กาลครั้งหนึ่ง ณ ญี่ปุ่น เมื่อฉันได้ไปใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่เคยโดนสึนามิพัดถล่ม

      สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com ... เจอกับ พี่เป้ และเล่าประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ เช่นเคย^^ประสบการณ์ที่นำมาฝากวันนี้เป็นประสบการณ์จากญี่ปุ่นที่น่าสนใจมากกกกกเลยจ้า


      สวัสดีค่ะน้องๆชาว Dek-D.com ทุกคน ไม่ได้แวะมาเล่นนานเลย สมัยก่อนพี่เข้าทุกวันเลยน้า ^_^ พี่ชื่อ "พี่ตุลย์" ค่ะ ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่ 4(ฮือออ แก่แล้ว TT) คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่ขอแทนตัวเองว่า 'เรา' นะคะ จะได้ดูเป็นวัยเดียวกัน อิอิ

      ย้อนหลังไปเมื่อ 2 ปีก่อน เราได้เข้าร่วมโครงการ JENESYS 2.0 Disaster Prevention โดยทางญี่ปุ่นจัดร่วมกับ สท.ของบ้านเรา ขั้นตอนการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการก็มีอยู่ 2 ประเภทคือ 1.สมัครเข้าร่วมโดยผ่านทางมหาวิทยาลัย กับ 2.ตัวสำรองที่เคยสมัครสอบโครงการ JENESYS 2.0 แบบแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมคราวที่แล้ว ทางสท.จะเป็นฝ่ายโทรแจ้งเองว่า คุณได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ส่วนเราเป็นแบบที่ 2 นะเคอะ เลยไม่รู้ว่าเค้าไปประชาสัมพันธ์โครงการกันตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ไปนั่งปฐมนิเทศเรียบร้อยแล้ว

      โครงการนี้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักในการให้ความรู้เกี่ยวกับด้านการรับมือกับภัยพิบัติแก่ผู้เข้าร่วมโครงการ โดยสามารถนำไปเผยแพร่ต่อไปในประเทศตนได้ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศผู้เข้าร่วมและที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยในด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว


      ผู้เข้าร่วมโครงการก็เป็นนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศจำนวน 72 คน โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มแพทย์และพยาบาล กลุ่มวิศวกรรมศาสตร์(รวมสถาปัตย์) และกลุ่มสังคมศาสตร์(รวมแนวอักษร บัญชีเศรษฐศาสตร์ และนิติด้วย)ค่ะ จากนั้นก็จะจับกลุ่มแบ่งย่อยซอยถี่ลงไปอีกสเตปแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ Iwate กับ Miyagi โดยกลุ่ม Iwate จะเป็นวิศวะ 24 คน สังคม 12 คน อีกกลุ่มคือ Miyagi จะเป็นแพทย์และพยาบาล 24 คน สังคม 12 คน เราอยู่กลุ่ม Miyagi ค่ะ

       โครงการนี้ให้ 10 เต็ม 10 เนื่องจากดูแลผู้ร่วมโครงการดีม๊ากมาก ความรู้แน่น ความสนุกเพียบ เพื่อนดี ชีวิตดีค่ะ พวกเราเดินทางออกจากโตเกียวมุ่งสู่เมืองเซนไดโดยสารรถไฟชินคันเซน ขึ้นที่ Tokyo Station ช่วงเวลาที่ไปอนุมานเอาได้ว่าคงเป็นช่วงเวลาเร่งรีบของที่นั่น เพราะคนเยอะเดินสับเท้ากันพึ่บพั่บๆ(ขนาดวันเสาร์นะเนี่ย) บนชานชาลามีของฝากกระจุกกระจิกน่ารักอย่างช้อนส้อมชินคันเซน รถไฟชินคันเซน สมเป็นประเทศที่ทุกย่างก้าวมีของก่อกิเลสให้เงินปลิวหลุดจากกระเป๋าได้จริงๆ ค่ะ

  
    เนื่องจากชินคันเซนเป็นรถไฟที่วิ่งเร็วมาก การจะถ่ายวิวโดยใช้กล้องกากๆ และคนถ่ายที่กากกว่า(แบบเรา)จึงเป็นไปได้ยากมาก เพราะขณะกำลังจะกดชัตเตอร์ อ่ะ แชะ... อ้าว กลายเป็นอุโมงค์ไปในพริบตา  กดๆ ถ่ายๆ อุโมงค์นี้อยู่หลายรอบ เพราะรถลอดอุโมงค์บ่อยมาก เลยหมดอารมณ์เก็บกล้องและเก็บบรรยากาศด้วยตาแทนค่ะ วิวในเมืองกับนอกเมืองนี่ต่างกับลิบลับ ตึกรามระฟ้าหายไปเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกับภูเขาตัดกับท้องฟ้าสีจัดในฤดูร้อน ขอดื่มด่ำบรรยากาศแบบนี้ไปก่อนละกันนะคะ
 
     ดื่มด่ำซักพักก็หลับค่ะ คร่อก...หลับกันทั้งรถเลยด้วย 555 ทางเจ้าหน้าที่รถไฟก็นำรถเข็นมาขายของเป็นระยะๆ มีทั้งของกินของฝากตามแคตตาล็อกหน้าเบาะเลยค่ะ วาร์ปไปที่หมู่บ้านเลยละกันนะคะ ไม่งั้นกระทู้นี้จะกลายเป็นมหากาพย์ไปแน่นอน หมู่บ้านที่เราไปพักอาศัยกันนั้น มีชื่อว่า Tsukihama ค่ะ เป็นหมู่บ้านริมทะเลที่เมื่อครั้งนั้นก็โดนมหันตภัยสึนามิปี 2011 พัดถล่มราบเป็นหน้ากลองเหมือนกัน 

  
      บ้านพักที่เราไปพักกันเป็นเกสต์เฮ้าส์ของคุณ Katsumi Ono ที่สามวันสองคืนนั้นมีแต่กลุ่มเราทั้งบ้าน ถือว่าสร้างแลนด์มาร์คยึดครองพื้นที่เลยทีเดียว บ้านพักเป็นบ้านหลังขนาดใหญ่มี 2 ชั้น ข้างล่างมีล็อบบี้ที่เน็ตแรงที่สุดในบ้านเป็นแหล่งสุมหัวยามต้องการเน็ตของกลุ่ม โดยข้างหลังล็อบบี้จะเป็นห้องพักของเจ้าของบ้าน 
   
      ก่อนจะเข้าบ้าน ก็จะต้องมาเปลี่ยนรองเท้าใส่สลิปเปอร์สีน้ำตาลตรงนี้ ซึ่งเจ้าสลิปเปอร์ยางสีน้ำตาลนี้คงจะเป็นทรงมาตรฐาน เพราะไม่ว่าจะไปพักรีสอร์ทหรือเข้าสำนักงานก็จะเห็นทรงแบบนี้และวัสดุแบบนี้เต็มไปหมด ถัดไปก็จะเป็นห้องอาบน้ำชาย ห้องน้ำชาย ห้องอาบน้ำหญิง และห้องน้ำหญิงค่ะ(อาบน้ำรวมแบบในการ์ตูนญี่ปุ่นนั่นแหละค่ะ ที่จะเป็นแบบโอฟุโระ) ฟากตรงข้ามจะเป็นห้องอาหารที่นั่งทานกับพื้น ใครเป็นเหน็บบ่อยๆ ก็รู้กันคราวนี้แหละ


 
      ชั้นบนก็จะเป็นห้องพักประมาณ 5-6 ห้อง(ไม่ได้นับละเอียด) ห้องทำอาหารมีกระทะ เตาแก๊สให้เรียบร้อย และห้องน้ำแยกชายหญิง ภายในห้องพักปูด้วยเสื่อทาทามิ มีโต๊ะกลางห้อง เครื่องชงชาเป็นเซ็ต กระติกน้ำร้อน โทรทัศน์เครื่องจิ๋ว แล้วก็ตู้เซฟค่ะ ส่วนเครื่องนอนและอุปกรณ์อาบน้ำจะเก็บไว้ในตู้ค่ะ เวลาจะนอนก็หยิบลงมาปูเอง ซึ่งตัวฟูกที่นอนนั้นหนักมาก ปูเสร็จทีนึงนึกกว่ากล้ามจะขึ้น ห้องที่เราพักสามารถมองเห็นทะเลได้จากตรงระเบียงเลยล่ะค่ะ ช่วงตอนนั้นอากาศหนาวเล็กน้อย ลมพัดมาทีก็ขนแขนสแตนด์อัพแบบเบาๆ
   
