อยากให้ลองดูคลิปนี้ก่อนที่เราจะไปอ่านกันต่อครับ
สวัสดีชาว Dek-D ทุกคนครับ เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมบางคนเวลาฟังคนพูดไทยคำอังกฤษคำ แล้วรู้สึกตะหงิดๆ ใจจนถึงขั้นรำคาญ “ทำไมไม่พูดให้มันเป็นภาษาเดียวไปเลยล่ะ!” แต่ใจเย็นๆ กันก่อนทุกคน พี่วินเข้าใจความรู้สึกทุกๆ คนและพี่ก็มีเหตุผลมาบอกเหมือนกันว่าทำไมคนเราถึงพูดไทยคำ English คำครับ!
But first thing first, ในทางภาษาศาสตร์มี technical term (คำศัพท์เฉพาะ) ไว้เรียกการที่เราพูดภาษาสลับภาษาไปมาแบบนี้ว่า Code Switching ซึ่งการที่เราพูดภาษากลางกับภาษาถิ่นสลับกันก็เข้าข่ายด้วยนะครับ And now, without further ado, เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เราไปดูเหตุผลในการใช้ code switching กันเลยดีกว่า
1. คิดไม่ทัน: พอดีเรียนมาหลายภาษาจ้า
เหตุผลตามหัวข้อเลยครับ หลายๆ คนประสบปัญหาคิดคำไม่ทัน ลองนึกภาพดูว่าในการสนทนาเพียงแค่ไม่กี่วินาที เราก็พูดกันไปได้หลายประโยคแล้ว แต่กว่าจะออกมาเป็นคำพูดแต่ละคำ ต้องผ่านกระบวนการฟังคู่สนทนาแล้วคิดต่อว่าจะพูดอะไร ประมวลคลังคำที่หัวสมองเคยเรียนรู้ แล้วเรียบเรียงออกมาให้เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาจะเกิดมากขึ้นกรณีเรียนหลายภาษาครับ เพราะเราจะมีคำและรูปประโยคเพิ่มขึ้นอีก ถ้าคำไหนไม่ได้ใช้นานๆ ก็อาจถูกลืมไปบ้างพอถึงเวลาพูดคุยกัน ก็จะหยิบชุดคำหรือประโยคที่ตัวเองใช้บ่อยๆ มาพูดตามความเคยชินนั่นเองครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น การสลับภาษาแบบไม่ตั้งใจอาจเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ต่างประเทศนานๆ แล้วเพิ่งกลับไทย หรือคนที่ทำงานแล้วต้องสื่อสารกับชาวต่างชาติตลอด ทำให้พอเผลอพูดไทยคำ English คำเวลาคุยกับคนไทย ก็แค่นั้นเอง #นะจ๊ะ
2. ฝึกภาษา: ก็จะพูดแบบนี้ ใครแคร์
หลายคนเกิดคำถามว่าถ้าจะฝึกภาษาจริงๆ ทำไมไม่พูดเป็นภาษาอังกฤษทั้งประโยคเลยล่ะ ข้อนี้พี่วินมองว่าเขาอาจแค่ต้องการฝึกคำศัพท์ และจริงๆ แล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไรถ้าจะฝึกภาษาโดยใช้ code-switching ครับ ยิ่งไปกว่านั้น อยากให้ลองสังเกตว่า ถึงแม้ว่าจะ code switching แต่ถ้าประโยคที่พูดออกมามันถูกต้องตามไวยากรณ์ ฟังแล้วไหลลื่นไม่ดูฝืน ก็ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการสื่อสารได้เหมือนกันหรือต่อให้ดูฝืนก็เถอะ เราต้องไม่ลืมว่าไม่มีใครเก่งตั้งแต่แรก
ลองดูตัวอย่างกันครับ
การจะเขียน content ได้สักเรื่อง จะต้องมี idea ในหัว นอกจากนี้จะต้องมี skill ที่จะสามารถ elaborate สิ่งที่อยากจะอธิบายมันออกมา ตอนเริ่มเขียนแรกๆ มันอาจจะไม่ flow ไม่ well-organized, but that’s not matter ตราบใดที่เราพยายามต่อไป เชื่อว่าทุกคนทำมันออกมาได้ดีแน่นอน Practice makes perfect.
ฟังดูทะแม่งๆ ไม่เหมือนประโยคที่คนธรรมดาพูดเท่าไหร่ แต่ถ้าเราจะฝึกภาษาแล้วค่อยๆ พัฒนาเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ
ลองมองให้กว้างขึ้นไปอีก จริงๆ แล้วคนเป็นพ่อหรือแม่ก็สามารถ code switch กับลูกของตัวเองเพื่อให้ได้ฝึกภาษาแบบ bilingual เช่น ตั้งข้อตกลงไว้ว่าให้พูดภาษาไทยได้เฉพาะตอนอยู่ข้างนอกแต่พอก้าวเท้าเข้าบ้านแล้วต้องพูดภาษาอังกฤษเข้าบ้านเท่านั้น หรือกำหนดว่าต้องมีอย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ที่พูดภาษาอังกฤษทั้งวัน เป็นต้นครับ (ลองดูน้องเรนนี่ speak English all day ได้จากคลิปนี้ครับ)
3. เจาะจงผู้รับสาร: เพราะบางเรื่องเราไม่อยากให้เขารับรู้
ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้ลองนึกถึงการเม้าท์คนอื่นแบบระยะประชิดเช่น คุยกับต่างชาติเป็นภาษาอังกฤษ พอลับหลังเราก็ swtich ภาษามากระซิบเรื่องชาวต่างชาติคนนั้นกับเพื่อนคนไทยข้างๆ โดยคิดว่าผู้ถูกกล่าวถึงฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง
หรือสมมติเราไปแลกเปลี่ยนที่ San Diego, California แล้วได้ไปอยู่บ้านของครอบครัวหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าเราฟังภาษาอังกฤษออก เขาก็ไม่น่าจะคุยลับหลังเราด้วยภาษาอังกฤษได้ ดังนั้นพวกเขาเลยคุยกันเองด้วยภาษาสเปนจ้า แล้วค่อยหันมาพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ // เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเจอสถานการณ์ยืนงงในดงสนทนาที่เค้าคุยกันเองแล้วค่อยหันมาหาเราและบอกในสิ่งที่เขา discuss กันไปเมื่อกี้
ฉะนั้นแล้ว ถ้าอยากเจาะจงผู้รับสาร (นินทาใครซักคน) code-switching จะมีประโยชน์กับน้องๆ มาก แต่ระวังโป๊ะนะครับ! ต้องศึกษาให้มั่นใจก่อนว่าเขาฟังภาษาไหนออกบ้าง ไม่งั้นอาจหน้าแตกหรือโดนสวนเอาได้ (จริงๆ การนินทาไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็ switch ไปเลย)
4. แปลยาก: บางคำทับศัพท์ไปเลยง่ายกว่า (แถมได้อารมณ์กว่า)
ถ้าทุกวันนี้ใช้คำว่า ‘ภาวะโลกรวน’ แทนคำว่า climate change พี่เชื่อว่าหลายคนก็คงจะงงกันเป็นแถว และอาจต้องแปลเป็นไทยเพิ่มเติมให้เข้าใจ (เสียเวลามากขึ้นไปอีก) ก็เลยเลือกจะทับศัพท์เพื่อให้ดูเข้าใจง่ายและกระชับกว่าเช่น
Ignorant (adj.) แปลว่า โง่แบบขาดความรู้
ตัวอย่างประโยค: “ปัญหาก็มีให้เห็นอยู่ทนโท่ แต่บางคนก็ยังเป็นพวกอิกนอแรนต์ (ignorant) ไม่สนใจไม่คิดจะรับรู้ถึงปัญหาใดๆ”
Romanticize (v.) แปลว่า การทำให้ดูดีเกินความเป็นจริง
ตัวอย่างประโยค: “การคิดบวกกับการ romanticize ต่างกันแค่เส้นบางๆ บางคนเข้าใจว่าตัวเองกำลังคิดบวก แต่จริงๆ อาจกำลัง romanticize โดยไม่เข้าใจต้นตอปัญหาที่แท้จริงเลย
Localize (v.) แปลว่า ทำให้จำกัดอยู่ในเฉพาะพื้นที่
ตัวอย่างประโยค: ประเทศจีนนี่ localize มันทุกอย่างบนโลก องค์ความรู้หลายๆ อย่างเลยดูจี๊นจีน พอคุยกับคนอื่นแล้วไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรอก (not all)
Elite (n.) แปลว่า ผู้ลากมากดี
ตัวอย่างประโยค: ก็เป็นซะแบบเนี้ย! พอประเทศมีปัญหา พวกอีลีท (elite) ก็ยังใช้ชีวิตสุขสบาย ไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอก
เมื่อกี้พี่วินยกตัวอย่างคำไปแล้ว ทีนี้พี่มีเกมมาให้ลองเล่นกันสนุกๆ
จงแปลคำที่ขีดเส้นใต้ต่อไปนี้เป็นภาษาอังกฤษ (เฉลยอยู่ท้ายบทความ)
- “เอาล่ะค่ะนักเรียน คาบภาษาอังกฤษวันนี้เราจะมาทบทวนเรื่องกาลกันนะคะ หลังจากนั้นเราจะเริ่มเรียนเรื่องกรรมวาจกกันต่อค่ะ”
- ข้อมูลมหัตจะประกอบไปด้วยลักษณะอย่างน้อย 3 ประการ คือ มีปริมาตร (volume) มาก มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง (velocity) และมีความหลากหลายในโครงสร้างข้อมูล (variety)
- กระด้างภัณฑ์ และ ละมุนภัณฑ์ เป็นคำที่หลายคนเข้าใจผิดว่าราชบัณฑิตยสถานเป็นคนบัญญัติไว้ แต่จริงๆ แล้วเกิดจากคนในรัฐสภาไทยซึ่งไม่นิยมศัพท์ภาษาต่างประเทศเป็นคนเสนอชื่อ ส่วนราชบัณฑิตยสถานบัญญัติ 2 คำนั้นไว้ว่าส่วนเครื่องและส่วนชุดคำสั่งตามลำดับ
- คนเรามักจะมีสามัญทัศน์ต่อสิ่งหนึ่งๆ อยู่เสมอ เช่น คนจีนจะเป็นคนที่โช้งเช้ง พูดจาเสียงดัง
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายคำเลยที่ควรจะพูดทับศัพท์เขาไปเลย เพราะเป็นศัพท์วัฒนธรรม (cultural word) ไม่มีในภาษาไทย เช่น
Sous-vide (ภาษาฝรั่งเศส อ่านว่า ซูวี) หมายถึง การนำวัตถุดิบใส่ถุงสุญญากาศ แล้วนำไปผ่านความร้อนในอ่างน้ำหรืออุปกรณ์ไอน้ำที่อุณหภูมิคงที่จนกว่าจะสุก
Confit (ภาษาฝรั่งเศส อ่านว่า กงฟี) หมายถึง การตุ๋นอาหารด้วยน้ำมันจากสัตว์
Caramelized หมายถึง การทำให้อาหารให้มีสีเหลือเข้มเหมือนคาราเมล
ตัวอย่างเท่านี้ก็น่าจะเข้าใจแล้วว่า ทำไมบางคำควรจะทับศัพท์มากกว่าแปลออกมา
5. จดเลกเชอร์สนุก: จดได้เร็วกว่า กลับมาอ่านใหม่ก็สะดุดตา
คำศัพท์ในภาษาไทยย้าวยาวงั้นหรือ? Code-switching ช่วยคุณได้แน่นอนครับ! นอกจากจะใช้เวลาจดน้อยลงแล้ว ยังทำให้เลกเชอร์ของเราน่าอ่านขึ้นด้วย ลองนึกภาพดูว่าเวลาเราอ่านแบบ skimming เวลาเจอแต่ภาษาไทยเราจะรู้สึกลายตาไปหมด แต่ถ้าเจอภาษาอังกฤษขึ้นมาซักตัว มันเหมือนเราเจอ checkpoint ในหน้านั้นเลยทีเดียว มันจะสะดุดตาและชวนอ่านขึ้นเยอะ
จากประสบการณ์จดเลกเชอร์ของตัวเองเคยแทนคำว่า “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ด้วยอักษรจีนสองตัวคือ 科技 (ke1 ji4) เวลาพิมพ์คอมใช้ 4 ตัวอักษรเท่านั้น สั้นกว่าเยอะมาก หรือจะจดเป็นภาษาอังกฤษว่า sci-tech / SciTech ก็ได้
ใครเป็นสายจดเลกเชอร์ลองเอาวิธีนี้ไปใช้ดูก็ได้นะครับ (ส่วนพี่วินขออ่านเลกเชอร์เพื่อนแทนละกัน จดเองละอ่านลายมือตัวเองไม่ออกครับ TT)
6. กระตุกจิตกระชากใจ: ตอนแรกฟังแบบง่วงๆ พอเปลี่ยนภาษาหูผึ่งทันที
คล้ายๆ กับเวลาอ่านหนังสือหรือกลับมาดูเลกเชอร์ตัวเองเลย เวลาเราฟังอาจารย์อธิบาย เชื่อว่าต้องมีหลุดๆ กันบ้าง แต่พออาจารย์ code-switching ปุ๊บ หูผึ่งทันที รู้เลยว่าตรงนี้มีเนื้อหาสำคัญ ต้องจดแล้วนะ (หรืออาจจะตื่นตัวทันทีเพราะรู้ว่าจดไม่ทันแล้วจ้าาาา) มองในมุมกลับกัน ถ้าเราเป็นอาจารย์ เราก็อาจจะใช้ code-switching เพื่อดึงดูดความสนใจนักเรียนได้เหมือนกัน เหมือนเป็นการไฮไลต์ส่วนสำคัญให้กับสิ่งที่เราจะพูด ลองสังเกตดูว่าเวลาเรียนกับครูต่างชาติ หลายๆ ครั้งเขาพยายามจะพูดภาษาไทยเพื่อให้เราเข้าใจในสิ่งที่เขาสอนมากขึ้น
เราลองมาดูเพลงกันบ้าง มันต้องมีสักเพลงแหละที่เราชอบฟังถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยเขียนภาษานั้นๆ ยกตัวอย่างเพลงที่พี่วินชอบก็คือเพลง Mayonaka no Door (Stay with Me) - Miki Matsubara บอกเลยว่าพี่วินฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่พอถึงท่อนฮุกนี่ร้องได้เลย “สเตย์ วิธ มียยยย์....” แล้วที่เหลือก็ดำน้ำไปยาวๆ จ้า
7. ต้องการเข้าสังคม: แสดงตัวตนหรือทำให้เป็นที่ยอมรับ
บางครั้งการ code-switch ไปพูดภาษาต่างประเทศ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกัน และเขาก็จะ treat เราดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศด้วยครับว่าวัฒนธรรมเขาเป็นอย่างไร บางประเทศเขาอาจจะ treat คนต่างชาติดีกว่าคนในชาติตัวเอง ในขณะที่บางประเทศจะมองนักท่องเที่ยวเป็นคนนอก ถึงแม้ว่าเขาจะ treat เราดี แต่ก็ยังมองเราเป็นคนนอกครับ
ยกตัวอย่างเช่น การที่เราไปเที่ยวต่างประเทศแล้วมีไกด์ไปกับเราด้วย natives เขาย่อมรู้ว่าเรามีสถานะนักท่องเที่ยวก็เลย treat เราแตกต่างจากคนในประเทศด้วยกันเองครับ และที่สำคัญคือต้องระวังการ oversimplify ทั้งหมดจากสิ่งที่เรารู้เพียงแค่ผิวเผิน เพราะการไปต่างแดนเพียงแค่ไม่กี่วันนั้นไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าคนในประเทศนั้นเป็นอย่างไร
ในแง่ของการทำวิจัย โดยเฉพาะงานสายมนุษยศาสตร์จะมีการลงภาคสนามเพื่อไปเก็บข้อมูลกับชาวพื้นเมือง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ชาวบ้านจะให้ความร่วมมือกับเราในครั้งแรก แต่ถ้าเราสามารถพูดภาษาของเขาได้ ก็อาจจะได้รับความร่วมมือมากขึ้นและได้ข้อมูลที่มีความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือด้วย
…….
การที่เราพูดไทยคำ English คำนั้นไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนดัดจริต คนไทยหลายๆ คนโดยเฉพาะคนรุ่นเก่ามีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการพูดภาษาอังกฤษ เวลาเรียนในห้อง นักเรียนหลายคนอายที่จะพูดภาษาอังกฤษ พอพูดชัดกลับโดนเพื่อนล้อหรือหัวเราะ ทำให้เด็กขาดความมั่นใจ เลยต้องพูดสำเนียงแบบไทยๆ สุดท้ายเลยทำให้ทักษะภาษาอังกฤษของเราไม่พัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นพี่วินอยากจะ encourage ทุกๆ คนที่กำลังฝึกภาษาที่สอง ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดพลาด ไม่ perfect คนเราผิดพลาดกันได้ตลอดเวลาครับ สู้ๆ จ้าทุกคนนนนน
เฉลยคำตอบ
- Tense, Passive Voice (Active Voice มีศัพท์บัญญัติว่า กรรตุวาจก)
- Big Data
- Hardware, Software, Hardware, Software
- Stereotype
2 ความคิดเห็น
กกันได้ไหมเธอยังเลย
เห็นด้วยค่า อยากให้รณรงค์ว่าการพูดไทยคำอังกฤษคำไม่ใช่เรื่องดัดจริตสักนิด ใครใคร่พูดก็พูดเถอะค่ะถ้ามันไม่ได้เป็น hate speech หรือทำให้ใครเดือดร้อน *-*