การระบาดของโควิด-19 สร้างได้สร้างความเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม การศึกษา การแพทย์ การคมนาคม โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งแนวคิดของคนก็เช่นกัน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมานี้กระแส Work-Life Balance ก็เป็นประเด็นที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญเป็น First Priority ในการเลือกงานที่ชอบและองค์กรที่ใช่ ดังนั้นหลายบริษัทจึงมีการทดลองปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์พนักงานมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ “การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” (4-Day Work Week) ซึ่งบางบริษัทถึงกับประกาศใช้นโยบายการทำงานนี้แบบถาวร รวมถึงชูเป็นสวัสดิการใช้ดึงดูดคนรุ่นใหม่มาร่วมงานด้วยเลยทีเดียวครับ
จากการเก็บข้อมูลและผลวิจัยจากหลายๆ แห่งเผยว่าพนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุขมากขึ้น ว่าแต่ดีต่อใจแบบนี้แล้วจะต่อบริษัทหรือไม่ แล้วงานที่ได้จะเวิร์กจริงหรือเปล่านะ?
วันนี้ พี่ธัน จะพาทุกคนไปเปิดเหตุผล 4 ข้อ พร้อมไขคำตอบว่าทำไมการทำงานแบบ 4 วันต่อสัปดาห์ถึงได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่ามีคนชอบก็ย่อมมีคนไม่เห็นด้วย บทความนี้ก็จะพาไปส่องความคิดเห็นของอีกฝั่ง เพื่อเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของ 4-Day Work Week แต่ละคนเค้าว่ากันยังไงบ้าง ไปอ่านกันต่อเลยครับ
1. No more office: ออฟฟิศไม่จำเป็นเสมอไป
หลายบริษัทให้อิสระการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere / Remote Working) การทำงานแบบผสมระหว่างที่ออฟฟิศและจากที่ไหนก็ได้ (Hybrid Working) หรือมีเวลาทำงานที่ไม่ตายตัวมีความ Flexible เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่ากว่าโลกจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ผู้คนก็รู้สึกคุ้นชินกับการทำงานรูปแบบชั่วคราวนี้ไปแล้ว (อย่างที่ Dek-D ก็ทำงานเปลี่ยนมาทำงานแบบ Hybrid เช่นกันครับ)
พอโควิดคลี่คลายหลายบริษัทได้ประกาศให้พนักงานกลับมา Onsite ดังเดิม ซึ่งข้อมูลจาก Unispace เผยว่ามีคนทำงานจำนวนมากถึง 42% ที่ไม่พอใจกับการกลับมาใช้ชีวิตแบบมนุษย์ออฟฟิศ อีกทั้งบริษัทเหล่านี้มีจำนวนผู้สมัครงานลดลงถึง 29% เลยทีเดียว
นอกจากความเคยชินกับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal แล้ว หลายคนก็ให้เหตุผลว่าในเมื่อเราทำงานแบบ Work from home ก็ได้ประสิทธิภาพไม่ต่างกัน การเข้ามาประจำที่ออฟฟิศก็ไม่จำเป็นเสมอไป เพราะไหนจะปัญหาเรื่องการเดินทางในแต่ละวัน และยุคที่ข้าวของแพงแบบนี้ก็ย่อมเสียค่าใช้จ่ายที่สูง แถมการเดินทางไป-กลับก็ใช้เอเนอร์จี้ที่เยอะจนสูบพลังเกือบหมด เหตุนี้จึงอาจส่งผลให้คุณภาพในการทำงานลดลงและสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอีกด้วย
2. TGIF! : วันศุกร์หรรษา บอกลางาน!
FRIDAY FRIYAY~ ลุยงานเดือดๆ มาทั้งวีค เชื่อว่าวัยทำงานต่างก็รอคอยให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ ใช่มั้ยล่ะครับ (แค่นึกถึงอิสระหลังจากเลิกงานก็ฟินไม่ไหว ไหนจะชาบู ไหนจะซีรีส์ตอนใหม่) ซึ่งช่วงหลายปีที่ผ่านมา Activtrak (2021) เผยว่าในสหรัฐอเมริกามีพนักงานทำงานในวันศุกร์ลดลง โดยมีการเลิกเร็วขึ้นเฉลี่ย 1 ชั่วโมง เพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายและใช้เวลากับตัวเองได้มากขึ้น
และยิ่งช่วงบ่ายวันศุกร์ที่เอเนอร์จี้เริ่มตก หลายคนจิตใจก็ไม่ได้อยู่กับงานแล้ว ซึ่งก็ตรงกับผลการศึกษาของ Texas A&M University ที่ได้เผยว่า “ช่วงบ่ายของวันศุกร์คือช่วงเวลาที่ประสิทธิภาพการทำงานต่ำที่สุด” โดยในช่วงบ่ายเป็นเวลาที่พนักงานพิมพ์ผิดมากที่สุดอีกด้วย เพื่อแก้ปัญหานี้หลายบริษัทจึงตัดสินใจออกนโยบายงดการประชุมหรืออนุญาตให้มีการทำงานแบบยืดหยุ่นในวันศุกร์แทนครับ // อิจฉาจัง~
3. More successful: ทำวีกละ 4 วันแล้วเวิร์กกว่า!
4 Day Week Global เคยจัดการทดลองการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ให้กับบริษัทต่างๆ ผลลัพธ์คือหลายแห่งตัดสินใจมาใช้การทำงานรูปแบบนี้ถาวรเลยครับ ซึ่งหลังจากหนึ่งปีที่เปลี่ยน พนักงานในหลายองค์กรมีความสุขในการทำงานมากขึ้น โดยมีบริษัทมากถึง 50% รายงานความไม่พึงพอใจในที่ทำงานลดลง และอีก 32% เผยว่ามีปริมาณคนสมัครงานเพิ่มมากขึ้น
หนึ่งในนั้นคือบริษัทแอปเรียกรถชื่อดังอย่าง ‘Bolt’ สัญชาติเอสโตเนีย หลังจากเริ่มทดลองใช้วิธีนี้ 3 เดือนแรก ผลคือพนักงาน 94% อยากให้มีการทำงาน 4 วันต่อไป และอีก 86% ยังบอกอีกว่าพวกเขาจัดการเวลาได้ดีกว่าการทำงานเท่าเดิมซะอีก ตั้งแต่นั้นมา Bolt ก็นำร่องใช้นโยบายนี้เป็นบริษัทแรกๆ ของโลกเลยครับ
‘ไรอัน เบรสโลว’ (Ryan Breslow) ซึ่งเป็น CEO ของ Bolt ออกมาอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า การทำงาน 4 วัน ไม่ได้หมายความว่าพนักงานห้ามแตะคอมพ์ทำงานวันที่เหลือเลย แต่เป็นวันที่ให้พนักงานเลือกไปทำกิจกรรมเพิ่มความสุข อย่างการพักผ่อน การพัฒนาตัวเอง หรือการใช้เวลากับครอบครัวได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีการติดต่อจากเพื่อนร่วมงาน
4. Positive Workplace Relationships: สัมพันธ์ดี องค์กรสตรองขึ้น!
‘Exos’ บริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกาที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพของนักกีฬา ก็เป็นอีกแห่งที่ทดลองให้พนักงานทำงานเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่ง 91% ของกลุ่มตัวอย่างรายงานผลว่าประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น อัตราเหนื่อยล้าลดจาก 70% เหลือแค่ 36% แถมพนักงานยังมีความสุขขึ้น และภาพลักษณ์บริษัทก็ดีขึ้นในแง่ความใส่ใจพนักงาน ผลดีระยะยาวคือพนักงานจะเปลี่ยนงานน้อยลงตามไปด้วยนั่นเอง
4-Day Work Week ดีต่อใจ แล้วดีต่องานหรือเปล่า?
จริงอยู่ครับที่การทำงานสัปดาห์ละวันจะมีข้อดีทั้งเรื่องความสะดวก ความประหยัด และสุขภาพของพนักงาน จนปัจจุบันมีหลายบริษัทใช้รูปแบบการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นี้มาเป็นจุดขายเพื่อดึงดูดให้คนสมัครเยอะขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะตอบโจทย์ทุกบริษัทเสมอไป โดยเฉพาะธุรกิจพวกรับเหมาก่อสร้าง ร้านอาหาร โรงแรม หรืองานอะไรก็ตามที่ต้องเปิดให้บริการทุกวัน แต่บริษัทไม่สามารถจ้างพนักงานเพิ่มได้
ยกตัวอย่างกรณีของบริษัทเดินเรือของเยอรมนี อย่าง ‘Kootstra’ ที่นั่นเค้าก็ทดลองให้พนักงานหยุดวันจันทร์หรือวันศุกร์เหมือนกันครับ ปรากฏว่าเมื่อพนักงานต้องทำงานมากเท่าเดิม ด้วยระยะเวลาน้อยลง สิ่งที่เพิ่มกลับไม่ใช่ความสุข แต่เป็นความเครียดและปริมาณงานสะสม นำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่ต่ำลงตามมาครับ
มีแนวทางไหนน่าสนใจอีกบ้าง?
จริงๆ แล้วยังมีหลายวิธีที่องค์กรปัจจุบันเลือกใช้ อย่างเช่น การให้ทำงาน 5 วันเท่าเดิม แต่ทุกเดือนจะมี 1 สัปดาห์ที่ให้หยุดยาว หรือบางที่ก็ลดชั่วโมงการทำงานลงแทน
อย่างไรก็ตาม Mental Health UK เผยว่าหนึ่งในวิธีที่ตอบโจทย์ที่สุดสำหรับการแก้ไขภาวะ Burnout Syndrome ของพนักงาน ก็คือการมอบความยืดหยุ่น โดยอนุญาตให้พนักงานสามารถเลือกเวลาที่งานที่สะดวกเองได้
ไม่ว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์จะได้ผลดีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบริษัท ประเภทอุตสาหกรรม ขนาด และวัฒนธรรมองค์กรด้วย ซึ่งบางบริษัทอาจใช้รูปแบบการทำงานเช่นนี้มาเป็นจุดขาย เพิ่มจำนวนคนสมัครงานได้เช่นกัน
“สุดท้ายแล้วยังไงเราก็ต้องกลับมาพิจารณาว่า การลงทุนในการทำงานรูปแบบนี้คุ้มค่ากับบริษัทหรือไม่” ‘Martin Schlechter’ จากสมาคมธุรกิจของรัฐซาร์ลันท์ (Saarland) ประเทศเยอรมนีได้กล่าวไว้
2 ความคิดเห็น
ในทางปฏิบัติ ถ้าไม่เพิ่มชม.การทำงานอีกวันละ 2 ชม.สำหรับการทำงาน 4 วัน ก็ต้องลดเงินเดือนหรือลดการปรับเพิ่มเงินเดือนหรือลดโบนัส หรือไม่ก็ต้องให้งานเพิ่มในบางส่วน บริษัทที่ยอมลดวันทำงานโดยที่ไม่ได้อะไรกลับไปเลยคงมีน้อย ดีไม่ดีอ้างเรื่องนี้แล้วบีบด้วย kpi อีก
อยาก WFH มากกว่า เป็นส่วนตัวดี