       สำรวจห้องเสร็จก็ลงไปสำรวจชายหาดกันล่ะทีนี้ ระหว่างเดินไปชายหาดเราก็เป็นตู้คอนเทนเนอร์ที่ดัดแปลงเป็นบ้านพักชั่วคราวที่ดูกระจุ๋มกระจิ๋มสุดๆ แต่ถึงจะดูน่ารักยังไงก็ไม่มีใครอยากทิ้งบ้านเดิมของตัวเองไปอยู่แบบนั้นหรอก ใช่มั้ยคะ มันเลยเป็นความรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างชื่นชมความน่ารักเป็นระเบียบกับความรู้สึกสงสารจากการเสียบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ไปตอนมองบ้านพักชั่วคราวแบบนี้น่ะค่ะ บ้านของที่นี่ก็โล่งๆ จนแทบจะนับหลังได้เลยค่ะ พอมองออกจากห้องพักตรงระเบียงก็จะเห็นว่ามีพื้นที่ที่กำลังก่อสร้างบ้านอยู่ด้วย


     ชายหาดของทะเลที่นี่ดูเงียบสงบ สงบจนเหงา มีแต่เสียงนกกับเสียงคลื่นที่โถมกระทบชายฝั่งอย่างรุนแรง เกิดมายังไม่เคยฟังคลื่นที่เสียงดังอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ ทั้งทรงพลังแล้วก็หลอนมาก ตอนนั้นไม่มีใครลงไปเล่นน้ำทะเลเลยซักคนเดียว เพราะเราไม่ได้มีจุดประสงค์มาเพื่อเล่นน้ำทะเล และการลั้นลาร่าเริงเกินไปอาจจะไปกระทบจิตใจของชาวบ้านได้ค่ะ(จากการแนะนำของเจ้าหน้าที่โครงการ) 

     ณ เวลานั้นก็เกือบหกโมงเย็นได้ ชาวบ้านไม่มีใครเดินเล่นข้างนอกเลย จะมีบ้างก็เป็นรถกระบะขนาดมินิที่นานๆทีจะขับผ่านให้เห็น เลยตัดสินใจกลับเข้าบ้านไปเพราะได้เวลาอาหารเย็นพอดี อาหารเย็นมื้อแรกของที่นี่ต้อนรับได้ดีมากประหนึ่งเป็นแขกบ้านแขกเมืองกันเลยทีเดียว ก่อนมาที่นี่ทำใจไว้แล้วค่ะว่า อาจจะกินแค่ข้าวปั้นกับผักก็ถือว่าโอเคแล้ว เพราะไม่อยากรบกวนเจ้าของบ้านมากเกินไป แต่ผลลัพธ์ออกมาตรงข้ามกับที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง อลังการงานสร้างด้วยอาหารทะเลจนตอนกลับมาไทยงดกินปลาไปพักใหญ่ เพราะอยู่ที่นี่กินอาหารทะเลมันทุกมื้อเลย มื้อนี้นี่อิ่มจนแทบกลิ้ง กินกันลืมตายล่ะค่ะ เติมแล้วเติมอีก พอกินเสร็จก็ช่วยกันเก็บโต๊ะ เบาะรองนั่ง ทิ้งเศษอาหารต่างๆนานา พอเคลียร์ห้องเสร็จนี่แทบช็อก เพราะห้องโล่งประหนึ่งถูกยกเค้ากันเลยทีเดียว เพิ่งมารู้ทีหลังว่า โต๊ะไม่ต้องเก็บก็ได้ เพราะเอาออกมาวางลำบาก ต้องกะระยะอีก แป่ว...


       เนื่องจากห้องน้ำต้องอาบรวมกัน เลยต้องแบ่งคิวกันอาบน้ำค่ะ คิวเราได้สี่ทุ่มกว่าก็คือดึกสุดเลย ว่างๆเลยใส่ชุดยูกาตะชงชา(จืดสนิท)ดื่มกันให้เข้ากับบรรยากาศเล็กน้อย อ่า...ระหว่างรออาบน้ำก็ลงมานั่งเล่นเน็ตที่ล็อบบี้เป็นระยะๆ ปรากฎว่าพบเจ้าของเกสต์เฮ้าส์กำลังกลับบ้านตอนสี่ทุ่มค่ะ เราก็ทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่นแบบกระท่อนกระแท่นกันไป พอเห็นเราทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น เค้าก็นึกว่าเราพูดได้เลยมานั่งข้างเราพอดี ทีนี้ก็ยาวเลยค่ะ นั่งชี้โบ๊ชี้เบ๊ ใครเคยเทคคอร์สมาบ้างนี่ลากมานั่งเป็นล่ามให้เลย

     คุยๆ กันไปมาก็มีหัวข้ออยู่ไม่กี่เรื่องก็คือ 1.ข้าวอร่อยมาก: คุณลุงบอกว่า ข้าวที่เราทานเป็นสายพันธุ์ที่ดีค่ะ ชื่ออะไรซักอย่างที่แปลว่า แก้มของเจ้าหญิง คุณลุงก็อธิบายว่า ที่มีชื่อนี้เพราะข้าวทั้งขาวและก็นิ่ม เนียนละเอียดเหมือนแก้มของเจ้าหญิงเลย พร้อมท่าประกอบในการลูบแก้มตัวเองเบาๆแบบมุ้งมิ้ง

      2. สถานที่ท่องเที่ยว: ตอนนั้นนั่งเดดแอร์กันเลยหาภาพสวยๆ ในโบรชัวร์บนโต๊ะมาถามไปเรื่อยๆ ค่ะ เค้าก็บอกว่า สมัยก่อนน่ะ ทะเลที่นี่คนมาเที่ยวเยอะมากเลยนะ ทุกๆ หน้าร้อนจะมีคนอยู่เต็มไปหมดเลย แต่พอสึนามิพัดถล่ม ที่นี่เลยปิดปรับปรุงหาด เลยไม่มีคนมา (คุยเรื่องนี้แล้วเศร้าค่ะ เดี๋ยวจะมีเนื้อหาว่าทำไมเศร้าแบบนี้)


      3. สึนามิ: คุณลุงหยิบโบรชัวร์ของหมู่บ้านขึ้นมา เป็นภาพที่หลังเกิดสึนามิขึ้นก็มีอาสาสมัครมาช่วยเหลือ มีภาพหลานของคุณลุงกำลังกินข้าวในบ้านพักชั่วคราว ภาพของการอยู่แบบขาดแคลน ไม่มีน้ำอาบ ไม่มีไฟฟ้า และซากปรักหักพัก ตอนที่คุยเรื่องนี้ ตาของคุณลุงดูแดงๆ และมีน้ำตาคลอเบ้า คุณลุงชี้ไปที่แผนที่ถ่ายจากอากาศ เกสต์เฮ้าส์ที่เราอยู่เคยมีบ้านอีกหนึ่งบล็อกอยู่ก่อนถึงทะเล แต่ถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง เหลือบ้านของคุณลุงที่หันออกทะเลโดยไม่มีบ้านหลายหลังมากั้นแบบเมื่อก่อน จากนั้นเราก็คุยสัพเพเหระแบบนิดๆ หน่อยๆ ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ คุณลุงก็คงเหนื่อยจากการทำงานเลยขอตัวไปนอนเหมือนกัน 

      ถ้าว่างๆจะเขียนเล่าประสบการณ์วันอื่นเพิ่มเติมให้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามและให้กำลังใจค่ะ
น้องๆสามารถแวะมาพูดคุยหรือติดตามพี่ตุลย์ได้ทาง
Public IG: tousleschoux 
Private IG: nawatchrtoon

       

    
       เป็นเรื่องราวและประสบการณ์ดีๆ กับการได้เดินทางไปทำประโยชน์ในต่างแดน ถ้ามีโอกาสแบบนี้สักครั้งในชีวิตก็คงจะดีมากเลย^^ ส่วนใครมีประสบการณ์เด็กนอกสนุกๆ อยากแบ่งปันเพื่อนๆ แบบนี้บ้าง เขียนส่งมาได้ที่ pay@dek-d.com แล้วเจอกันจ้า
พี่เป้
พี่เป้ - Columnist มนุษย์บ้างานและบ้านวด ผู้ตกหลุมรักปลาแซลมอน การนอน และและออฟฟิศ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด