หรือแสดงถึงความต้องการปฏิเสธ ในด้านหนึ่งก็คิดได้ว่าเป็นเรื่องดีที่มีการรักษาน้ำใจซึ่งกันและกัน แต่ในอีกด้านหนึ่งก็อาจทำให้คู่สนทนาไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ ยกตัวอย่างเช่นตัวของเอ็มเจเองที่มักจะพูดออกไปตรงๆ ซึ่งคนญี่ปุ่นมักไม่ค่อยทำกัน (ตัวอย่างนี้ก็ต้องระวังนะครับ เพราะว่าที่เป็นอีกวัฒนธรรมการสื่อสารอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นครับ)   

           อีกเรื่องคือ การได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น เอ็มเจต้องนั่งทำตารางเวลาประจำวัน (Daily schedule) เป็นของตัวเองเลยครับว่าแต่ละวันมีอะไรต้องทำบ้าง บางคนอาจจะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยมาก แต่สำหรับคนญี่ปุ่นสำคัญมากครับ ถ้าเราไปเรียนสายหรือไปทำงานสาย เราก็จะถูกตักเตือนจากอาจารย์หรือหัวหน้างานในเรื่องตรงต่อเวลาทันทีครับ คนญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามากครับ เพราะพวกเขาถือว่าเป็นสิ่งแรกที่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็นถึงการมีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นครับ สำหรับผมเองก็ต้องอาศัยเวลาปรับตัวเช่นกันครับ ตกรถไฟฟ้า(ประจำ) ตกรถบัส ขึ้นรถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายไม่ทันจนต้องนอนที่สถานีรถไฟฟ้ามาแล้วก็เคยครับ รู้สึกเหมือนพวก Homeless ที่ต้องอาศัยนอนกันที่สถานีรถไฟฟ้าเลยครับ เหอๆ

            จากประสบการณ์ต่างๆ มากมายที่ได้รับครั้งนี้ เอ็มเจพูดได้อย่างเต็มปากครับว่ามีคุณค่ามากๆ ครับ นอกจากได้รับความรู้แล้ว ก็ยังเป็นการได้ค้นพบและทดสอบความอดทน  รวมทั้งได้ทดสอบจิตใจที่คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ และเพื่อนๆ ที่ไทย ทำให้เอ็มเจได้เรียนรู้เรื่องต่างๆ ในสังคมที่แตกต่างของสังคมญี่ปุ่น และต่างกับสังคมไทยด้วยครับ ได้เรียนรู้ และเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวอย่างมากครับ จนสามารถพูดได้ว่า ประสบการณ์ครั้งนี้เป็น “Valuable Experience in Japan” เลยล่ะครับ  

 


            เป็นเรื่องที่ยาวมากแต่อ่านแล้วได้อะไรเยอะเลยนะเนี่ย ^^ พี่เป้ ชอบสุดก็ตรงหอพักของนักศึกษาเนี่ยแหละ ฟังจากที่เอ็มเจเล่าแล้วหรูมากกกกกกกกกกก อย่างกับโรงแรมเลยทีเดียว ฮ่าๆ ชอบๆ แต่ยังไงก็ตาม ก็ขอเอาใจช่วยญี่ปุ่นให้ผ่านพ้นวิกฤตร้ายนี้ไปได้โดยเร็ววันนะคะ .... ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง ก็ส่งมาให้ พี่เป้ ได้ที่ pay@dek-d.com ได้เลย แล้วไว้เจอกันค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: ฮิคิโคโมริ (ทำ)อะไรอยู่ในห้อง...?; tags: ฮิคิโคโมริ ฮิคกี้ ญี่ปุ่น จิตเวช อาการ โรค วัยรุ่น สังคม ภาษา

 

เรื่องราวดีๆ จากนักเรียนทุน ส่งตรงจาก
"เกาหลีใต้"
เล่าเรื่องผ่านภาพถ่าย ที่ใครเห็นก็ต้องชมว่า "เจ๋ง"

Available on Dek-D.com, Study Abroad
Thursday 31 Mar 2011.

 

พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

26 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
อยากเกิดเป็นคนรวย 24 มี.ค. 54 10:24 น. 3
ต่อเดือน 10,000 บาท นี่ถ้าไปทำงานไม่ได้ไปเรียนล่ะก็... จะไปนอนหน้ากงศุไทยในญี่ปุ่นซะเลย!

เเต่ก็จริงเหละ...ญี่ปุ่นค่าครองชีพค่านู่นค่านี่สูงปรี๊ด ถ้าใครอยากอยู่เเบบสบายๆ ก็ต้องเป็นคุณหนูคาบช้อนเงินถือพานทองมาเกิดเท่านั้นล่ะ

(ปล.ต้อง 'พานทองเเท้' เท่านั้นนะ จะมา 'พานทองเทียมหรือพานทองชุบ' ไม่ได้หรอก เหอะๆ)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
อีฟฟี่พิ้งค์กี้เรนเจอร์ 25 มี.ค. 54 22:40 น. 17
รุ่นพี่เราเองงงงง พี่เอ็มเจ(ผู้หญิงข้างๆก้อเพื่อนเราเหมือนกัน อิอิ)
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด