วิจารณ์หนังสือ: The Maze Runner

*มีสปอยล์ แต่บอกเลยว่าไม่ทำให้เสียอรรถรสในการอ่าน*
        วินาทีนี้หนอนหนังสือคนไหนไม่รู้จักนิยายที่กลายเป็นหนังอย่าง The Maze Runner คงจะถือว่าเชยระเบิด เพราะหนังเรื่องนี้กลายเป็น Talk of the Town ไปเสียแล้ว เนื่องจากนักแสดงหนุ่มแต่ละคนน่ากินสนใจเสียเหลือเกิน แต่ตัวนิยายต้นฉบับเองก็น่าพูดถึงไม่แพ้กัน พี่น้องก็เลยคันไม้คันมือขอวิจารณ์หนังสือเล่มนี้สักหน่อย
 

รู้จักนิยายเรื่องนี้ก่อน

        The Maze Runner เป็นงานเขียนของ James Dashner นักเขียนชาวอเมริกันที่แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่การันตีรางวัลเยอะอยู่ และออกหนังสือสำหรับเยาวชนกับวัยรุ่นมาหลายชุดแล้วด้วย สำหรับชุด The Maze Runner เป็นนิยายวัยรุ่นอิงธีมโลกดิสโทเปีย เกาะกระแส The Hunger Games และ Divergent มาติดๆ แต่เปลี่ยนจากตัวเอกผู้หญิง เป็นตัวเอกผู้ชายกล้ามล่ำแทน
        ในชุดเป็นไตรภาคทั้งหมด 3 เล่ม คือ The Maze Runner, The Scorch Trials, The Death Cure นอกจากนี้ก็เพิ่งออกเล่ม The Kill Order เนื้อหาก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์วิปลาสทั้งหมดในเนื้อเรื่องหลัก และเร็วๆ นี้คนเขียนก็วางแผนจะเขียนอีกเล่มชื่อ The Fever Code เนื้อหาของพวกตัวเอกก่อนจะมาอยู่ใน ‘ทุ่ง’  ด้วย
 

เรื่องย่อ

        โทมัส เด็กหนุ่มวัยรุ่นอยู่ดีๆ ก็พบว่าตัวเองถูกส่งมาในกล่อง โผล่มาที่ ‘ทุ่ง (Glade)’ ซึ่งเต็มไปด้วยเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่นี่เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง เด็กชายแต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเอง ทำสวน สร้างบ้าน ทำความสะอาด ทำอาหาร และ ‘นักวิ่ง (Runner)’ ที่ต้องมีกลุ่มนักวิ่งเพราะที่ทุ่งนี้เป็นที่ปิด ล้อมรอบด้วยเขาวงกตขนาดใหญ่ ซึ่งพวกเด็กๆ เชื่อว่าข้างนอกนั่นมีทางออกไปจากที่นี่อยู่ จึงตั้งคนกลุ่มหนึ่ง เรียกว่านักวิ่ง แล้วส่งออกไปวิ่งหาทางออกทุกวัน แต่ในเขาวงกตนั้นยังมีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเรียกว่าตัว ‘โศกา (Griever)’ เจ้าตัวพวกนี้ชอบป้วนเปี้ยนในเขาวงกตตอนกลางคืนแล้วสังหารคนที่ขวางทางมัน
        ที่นี่เด็กทุกคนถูกลบความจำ พวกเขารู้แค่ชื่อของตัวเอง (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าของจริงหรือของปลอม) และรู้ว่าอาจจะมีใครสักคนที่เด็กๆ เรียกว่า ‘ผู้สร้าง’ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คอยส่งเสบียงอาหารและของใช้จำเป็นมาให้ และคอยส่งคนใหม่เข้ามาเดือนละคน แต่ความทรงจำนี้จะกลับมาเมื่อพวกเขาโดนหนามของโศกาทิ่ม
        แต่วันต่อมาหลังจากที่โทมัสโผล่ออกจากกล่อง ก็มีคนใหม่มาทันที และเป็นเด็กผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในทุ่งแห่งนี้ เธอมาพร้อมกับคำพูดน่ากลัวว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป หลังจากนั้นชีวิตในทุ่งที่เคยเป็นระบบระเบียบก็ผิดปกติทันที
        ตอนที่พี่น้องรู้เรื่องย่อ พี่ก็คิดว่ามันต้องสนุกแน่ๆ พี่เคยอ่าน Divergent และดู The Hunger Games มาแล้ว เลยคาดหวังว่าเรื่องนี้คงไปในแนวเดียวกัน แต่เมื่ออ่านไปแล้วพี่กลับพบว่ามันต่างจากสองเรื่องนั้นอยู่มาก และต่อไปนี้คือสิ่งที่พี่น้องอยากจะพูดถึง
 

รูปแบบการดำเนินเรื่องที่แตกต่าง

        The Maze Runner ในช่วงแรกนั้นค่อนข้างยืดเยื้อ เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คนอ่านรู้จักโลกใบใหม่นี้มากขึ้น และรู้ไปพร้อมๆ กับโทมัสด้วย พูดถึงหน่วยต่างๆ นั่นหน่วยลาก นี่หน่วยถุง นู่นชื่อฟรายแพน อยากเป็นนักวิ่งเหรอ ยังก่อน ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้กินเนื้อที่ไปเกินครึ่งเล่ม นานมากกว่าเราจะได้เห็นพระเอกพิสูจน์ตัวเองในเขาวงกตซึ่งเป็นปมปริศนาหลักของเรื่อง และพอถึงส่วนสุดท้ายของเล่มก็เต็มไปด้วยเหตุการณ์น่าตื่นเต้น ฉากบู๊สนั่น ไขปริศนา และก็จบอย่างรวดเร็ว ให้พี่ชี้ให้ดูส่วนที่อ่านแล้วไม่หาวจะอยู่ประมาณนี้
 

        เรียกได้ว่ากว่าจะเข้าเรื่อง กว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ทุกอย่างผิดปกติ กว่าเราจะรู้ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไรกันแน่ก็เกือบจะจบเล่มเสียแล้ว ซึ่งแตกต่างจาก Divergent หรือ The Hunger Games ที่เกริ่นเรื่องแป๊บเดียวก็เข้าเรื่องทันทีเลยว่าปมขัดแย้งของเรื่องคืออะไร และเราจะเริ่มเข้าใจโลกใบใหม่นี้ได้ทันที
 

การกั๊กคำตอบจนน่าหงุดหงิดและการคลายปมอย่างง่ายดาย

        นอกจากความยืดเยื้อในการ ‘แนะนำให้รู้จักกับโลกใหม่’ อีกจุดที่ทำให้พี่หงุดหงิดมากคือ ‘ปริศนา’ ของเรื่อง ซึ่งผู้เขียนพยายามทำให้คนอ่านรู้ไปพร้อมกับตัวละครหลักอย่างโทมัส ทำให้คนอ่านสับสน งุนงง แปลกถิ่นพอๆ กัน และตัวละครในเรื่องนี้ก็ชอบเล่นลิ้นเหลือเกิน แทนที่จะพูดออกมาตรงๆ เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกลับใช้คำคลุมเครือ กำกวม จนน่าหงุดหงิด เหมือนเวลาเราถามแม่ว่าวันนี้มีกับข้าวอะไรให้กินแล้วแม่บอกว่า “เดี๋ยวก็รู้เอง” ทั้งๆ ที่แม่กำลังยืนผัดกับข้าวอยู่ แทนที่จะบอกๆ มาเลยนั่นแหละ
        แม้ว่าปริศนาเรื่องนี้จะอลังการงานสร้าง แต่พอถึงจุดที่ต้องคลายปม กลับคลายด้วยวิธีง่ายเกิน เช่น ตอนที่ทุ่งมีการเปลี่ยนแปลง ประตูที่กั้นระหว่างทุ่งกับเขาวงกตไม่ยอมปิดตอนกลางคืนทำให้โศกาบุกเข้ามาจับตัวเด็กชายไปทีละคน โทมัสก็คิดว่าฉันต้องยอมโดนต่อยแล้วล่ะ เพื่อเอาความทรงจำเกี่ยวกับเขาวงกตกลับมา เขาเชื่อแน่ว่าความทรงจำที่หายไปของเขาเกี่ยวข้องกับการสร้างเขาวงกตนี่ และมันก็เป็นไปตามนั้น พอเขาได้ความทรงจำกลับมา เขาก็เล่าให้คนอื่นๆ ในทุ่งฟังได้เป็นฉากๆ ว่าปริศนาในเขาวงกตคืออะไร และต้องทำอย่างไรบ้าง
        เพียงหนึ่งตอนเรารู้เรื่องทั้งหมดของหนังสือเล่มนี้มากกว่าอ่านมาทั้งเล่มอีก
 

เล่มหนึ่งแค่น้ำจิ้ม

        ถ้าใครคาดหวังว่าอ่านเล่มแรกจบแล้วจะต้องเคลียร์ กระจ่าง เตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ระลอกใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเล่ม 2 ขอบอกเลยว่าคิดผิดนะคะ อ่านเล่มแรกจนจบก็ยังไม่เคลียร์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กันแน่ ปิดหนังสือจะมีแต่คำว่า ‘ทำไม?’ ทำไมแบบนั้น ทำไมแบบนี้อยู่ในหัวพี่เต็มไปหมด ซึ่งพี่น้องก็ไปหาคำตอบจากในเว็บว่าเล่มสองกับเล่มสามมันเนื้อหาเป็นยังไง สรุปแล้วที่เด็กพวกนี้ต้องมาอยู่ในเขาวงกตเป็นเพราะอะไร เลยทำให้รู้ว่าคนเขียนซอยพล็อตเรื่องให้กลายเป็นนิยายไตรภาคได้โหดมาก
        เล่มหนึ่งคืออินโทรค่ะ เหมือนติ่งเล็กๆ ก่อนเข้าเรื่องจริงๆ ซึ่งเนื้อหาจริงๆ คือเล่มสอง (เป็นเล่มที่หลายคนลงความเห็นว่าสนุกสุด และมีคำตอบให้เรามากที่สุด) ส่วนเล่มสามคือคลายปมใหญ่ทั้งหมด (ซึ่งหลายคนก็ลงความเห็นว่าวางพล็อตมาใหญ่โตอลังการ จบกันง่ายๆ แบบนี้เลย)


 

โทมัสผู้โชคดี...จนเกินไป

        เป็นเรื่องปกติที่ตัวเอกของเรื่องจะต้องมีอะไร ‘พิเศษ’ กว่าคนอื่น เช่น ฉลาดกว่า มีความสามารถมากกว่า โอกาสตายน้อยกว่า โทมัสเองก็เช่นกัน แต่ดูจะ 'พิเศษ' เกินไปนิด
        เขาเป็นหน้าใหม่ที่เข้ากันได้ดีกับผู้ดูแลที่มีอำนาจในทุ่งหลายคน โดยเฉพาะกับนิวท์และมินโฮ เขารู้สึกว่าเขาอยากเป็นนักวิ่ง และเมื่อถึงเวลาที่เขาต้องพิสูจน์ตัวเอง เขาก็ทำได้ดีจนมินโฮนับถือและแทบจะยกให้เขาเป็นผู้ดูแลนักวิ่งแทนตัวเองด้วยซ้ำ
        เทียบกับแฮร์รี่ที่ขี่ไม้กวาดเก่ง เป็นเด็กปีหนึ่งคนเดียวที่ได้รับเลือกเข้าทีมควิดดิชทันที แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเก่งที่สุด ยังมีคนอีกมากที่เก่งกว่าเขา ทำให้คนอ่านได้ลุ้นว่าไม่ใช่การแข่งทุกครั้งที่แฮร์รี่จะชนะ การแข่งรอบนี้จะมีอุปสรรคอะไร แฮร์รี่จะชนะในรูปแบบไหน เราได้ลุ้นตลอด
        แต่ความสามารถของโทมัสไม่มีคู่แข่ง แม้แต่กับเทเรซ่าเอง และชาวทุ่งส่วนใหญ่ยอมรับความสามารถของเขาอย่างง่ายดายปราศจากข้อกังขา ถึงขนาดที่ตอนสุดท้ายของเรื่อง เกือบทุกคนคนยอมสู้กับโศกาจนตัวตายเพื่อเปิดทางให้โทมัสไปเปิดประตูทางออกจากเขาวงกต โดยสิ่งที่โทมัสทำคือปล่อยให้นิวท์กับมินโฮและผู้ดูแลคนอื่นๆ ไปเกลี้ยกล่อมคนในทุ่ง ซึ่งคนพวกนี้แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโทมัสเลยนอกจากเขาเป็นหน้าใหม่ที่รอดชีวิตจากการอยู่ในวงกตตอนกลางคืนและอ้างว่ามีทางออกจริงๆ อยู่ในเขาวงกต ส่วนคนที่ไม่ยอมรับก็ทำได้แค่บ่นงุบงิบ ไม่ได้มีผลอะไรต่อเนื้อเรื่อง เพราะผู้มีอำนาจในทุ่งส่วนใหญ่อยู่ข้างโทมัส
        สรุปคือ เส้นทางของโทมัสมีอุปสรรค แต่เป็นอุปสรรคที่พร้อมจะหลีกให้ตัวละครตัวนี้ได้ตลอดเวลา เหมือนมีเพื่อให้รู้สึกว่าเรื่องมีอะไร แต่ไม่ได้พัฒนาตัวละครให้เข้มแข็งขึ้น
 

บทบาทของเทเรซ่า

        เทเรซ่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในทุ่ง และเหมือนจะกุมความลับบางอย่าง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโทมัสอาจจะได้รู้ในเล่ม 2 แต่เล่มแรกนี้เธอแทบไม่มีบทบาทหรือประโยชน์อะไรเลยนอกจากเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ตอนที่อ่านพี่คิดว่าเทเรซ่าจะมีบทบาทกับการไขปริศนาวงกตมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ ส่วนใหญ่เป็นโทมัสมากกว่าที่ทำทุกอย่าง และเทเรซ่าก็ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญใดๆ ที่ทำให้เนื้อเรื่องพลิกแพลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
        แม้ว่าเทเรซ่าจะเป็น ‘ตัวแปร’ สำคัญในการทดลองนี้ (ตามที่เนื้อเรื่องบอกไว้) แต่ดูเหมือนบทบาทของเธอจะอยู่ที่เล่ม 2 มากกว่า (หวังว่านะ) มันเลยกลายเป็นว่าเราได้รู้จักเทเรซ่าตั้งแต่เนิ่นๆ พร้อมคำโปรยที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครนี้สำคัญแน่ๆ แต่กลับไม่ได้เห็นความสำคัญที่การันตีไว้จนจบเล่มหนึ่งเลย
 

ดิสโทเปียนอกทุ่ง

        ช่วงนี้กระแสนิยายธีมดิสโทเปียกำลังมาแรงค่ะ ใครที่ยังไม่รู้จักพี่น้องบอกได้คร่าวๆ ว่า มันเป็นนิยายที่จำลอง ‘โลกในอนาคต’ ที่สังคมได้พัฒนาไปในทางที่มันไม่ควรไป เช่น โลกที่มีการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน โลกที่ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด โลกที่ประชากรถูกควบคุมทางความคิดโดยรัฐบาล ฯลฯ
        สำหรับ The Maze Runner ที่นำเสนอทุ่งและเขาวงกต ทุ่งนี้เกือบจะเป็นที่ๆ ปกติธรรมดา มีสวนปลูกพืชผัก มีที่พัก มีห้องเก็บของ มีโรงอาหาร ปัจจัยพื้นฐานครบ และในตอนกลางคืนทุ่งก็ปิดสนิท กันพวกเด็กๆ ออกจากโศกา ปลอดภัยหายห่วง พวกนี้พี่น้องบอกก่อนว่ามันไม่ใช่ดิสโทเปียค่ะ ที่เข้าคอนเซ็ปต์ดิสโทเปียคือโลกภายนอกที่เด็กๆ จะได้เจอในเล่ม 2 ต่างหาก
        รวมๆ แล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีบางคนควบคุมวงกตนี้อยู่และทำให้พวกเขาไม่สามารถอยู่อย่างสงบสุขไปได้นานนัก ที่ทุ่งนี่ก็น่าอยู่ทีเดียวค่ะ ดังนั้นถ้าเราหวังว่าจะได้เห็นคอนเซ็ปต์ดิสโทเปียจากเรื่องนี้และประเด็นอื่นๆ คงต้องรอดูเล่มต่อๆ ไปถึงจะสรุปได้ว่าคนเขียนต้องการนำเสนออะไรกันแน่
 

สังคมในเขาวงกต

        สังคมในเขาวงกตถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจที่สุดสำหรับภาคนี้ค่ะ เราได้เห็นสังคมที่มีแต่เด็กผู้ชาย ดูแล แบ่งงาน รับผิดชอบหน้าที่กันเองโดยไม่มีผู้ใหญ่มาควบคุม คนที่มีอำนาจหรือเป็น 'ผู้ดูแล' ก็ยังเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งตัวละครอ้างว่าอยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว คนแรกๆ ตายไปเหลืออัลบีที่ดูจะอยู่มานานสุด ทำให้อัลบีกลายสภาพเป็น 'ท่านนายพล' ของพวกเด็กๆ ไปทันที
        แต่มันก็น่าแปลกใจที่สังคมในทุ่งนั้นเป็นระบบระเบียบมาก ภายใน 2 ปีที่เด็กๆ ได้มาอยู่ที่นี่ ถูกล้างความจำ แต่ยังมีความรู้พื้นฐานเรื่องการดำรงชีวิต รู้วิธีทำสวน ทำอาหาร ต่างแบ่งสันปันฝ่ายกันอย่างลงตัว และมีระบบศักดินา มีหัวหน้า มีกลุ่ม 'นักวิ่ง' ที่ชาวทุ่งนับถือ มีกลุ่ม 'เขละขละ' ที่ดูเป็นพวกขี้แพ้ มันเกิดขึ้นเร็วมาก
        พี่น้องเดาว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ระบบมันเข้ารูปเข้ารอยโดยที่ไม่มีการฆ่ากัน หรือพวกเด็กๆ ไม่เป็นบ้าไปเสียก่อนน่าจะเกิดจากการที่เด็กพวกนี้เป็นคนฉลาด และสูญเสียความจำ การลืมตัวตนของตัวเองไปทำให้รู้สึกไม่มั่นคงและต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อทดแทนความรู้สึกนั้น
        เมื่อเด็กๆ รู้แล้วว่าฉันชื่ออะไร มีหน้าที่อะไรในสังคมนี้ ก็เหลือแค่ 'เป้าหมาย' ที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างมีความหวัง
        เป้าหมายนั้นก็คือการหาทางออกจากเขาวงกตไปสู่โลกแห่งความจริง
        เท่านี้ก็บรรลุเป้าหมายของ 'การใช้ชีวิต' แล้ว
        เราจะเห็นว่าในสังคมนี้มี 'ผู้ดูแล' มีกฎ มีบทลงโทษ นี่เป็นกลไกพื้นฐานในการป้องกันตัวเองของมนุษย์ค่ะ มนุษย์สร้างกฎเพื่อปกป้องตัวเอง เราไม่รู้ว่าใครแข็งแรงกว่า ใครอ่อนแอกว่า เราสร้างกฎไว้ว่าห้ามทำร้ายกัน เราจะได้ไม่โดนทำร้าย (สังเกตว่าคนที่กล้าแหกกฎก็คือคนที่แข็งแรงกว่าใครนั่นแหละ) และมนุษย์ก็ตั้งผู้ดูแลกฎโดยเอาคนที่อยู่มานานและเข้มแข็งมาทำหน้าที่เพื่อให้คนอื่นเกรงใจ และยอมรับมติของคนกลุ่มนี้


 
        แต่สังเกตไหมว่าสังคมนี้มีกฎแต่ไม่มีศีลธรรมนะคะ ดูจากตอนที่มินโฮกับอัลบีได้รับบาดเจ็บกลับมาที่ทุ่ง แล้วจะวิ่งเข้าทุ่งไม่ทันวงกตปิด โทมัสเป็นคนเดียวที่พุ่งออกไปช่วย แม้นิวท์จะห้ามเขา โดยอ้างว่า 'มันเป็นกฎ' คนที่ไม่ได้รับอนุญาตห้ามออกจากทุ่งเข้าไปในเขาวงกตเด็ดขาด แน่นอนว่าโทมัสต้องไม่ฟังกฎ เขาฟังความคิดของตัวเองว่าจะปล่อยให้ใครตายอยู่ข้างนอกนั่นไม่ได้
        และทั้งๆ ที่โทมัสอุตส่าห์พาทุกคนรอดตายกลับทุ่งได้ในตอนกลางวัน แต่ผู้ดูแลหลายคนยืนกรานให้เขาถูกทำโทษที่ละเมิดกฎ เพราะเหนือกว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีคือชีวิตตัวเอง 'ผู้ดูแล' เสี่ยงให้คนละเมิดกฎลอยนวลไม่ได้รับการลงโทษไม่ได้ อย่างน้อยต้องขอขังโทมัสไว้สักคืนเพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนคนอื่นๆ ในทุ่งว่ากฎไมไ่ด้มีไว้แหก อย่าริทำอะไรที่กระทบต่อความมั่นคงของสังคมนี้เด็ดขาด
 

ศัพท์ชาวทุ่ง

        เนื่องจากว่านิยายเรื่องนี้เป็นการรวมตัวกันของเด็กผู้ชายก็จะมีสำนวนหรือคำสบถที่คนเขียนคิดขึ้นเพื่อให้เป็น 'ศัพท์ชาวทุ่ง' (ถ้าคำหยาบมากไปจะไม่เหมาะกับเยาวชน) ซึ่งพอแปลเป็นภาษาไทย บางจุดคุณแสงตะวันที่เป็นผู้แปล ก็จัดการแปลให้เหมือนเป็นศัพท์ใหม่จนเรารู้สึกได้ แต่ก็มีอีกหลายจุดเหมือนกันที่ตัดออกไปแล้วแปลตามปกติเลย
  • เพียก (shank) แทนคำว่า สหาย (friend) เช่น "ดีใจที่ได้พบ เพียก...ขอต้อนรับสู่ทุ่ง"
  • แผละ (klunk) แทนคำสบถ shit เช่น "ไอ้นี่มันแผละ"
  • ไอ้หน้าปลวก (shuck-face) เช่น "จะบอกให้นะ ไอ้หน้าปลวก"
  • ปลวก (shuck) คำนี้แทนคำว่า f*ck ในภาษาอังกฤษ แต่เวอร์ชั่นภาษาไทยจะแปลเป็นคำว่าปลวก หรือคำสบถทั่วๆ ไปแทน เช่น "ว้าเว้ย" อัลบีพูด แล้วเอามือเสยผมสั้นๆ พร้อมถอนใจยาว
        การใช้คำพวกนี้ก็เป็นสัญญาณบอกว่านี่คืออีกสังคมหนึ่ง และเป็นสังคมของเด็กชายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่โลกเดิมที่เด็กๆ เคยอยู่อีกต่อไปแล้ว

        ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นของพี่เท่านั้น คนอื่นก็อาจจะเห็นต่างออกไป เนื่องจาก The Maze Runner มีสไตล์การดำเนินเรื่องที่ฉีกแนวจากนิยายเรื่องอื่น มันก็เลยเป็นอาหารที่อาจจะถูกปากเป็นบางคน
 

น้องๆ มีความเห็นยังไงหลังอ่านเรื่องนี้จบ มาคุยกัน!


ส่วนใครที่สนใจนิยายแนวดิสโทเปีย อยากลองแต่งบ้าง
พี่น้องอธิบายแนวเรื่องนี้ไว้แล้วในบทความนี้เลย


ภาพประกอบบทความจาก
mediaroom.scholastic.com
Twentieth Century Fox - The Maze Runner

Warner Brothers - Harry Potter
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Eagle-Pagasus Member 9 ต.ค. 57 16:35 น. 14

คือดูหนังแล้วงงอย่างแรง ตอนจบน่ะ กิลลี่ (เขียนถูกป่าวหว่า) เข้าเขาวงกตมาโผล่พร้อมพวกโทมัสที่อยู่ในห้องทดลองผู้สร้าง หรือองค์กรได้ไง? นี่คืองงมาก เพราะว่าทุกคนตอนเข้ามาจนกระทั่งถึงทางออก กิลลี่พี่แกไม่ได้มาด้วย แล้วพอเทเรซ่าใส่รหัสปลดล็อกที่มินโฮบอก แล้วพาทุกคนมา นั้น อยากรู้ว่า กิลลี่รู้รหัสด้วยหรือ แล้วตัวโศกาไม่ฆ่าตายตั้งแต่แรกๆเลยหรือ เพราะขนาดพวกโทมัสตั้งหลายคนยังโดน แต่พี่กิลรอดแต่ก็โดนต่อยอยู่ดี สุดท้ายก็ตาย เขียนเอง งงเอง ฮ่าๆๆ สรุปแล้ว ทีมผู้สร้างก็แกล้งตาย แล้วก็รอดูภาค2 จบ

ความจริงตัดเทเรซ่าออกเลยก็ได้นะจะดูผู้ชายกินกันเอง ฮ่าๆๆๆ

8
กำลังโหลด
กำลังโหลด

77 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Thaksin Suwanntri Member 9 ต.ค. 57 16:27 น. 9

ในหนังสือเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ถ้าในหนังผมคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแย่มากๆ

มีหลายฉากที่หาเหตุผลมาประกอบไม่ได้เลย(ไม่ใช่เรื่องความโชคดีของพระเอกนะ)

แล้วเนื้อเรื่องก็เดาง่ายมากๆเพราะธีมเดียวกันกับHGกับDivergenในความรู้สึกของคนที่กรำหนังมาเยอะๆก็แอบผิดหวังนิดหน่อย

เอ่อ..

0
กำลังโหลด
Piyapat Tannarat Member 9 ต.ค. 57 16:29 น. 10

สนุกมากกกกกกก 

ยกนิ้วให้เลยยยลุ้นตลอดเวลา มินโฮก็หล่อเอาใจไปเลยอ่ะเขิล

ช็อคโทมัสก็กล้าเกิ๊นน 555 

รอดูภาคต่อยุค้าาาาา ติดตามๆ ชอบบบ ว้ายว้าย

0
กำลังโหลด
เด็กมัธยมต้น 9 ต.ค. 57 16:31 น. 11
เข้าใจคิดนะคะ ชอบสนุกดี^^ ชอบลูกเล่นที่ทำให้ผู้อ่านเป็นคนๆเดียวกับตัวละคร(โทมัส) ถึงจะทำให้ชวนงง ยืดเยื้อเนื้อหาเป็นเวลานานแต่ก็ชวนติดตามดี อยากซื้อมาเก็บไว้ซักเซ็ทแล้วสิ
0
กำลังโหลด
Sunh 9 ต.ค. 57 16:33 น. 12
ผมถือว่าหนังแย่น่ะเพราะไม่ขายถึงจุดความสนใจเหมือนชื่อเรื่องหรือเหมือนในโฆษณานั้นคือเขาวงกต!!!!!!!!!!!!!!!!! แต่เป็นภาพยนต์ที่แฝงไปด้วยปมทำให้น่าติดตามโกรธ
0
กำลังโหลด
Tangmo_TJ 9 ต.ค. 57 16:33 น. 13
โดยภาพรวมสำหรับเราสนุกมากกกกกกก แต่เห็นด้วยเรื่องที่ โทมัส โชคดีเกินไป -__-b คือมันจริงๆอ่ะ เป็นหนังเรื่องแรกที่ดูแล้วตื่นเต้น ตื่นตัว ตลอดเวลา! คือลุ้นมากกกกก ให้ 9/10
0
กำลังโหลด
Eagle-Pagasus Member 9 ต.ค. 57 16:35 น. 14

คือดูหนังแล้วงงอย่างแรง ตอนจบน่ะ กิลลี่ (เขียนถูกป่าวหว่า) เข้าเขาวงกตมาโผล่พร้อมพวกโทมัสที่อยู่ในห้องทดลองผู้สร้าง หรือองค์กรได้ไง? นี่คืองงมาก เพราะว่าทุกคนตอนเข้ามาจนกระทั่งถึงทางออก กิลลี่พี่แกไม่ได้มาด้วย แล้วพอเทเรซ่าใส่รหัสปลดล็อกที่มินโฮบอก แล้วพาทุกคนมา นั้น อยากรู้ว่า กิลลี่รู้รหัสด้วยหรือ แล้วตัวโศกาไม่ฆ่าตายตั้งแต่แรกๆเลยหรือ เพราะขนาดพวกโทมัสตั้งหลายคนยังโดน แต่พี่กิลรอดแต่ก็โดนต่อยอยู่ดี สุดท้ายก็ตาย เขียนเอง งงเอง ฮ่าๆๆ สรุปแล้ว ทีมผู้สร้างก็แกล้งตาย แล้วก็รอดูภาค2 จบ

ความจริงตัดเทเรซ่าออกเลยก็ได้นะจะดูผู้ชายกินกันเอง ฮ่าๆๆๆ

8
กำลังโหลด
get! Member 9 ต.ค. 57 16:36 น. 15

เราว่า เทเลซ่าสำคัญนะคะ เพราะตอนเทเลซ่าขึ้นมาจากลิฟท์ ก็มีกระดาษเขียนว่า"she is the last one"แล้วก็ไม่มีอาหารขึ้นมาให้อีกแล้ว ทำให้บางคนคิดได้แล้วว่า เออ เราต้องออกไปจากที่นี่ไม่อย่างนั้นจะต้องตายกันหมด 

2
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
mgreborn 9 ต.ค. 57 16:44 น. 18
เราอ่านจนจบเล่ม3แล้วค่ะ อย่างที่แอดบอกคือเนื้อเรื่องค่อนข้างกัุ๊้จนน่ารำคาญ(เป็นไปได้ว่าผู้เขียนคงอยากให้เราเข้าใจความรู้สึกสับสนในช่วงนั้นของโทมัสล่ะมั้ง) เเถมบทบรรยายต่างๆบางอันดูสั้นเกินจนนึกถาพไม่ออก(ยกตัวอย่างตอนที่รู้จักกับอัลบีครั้งแรก โทมัสแค่บอกว่าอัลบีตัวใหญ่ผมสั้นแค่นั้น) แต่เนื้อเรื่องโดยรวมสนุกแปลกดีค่ะ ฉีกจากแนวhunger game,divergent ไปมากอยู่ ติอีกนิดเดียวที่จบง่ายตัดขาดไปหน่อย รู้สึกค้างๆ เล่มสองกับสามสนุกกว่าเยอะค่ะ อยากให้ลองหามาอ่านกันดู จัดว่าผ่านค่ะ ปล. หนังเรื่องนี้หนุ่มๆเเซบจริง
0
กำลังโหลด
◣Snow☆Queen◥ Member 9 ต.ค. 57 16:45 น. 19

หนังสือถ้าอ่านแบบแปลอาจจะได้อารมณ์คนละแบบกันนะ จำไว้ว่านักแปลไม่ใช่คนเขียน เขาก็แปลแบบที่เขาเข้าใจแหละ แต่หนังเฉยๆนะ อย่างว่าอีกคนเขียนไม่ใช่ผู้กำกับ มันออกมาแนวเดียวกับไดเวอร์เจนเหมือนผสมไททันด้วย5555  เนื้อเรื่องดูซำ้ๆกัน เลยอารมณ์แบบเหมือนดูหนังเรื่องเดิมซ้ำ 

แต่ที่อยากบอกคือดูหนังแล้วมัวแต่มาจับผิดมาวิเคราะห์นู่นนี่นั่นถ้าดูหนังด้วยวิธีการแบบนี้มันจะไม่มีเรื่องไหนสนุกเลย แล้วมันก็เป็นเรื่องแต่งป่ะะะ สนใจอะไรเรื่องเล็กๆน้อยๆ จริงๆถ้ามองเรื่องเอฟเฟ็คซีจีอะไรแบบนี้มันไม่ได้แย่นะ โดยเฉพาะหน้าตาผชในเรื่อง จัดว่าเด็ด -.- 

ปล.ใครดูแล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อลองโฟกัสที่หนุ่มๆในเรื่องบ้างก็ได้

ปลล.อยากเป็นเทเรซ่าจัง 555555

เสริมอีกนิดเรื่องความโชคดีของโทมัส อัลบี้บอกเองว่าโทมัสเป็นคนโปรดของพวกเขา คนโปรดก็น่าจะพิเศษกว่าคนอื่น แล้วด้วยความที่เป็นพระเอกด้วยมันเลยพิเศษเกินไป ส่วนแกรี่โผล่มาได้ไงอันนี้คนว่าในหนังสือน่าจะละเอียดกว่า แต่ด้วยความเป็นหนังก็เลยตัดชับๆ

0
กำลังโหลด
ปาล์ม Member 9 ต.ค. 57 16:47 น. 20

ดูมาแต่ที่เป็นภาพยนต์ อยากอ่านเหมือนกัน แต่หาซื้อแทบไม่ได้เลย ฮืออออ แต่ว่า เพียกเนี่ย เหมือน พวก ป่ะเจ้าคะ 5555 แต่แอบฮาตัวโศกาอ่ะ ความจริงใช้ กรีฟเวอร์เหมือนเดิมก็ได้มั้ง><

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด