วิจารณ์หนังสือ: The Incite Mill ห้องสมควรตาย

        เมื่อเร็วๆ นี้พี่น้องได้นิยายจากสำนักพิมพ์อมรินทร์มาเล่มหนึ่ง แค่เห็นชื่อเรื่องกับหน้าปกก็โดนใจแล้ว มันคือเรื่อง The Incite Mill ห้องสมควรตาย เขียนโดย โยเนซาวะ โฮโนบุ นิยายที่เปลี่ยนทฤษฎีในคดีฆาตกรรมให้กลายเป็นเกมหนึ่งเกม
        ใช้เวลาอ่านสองคืน จบ! บอกเลยว่าเรื่องนี้โดนมาก ขนาดพี่ไม่ใช่คอนิยายสืบสวน แต่อ่านได้เรื่อยๆ ยังชอบมาก เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมถึงชอบ
        ปล. เรื่องนี้มีหนังด้วย ฉายเมื่อปี 2010 เดี๋ยวจะพูดถึงหนังในตอนท้าย
 

เรื่องย่อ (สำหรับคนไม่เคยอ่าน)


        บริษัทหนึ่งประกาศรับสมัครงานตำแหน่ง 'มอนิเตอร์' ซึ่งอ่านจากรายละเอียดเหมือนเป็นงานง่ายๆ คล้ายๆ เป็นหนูทดลอง เข้าไปใช้ชีวิตในที่หนึ่งเป็นเวลา 7 วัน รายได้ต่อชั่วโมงคือ 112,000 เยน (ราว 30,000 บาทไทย) ตัวเอก 'ยูกิ ริคุฮิโตะ' ก็เป็นหนึ่งในผู้สมัครเพราะอยากได้รถ แต่เขาก็ยังสองจิตสองใจ ไม่รู้จะเชื่อดีหรือเปล่า
        แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริง ยูกิก็ได้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
        ผู้เข้าร่วมโพรเจกต์ทั้ง 12 คนต้องใช้ชีวิตอยู่ใน 'อังกิคัง' อาคารทรงกลมซึ่งเป็นสถานที่ปิด เป็นเวลา 7 วัน โดยมีกติกายิบย่อยมากมาย แต่หลักๆ คือ อาจมีการตาย หรือคดีเกิดขึ้นในนี้ และผู้เข้าร่วมจะคลี่คลายคดีก็ได้ โดยมีเงินโบนัสให้สำหรับคนที่เป็น ฆาตกร เหยื่อ นักสืบ และผู้ช่วยนักสืบ
        บรรยากาศในตอนแรกนั้นดูเรียบง่าย ทุกคนยังงงกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของอังกิคัง จนกระทั่งกลางคืนมาถึง ทุกคนต้องเข้าห้องของตัวเองตามกฎที่กำหนดไว้ ยูกิพบกล่องปริศนาในห้องส่วนตัวของเขา ในนั้นมีอาวุธที่ใช้ฆ่าคนได้ และเช้าวันต่อมา ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
        เมื่อผู้เข้าร่วมคนหนึ่ง...ถูกยิงเสียชีวิต
 

สืบสวน + เซอร์ไววัล


        ถ้าอ่านเรื่องย่อแล้ว คงพอรู้ว่านิยายเรื่องนี้มันสไตล์เซอร์ไววัลเกมแบบ Saw, The Hunger Games หรือ Battle Royale ที่จับคนมาอยู่ใน 'ที่ปิด' แล้ววางกฎกติกาบีบบังคับให้คนที่เข้าร่วมต้องฆ่ากันเอง หรือทำร้ายกันเอง ซึ่งเป็นพล็อตที่มีมานานแล้วและออกมากี่เรื่องๆ ก็ขายดีเสียส่วนใหญ่
 

cr: TOEI Company
 
        แต่เรื่อง The Incite Mill ไม่ได้บู๊ล้างผลาญหรือเลือดสาดชวนสยองแบบเรื่องที่เราเคยอ่านหรือเคยดูกันนะ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสืบสวนไขคดีมากกว่า เพราะแนวเรื่องยังเป็นแนวสืบสวนอยู่
        โยเนซาวะ โฮโนบุ ผู้เขียนเขาก็อ่านนิยายสืบสวนมาพอสมควร และหยิบทฤษฎีหนึ่งที่มีใช้ในนิยายสืบสวนจนกลายเป็นสไตล์ติดตัวไปแล้วอย่าง The Closed Circle มาผูกกับเซอร์ไววัลเกม กลายเป็นเรื่องนี้นั่นเอง
 

The Closed Circle


        The Closed Circle (ไม่ได้แปลว่าห้องปิดตายนะคะ) เป็นคำที่ใช้อธิบายสภาพคดีที่เกิดขึ้นในที่ปิด นั่นคือมีตัวละครอยู่ในที่เกิดเหตุจำกัด นักสืบสามารถไขคดีโดยที่ไม่ต้องกังวลเลยว่าคนร้ายจะเป็นคนนอกหรือเปล่า การเกิด Closed Circle จะต้องมีองค์ประกอบดังนี้
1. มีเหตุที่ทำให้ตัวละครถูก 'จำกัด' สถานที่ เช่น
  • สะพานพัง ทุกคนติดอยู่กลางภูเขา (โคนันใช้บ่อย)
  • หิมะถล่มหรืออะไรอย่างอื่นถล่ม ทุกคนติดอยู่กลางภูเขา (โคนันก็ใช้บ่อย)
  • ยางแบน ยางสำรองก็แบน ใกล้สุดก็บ้านใครไม่รู้ (โคนันใช้บ่อยอีกละ)
  • ตัวละครถูกจับ/บังคับให้มารวมกันในที่ปิด (The Maze Runner, Liar Game, The Hunger Games, Battle Royale, Saw, โคนันอีกละ)
  • ตัวละครหลงเข้ามาอยู่ในที่ปิด (Silent Hill, Cabin in the Wood, ก็โคนันอีกนั่นแหละ)
2. การสื่อสารกับภายนอกถูกตัดขาด เช่น โทรศัพท์บ้านถูกตัดสาย, สัญญาณโทรศัพท์ไม่มี, ไวไฟใช้ไม่ได้, ยานพาหนะที่พามาทั้งหมดโดนระเบิดหรือใช้การไม่ได้ ฯลฯ กว่าความช่วยเหลือจะมาก็เช้าวันพรุ่งนี้ หรืออาจมีเหตุให้ออกไม่ได้ทั้งที่ออกได้ เพราะฆาตกรอาจหนีไป (นี่โคนันก็ชอบใช้)
        การอยู่ร่วมกันในที่ปิดทำให้เกิดความไม่สบายใจ กระวนกระวาย ยิ่งถ้ามีคนตาย หรือรู้ว่ามีบุคคลอันตรายอยู่ในที่ปิดร่วมด้วย จะยิ่งสร้างความตึงเครียดให้กับตัวละคร สภาพจิตใจของแต่ละคนอาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้แย่กว่าเดิม ทั้งยังหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าไม่ได้ เพราะสถานที่ไม่มีทางออก
 

การทดลองในอังกิคัง


        เรื่องนี้ตัวละครแต่ละตัวมีเป้าหมายร่วมกันคือ 'ต้องการเงิน' การทดลองนี้จึงเหมือนจับคนที่ต้องการเงินมาไว้ในที่ปิด โดยวางกติกาไว้ว่า
  1. เมื่อตกลงเข้ามารับการทดลองแล้วห้ามออกหรือยกเลิกกลางคัน
  2. การทดลองจะจบลงเมื่อครบเวลาที่กำหนดคือ 7 วัน หรือมีเหตุที่ทำให้จบเกมได้ เช่น ผู้เล่นเหลือ 2 คน หรือมีคนหาทางออกลับเจอ
  3. การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นในอังกิคังถือเป็นความรับผิดชอบของบริษัทเจ้าของโครงการนี้ นั่นหมายความว่า ฆ่าใครไปก็ไม่ต้องรับผิด
  4. ค่าจ้างจะจ่ายให้ตามเวลาที่ทำงานให้ นั่นคือถ้าเกมจบใน 7 วันก็เอาเงินไป 7 วัน
  5. แต่มีเงินพิเศษ คือเงินโบนัสจากการเป็น 'ฆาตกร' 'เหยื่อ' 'นักสืบ' และ 'ผู้ช่วยนักสืบ' ซึ่งมีกติกายิบย่อยอีกว่าจะได้กี่เท่า สะสมได้หรือเปล่า และมีกรณีที่ถูกหักโบนัสด้วยถ้าหากสืบสวนผิด
  6. ทุกคนต้องอยู่ในห้องส่วนตัวตั้งแต่เวลา 24.00 - 06.00 น.
        กติกาหลักๆ มีประมาณนี้ ซึ่งดูเผินๆ ถ้าทุกคนแค่ใช้ชีวิตตามปกติ กินๆ นอนๆ ครบ 7 วันต่างคนต่างออกจากที่นี่ก็ได้เงินไปแล้วเป็นล้านเยน
        แต่มันไม่ง่ายอย่างนั้นนี่สิ การทดลองนี้กำลังเล่นกับจิตใจของผู้เข้าร่วม โดยอาศัยปัจจัย 2 อย่าง
        อย่างแรกคือ 'สถานที่' อย่างที่บอกว่าสภาพ Closed Circle ทำให้ตัวละครเกิดความเครียด และหวาดระแวง ยิ่งถ้าใครดูหนังแนวนี้มาเยอะๆ คงพอเดาได้แล้วว่าเรื่องแย่ๆ ต้องเกิดขึ้นแน่
        อีกทั้งในอังกิคังยังจัดสภาพสถานที่เพื่อกดดันตัวละครเข้าไปอีก เช่น วางตุ๊กตาอินเดียนแดงเป็นสัญลักษณ์แทนผู้เล่นทั้งสิบสองบนโต๊ะในห้องรวม อินเดียนแดงนี้เป็นสัญลักษณ์ในนิยายสืบสวนของอากาธา คริสตี้ ซึ่งนิยายเรื่องนั้นก็เป็นคดีที่เกิดขึ้นในที่ปิดเช่นกัน
        หรือออกแบบทางเดินรอบห้องโถงที่ทำให้ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้เต็มตา หากมีอันตรายอยู่ข้างหน้าหรือใครจะโผล่มาก็ไม่อาจรู้ได้เลย และถ้าเราอ่านไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าอังกิคังถูกออกแบบให้ตัวละครคุ้มครองตัวเองไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
        อีกปัจจัยหนึ่งคือ 'คน' ในกลุ่มคนที่มาเข้าร่วมการทดสอบนี้ ในเรื่องไม่ได้บอกรายละเอียดมากนักว่าใครมีนิสัยยังไง พื้นเพเป็นคนยังไง แม้แต่ตัวพระเอกอย่าง ยูกิ ก็ยังน่าสงสัย เพราะคนปกติคงไม่มีใครกล้าฆ่าคนเฉยๆ เพื่อให้ตัวเองได้เงินเพิ่มหรอก มันไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าบริษัทจะช่วยจัดการเรื่องทางกฎหมายให้
        คนที่จะทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม มีความผิดปกติทางจิต ก็ต้องเป็นคนที่อับจนหนทางและต้องการเงินที่สุด
        และนี่คือสิ่งที่เราต้องเผชิญตลอดเรื่องค่ะ ว่าใครจะอดทนต่อแรงกดดันเหล่านี้ หรือเผยธาตุแท้ออกมาก่อน สุดท้ายแล้วคนที่จัดการทดลองนี้เขาได้ผลสรุปเป็นอย่างไรแล้วจะเอาผลสรุปนั้นไปทำอะไรกันแน่
 

ความสนุกของเรื่อง


        เรื่องนี้เล่าแบบบุคคลที่ 3 จำกัดมุมมองที่ยูกิ ตัวเอกของเรื่อง (เป็นหลักประกันว่าตัวละครนี้ไม่ตายแน่ๆ เพราะถ้าตายแล้วย้ายไปให้คนอื่นเล่าต่อมันจะดูแปลกๆ) เนื้อเรื่องดำเนินไปแบบเรียบๆ ตามสไตล์นิยายญี่ปุ่น ฉากที่เจอใครตายก็จะเล่าแบบเรียบๆ แต่มีพลัง ไม่ได้เน้นอารมณ์ด้วยตัวอักษรแบบนิยายไทยที่ชอบ เช่น กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ฮืออออออออออออออออออออออ ปังงงงงงงงงงงงงงงงง
        อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ได้เน้น action เลือดสาด หรือบรรยายฉากการตายสยดสยอง เยาวชนอายุ 13 ปีขึ้นไปก็ยังอ่านได้ แทบทั้งเรื่องจะเน้นไปที่การคิดวิเคราะห์ของตัวละครหลักอย่างยูกิ และการโต้เถียงกันระหว่างตัวละครต่างๆ ซึ่งทุกคนพยายามไขปริศนาคดีที่เกิดขึ้นในอังกิคังตามความเข้าใจและหลักฐานที่ตนเองรู้
        และนี่แหละคือความสนุกของเรื่อง
        เราจะได้ไขปริศนาไปพร้อมกับตัวเอก ลำดับเหตุการณ์ เก็บรายละเอียด ทุกสิ่งที่ตัวเอกเห็น มีความหมายหมด ได้เห็นทฤษฎีของตัวละครอื่น เอามาเปรียบเทียบกับที่เรามี (หรือที่ตัวเอกคิดได้) แล้วคะเนดูว่าของใครถูกต้องที่สุด ของใครไร้ช่องว่างมากที่สุด
        นอกจากการไขคดีแล้วเรายังได้เห็นอากัปกิริยาของตัวละครแต่ละตัว คนร้อยพ่อพันแม่มาอยู่ที่เดียวกัน มีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ต่างกัน สัญชาตญาณของแต่ละคนบอกให้เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเขียนเอาหลักจิตวิทยามาใช้ วางให้ตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกหรือภูมิหลังต่างกัน แล้วให้เราตัดสินว่าใครน่าสงสัย ใครที่เราควรเชื่อใจ ถ้าเราไปยืนอยู่ตรงนั้นแทนยูกิ เราจะไว้ใจใครได้บ้าง
        หรือเราจะไม่ไว้ใจใครเลย
        หรืออาจจะเป็นเราเสียเองที่ทนแรงกดดันไม่ไหวแล้วก่อคดีขึ้นมา
 

เทคนิคที่ใช้ในเรื่อง


        คงไม่ต้องบอกว่านิยายเรื่องนี้เหมาะกับคนเขียนแนวสืบสวน แต่คนที่เขียนแนวอื่นก็อ่านได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบเก็บรายละเอียด ลองศึกษาการบรรยายของเรื่องนี้ดูว่าแต่ละจุดสุดท้ายไปเฉลยทีหลังหมดว่าทำไมต้องเป็นแบบนั้น ไม่ใช่แค่พูดขึ้นมาลอยๆ
        อีกอย่างที่น่าสนใจคือจำนวนตัวละครในเรื่อง แม้ยูกิจะเป็นตัวเด่นเพียงคนเดียว แต่เรื่องนี้มีสถานการณ์บังคับที่ตัวละคร 'ทั้ง 12 ตัว' ต้องแนะนำตัว แน่นอนว่าคนอ่านจำไม่ได้อยู่แล้ว ใครเป็นใคร พี่อ่านไปก็ต้องคอยเปิดกลับมาดูว่าชื่อนี้เป็นใครกันแน่ แต่คนเขียนก็แบ่งบทให้ตัวละครแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี ค่อยๆ จับกลุ่มตัวละครที่สำคัญกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แล้วทำให้คนอ่านรู้จักตัวละครกลุ่มนี้ก่อน จากนั้นค่อยๆ แนะนำตัวละครตัวอื่นๆ แค่ประมาณ 1 ใน 4 ของเรื่องก็น่าจะจำตัวละครทั้งหมดได้แล้ว
 

เปรียบเทียบกับหนัง


        เรื่องนี้มีเวอร์ชั่นหนังด้วย แถมนำแสดงโดยดาราดังๆ อย่าง ฟูจิวาระ ทัตสึยะ คนที่แสดงเป็น ยางามิ ไลท์ ใน Deathnote หรือ ชูยะ ใน Battle Royale กับ อายาเสะ ฮารุกะ ที่แสดงเป็นนางเอกในซีรี่ส์หมอจินทะลุมิติ หนังออกฉายในปี 2010 แต่บ้านเราเพิ่งหยิบนิยายมาแปลเมื่อต้นปี 2015 หนังเข้าไทยใช้ชื่อว่า "10 คน 7 วัน ท้าเกมมรณะ"
        น่าดีใจที่พี่อ่านฉบับนิยายก่อนไปหาหนังมาดู เพราะ (อันนี้พูดแบบไม่ใช่คอนิยายนะ) นิยายต้นฉบับดีกว่ามากจริงๆ
        หนังมีการเปลี่ยนพล็อตเรื่องไปเยอะ ก็ต้องเห็นใจเขาเพราะนิยายเรื่องนี้เน้นการไขคดีและมีรายละเอียดเยอะ เอามาทำเป็นหนังยาก คงไม่มีใครอยากดูหนังที่เห็นแค่ตัวละครเครียดจิตตกไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดๆ ตลอดเวลา เขาก็เลยเปลี่ยนพล็อตให้เป็นสไตล์เซอร์ไววัลเกมเต็มรูปแบบแทน
        หนังต่างจากนิยายอย่างไรบ้าง เอาแบบไม่สปอยล์นะ
  • ตัวละครหายไป 2 (ตามชื่อหนังเลย) นั่นคือ ฮาโกชิมะ กับ คามะคาเสะ ซึ่งสองตัวนี้อาจจะไม่เด่นเท่าตัวละครอย่างอันโด ซึ่งเป็นตัวละครชายที่สนิทกับตัวเอกที่สุด หรือโอซาโกะ คนที่มีความเป็นผู้นำมากที่สุด แต่ก็มีบทบาทกับพล็อตเรื่องพอสมควร
            ฮาโกชิมะคือตัวละครที่ฉลาด อ่านสถานการณ์ออก และไม่น่าไว้ใจ เพราะแม้จะอยู่ในภาวะกดดัน แต่เขากลับไม่เครียดหรือสติแตกเหมือนคนอื่น ความไม่น่าไว้ใจของเขาทำให้เกิดผลต่อมากับพล็อตเรื่อง
            ส่วนคามะคาเสะเป็นคนขี้ขลาด ต้องหาที่พึ่งตลอดเวลา เลยเกาะติดโอซาโกะที่มีความเป็นผู้นำและน่าเชื่อถือ ความขี้ขลาดของคามะคาเสะก็ส่งผลต่อพล็อตเรื่องและความซับซ้อนของคดีในเวลาต่อมาเช่นกัน
  • ในเรื่องลืมพูดถึงกฎสำคัญ นั่นคือโบนัสสำหรับคนที่เป็นเหยื่อ ฆาตกร นักสืบและผู้ช่วย ซึ่งกติกาพิเศษนี้แหละที่ทำให้สถานการณ์ในอังกิคังเปลี่ยนไป แต่หนังเพิ่งมาพูดถึงหลังจากเกิดคดีไปแล้ว ทำให้เกิดข้อกังขาว่าทำไมถึงมีการฆ่ากันเกิดขึ้นในเมื่อไม่มีใครรู้มาก่อนว่าฆ่าคนแล้วจะได้เงิน
  • มีการปรับผังอังกิคังใหม่ ในหนังอังกิคังไม่ได้เป็นทรงกลม แต่เป็นทรงรีคล้ายๆ รูปตาคน ซึ่งทำให้สภาพสถานที่ที่ควรจะกดดันตัวละครลดลง เพราะอังกิคังในนิยายทางเดินเป็นหยักเหมือนกลีบดอกไม้ ทำให้ทุกขณะที่เดินไปจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า
        อีกทั้งยังไม่ค่อยเน้นเรื่องรายละเอียดสถานที่อื่นๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าที่นี่ปิดตายจริงๆ อย่างในนิยาย อังกิคังจะอยู่ใต้ดิน พอตัวละครลงไปในห้องโถงปุ๊บ บันไดจะเลื่อนเก็บ ประตูทางขึ้นที่อยู่ด้านบนจะปิดลง แต่ในหนังอังกิคังจะมีประตูใหญ่เชื่อมกับทางเดินที่เป็นบันไดขึ้นไปข้างบน ทำให้รู้สึกว่าทางออกมีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังไม่เน้นเรื่องการออกแบบประตูห้องส่วนตัว หรือรายละเอียดอื่นๆ ด้วย
        สรุปคือในหนังไม่เน้นเรื่องสภาพสถานที่มากนัก ทำให้ความกดดันลดลง ความสมเหตุสมผลที่อยู่ๆ ตัวละครจะหวาดระแวงหรือกลัวขึ้นมาก็ลดลงไปด้วย
  • หุ่นยนต์หน้าตาต่างไป ในหนังหุ่นยนต์จะอยู่บนเพดาน คล้ายๆ รถไฟที่วิ่งไปตามรางเลื่อน แต่ในนิยาย พี่คิดภาพว่าเหมือน R2D2 เป็นหุ่นทรงกระบอกที่วิ่งไปวิ่งมาได้อิสระ ดูไม่คุกคามเท่าในหนัง
  • ตัวละครบุคลิกเปลี่ยนตามพล็อตเรื่อง อย่างที่บอกว่าพล็อตในหนังต่างจากนิยายพอสมควร (เกือบจะเป็นหนังคนละม้วน) ในนิยายนั้นตัวละครไม่ได้เป็น 'ภัย' มาก ส่วนใหญ่ก็คือคนปกติอย่างพวกเรา ไม่ได้มีใครแสดงออกว่าเป็นบุคคลอันตรายออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ยิ่งเดาทางยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นและใครคือคนร้ายกันแน่
            แต่ในหนัง เขาจัดให้ตัวละครแสดง 'ความผิดปกติ' ออกมาชัดๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องเลย เนื่องจากเวลาจำกัด โอซาโกะในนิยายค่อนข้างเป็นคนดี ในหนังก็จะเปลี่ยนลุคให้กลายเป็นตัวร้ายนิดๆ ฟุจิที่ควรจะเป็นแม่บ้านร่วมท้วมผู้สงบเสงี่ยมและเอาใจใส่ทุกคน ก็กลายเป็นมนุษย์ป้าขี้นินทาและชอบใส่ไฟ ส่วนอันโดนี่เปลี่ยนเยอะสุด เพราะแทนที่จะเป็นหนุ่มอารมณ์ดี ที่ชอบโอ้อวด กลายเป็นลุงแก่ๆ ที่ชอบดื่มเหล้า และดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุด นิชิโนะที่ควรจะเป็นซาลารี่แมนผู้นอบน้อมกลายเป็นผู้ชายกวนๆ ที่ชอบเป่าหูคนอื่น
        เหล่านี้เป็นรายละเอียดกว้างๆ ที่ทำให้ภาพรวมออกมาเหมือนหนังไม่ได้เดินเรื่องตามนิยายเสียทีเดียว แต่แค่เอาไอเดียกับตัวละครมาใช้ แล้ววางเรื่องใหม่แทน
 

cr: chukuma.wordpress.com
 
        เนื่องจากเสน่ห์ของ The Incite Mill คือการไขปริศนาที่วางไว้อย่างละเอียดลออ วัดกึ๋นของคอนิยายสืบสวน และเอาไอเดีย The Closed Circle มาใช้กับตัวละครที่เป็นคนธรรมดาๆ เหมือนกับเรา ไม่ใช่ศูนย์รวมมนุษย์โรคจิต ทำให้ต้องเน้นหลักจิตวิทยาในการกดดันตัวละครให้ทำเรื่องไม่ดี พอเอามาทำเป็นหนัง เพิ่มตัวละครโรคจิตหรือตัวละครไม่ดีเข้าไปเยอะๆ เปลี่ยนบทเป็นเน้นฉากฆ่ากัน ให้กรีดร้อง หัวฟัดหัวเหวี่ยง (แบบใน Battle Royale) มันก็เลยเป็นแค่หนังฆ่ากันตายที่ออกมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องแล้วเท่านั้นเอง
        ถึงแม้จะได้ผู้กำกับมือดีที่เคยกำกับหนังดังอย่าง The Ring หรือ L: Change the World มาดูแล แต่เรื่องนี้ดับเพราะบทจริงๆ แม้แต่ IMDB ยังให้คะแนนแค่ 5 เต็ม 10
        ดังนั้นใครที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าไม่สนุกเลย ลองไปหานิยายมาอ่านดูค่ะ ไม่อยากให้เสียโอกาสเพราะเข้าใจว่าหนังได้บทมาจากหนังสือ มันคนละเรื่องจริงๆ
 

แจกดาว:

แนะนำสำหรับ:
  • เยาวชนอายุ 13 ปีขึ้นไป (เรื่องค่อนข้างซับซ้อน)
  • ที่เป็นคอนิยายสืบสวนแบบคนอ่านไขคดีไปพร้อมกับตัวละคร (จะดีมากถ้าเคยอ่านนิยายสืบสวนมาเยอะ โดยเฉพาะฝั่งยุโรป)
  • ที่ชอบนิยายเชิงจิตวิทยา
  • ที่ชอบเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เกม มีกติกา มีเดิมพัน
     

ใครอ่านแล้วก็มาแสดงความคิดเห็นกันได้นะคะ
(ถ้าคอมเมนต์มีเนื้อหาสปอยล์ ให้ทำเป็นคลุมดำไว้นะคะ)


Dek-D's Writer มีแฟนเพจแล้วนะ จิ้มเลย
****************************************************************
พี่น้อง
พี่น้อง - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Edward HF. Member 25 พ.ค. 58 17:18 น. 3

เรื่องนี้เคยดูเป็นหนังก่อนแล้วมาเจอเป็นนิยายครับ ถ้าผมจำไม่ผิด นิยายนี่น่าจะถูกแปลมาหลังออกฉายไปนานแล้วนะครับ ผมอ่านเวอร์ชั่นนิยายจบเมื่อตอนที่มันพึ่งออกใหม่ๆเลย -0-

จริงๆอย่างที่พี่น้องว่าเลย เวอร์ชั่นหนังกับเวอร์ชั่นนิยายมันดูคนละเสน่ห์กันเลยอ่ะ เวอร์ชั่นหนังความกดดันมันดูมีเฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นนะและก็ไม่ได้มากอะไรด้วย ช่วงหลังๆมันดูมั่วๆตามแบบหนังฆ่ากันมากกว่า ไม่มีกลิ่นอายความเป็นเกมแห่งจิตวิทยาแบบในนิยายเลยสักนิดเดียว พระเอกกับพลพรรคในหนังก็ดูเป็นคนปกติจนเกินความจำเป็นไป จะกลัวก็กลัว จะสืบก็สืบแล้วชี้ฆาตกรแบบมั่วๆเหมือนโมริโคโกโร่ในโคนัน จะโกรธก็โกรธแล้วย่องดอดเอาอาวุธไปฟันหัวเขาแบะอะไรแบบนี้

ในนิยายผมชอบนะ พระเอกดูเป็นคนที่เป็นคนจริงๆไม่ได้เกินความจำเป็น ดูมีความรู้สึกของคนที่จับต้องได้จริงๆ เพราะไม่ได้ดีจนโอเวอร์และก็ไม่ได้ร้ายจนเกินไป เป็นตัวละครออกเทาๆ

เรื่องตัวละครผมว่าผมชอบของหนังมากกว่านะ ดูมีเสน่ห์และออร่าน่าจดจำมากกว่าในนิยาย ในนิยายตัวละครจะรุ่นราวคราวเดียวกันหมด(ยกเว้นคุณป้าฟูจิกับคุณน้านิชิโนะ) แถมความฉลาดและความคิดบางครั้งมันโทนเดียวกันหมดจนผมต้องย้อนกลับไปอ่านฉากที่ทยอยกันแนะนำตัว ผมคิดว่าผู้กำกับคงเล็งเห็นถึงส่วนนี้เลยต้องลดตัวละครลงและปรับเปลี่ยนบุคลิก (แต่ถ้าเป็นมุมมองคนอ่านมาก่อนแล้วค่อยดูหนัง ผมคิดว่ามันก็ดูไปมิกซ์ไปมิกซ์มาจนมั่วพิกล อย่างเช่นความจริงแล้วผมคิดว่า อันโด หนุ่มแว่นท่าทางฉลาด กับ นิชิโนะ คุณน้าวัยกลางคนที่ดูแก่เกินวัย ในหนังถูกมิกซ์รวมกลายเป็น อันโด คนใหม่ที่เป็นคุณลุงวัยกลางคนแถมฉลาด ประมาณนี้)

คือรวมๆแล้วผมชอบนิยายมากกว่าอ่ะ คนที่รอดมีเหตุผลที่สมควรจะรอดและได้พบจุดจบที่สมควรจะพบ ไม่ใช่รอดแล้วก็อวยๆเข้าไป

ในหนังผมไม่ค่อยเมคเซ้นส์ที่ฉากจบ...ตรงที่พระเอกโยนเงินทิ้งอ่ะ เพื่ออะไร? เสี่ยงตายมาถึงขนาดนี้เอ็งยังจะมาทำพระเอกโชว์กล้องหาพระแสงโยนเงินก้อนโตทิ้งเหรอ งั้นถ้าใครบังเอิญเดินมาแถวนั้นแล้วเก็บได้ก็คงเป็นมหาเศรษฐีแล้วสินะ =w=

ใครอ่านเม้นต์นี้มาถึงตรงนี้แล้ว ผมแนะนำให้อ่านนิยายก่อนจะดูหนังนะครับ เพราะนิยายนั้นมันมีหลากหลายอารมณ์และสนุก ลุ้นระทึกทั้งๆที่การเดินเรื่องก็ไม่ได้ออกแนวบ้าคลั่งเหมือนหนัง

1
กำลังโหลด
9 2 ไ ล น์ ม า ย เ ม น Member 22 มิ.ย. 58 12:44 น. 8

อ่านแล้วค่ะะะะะะ แต่ยังไม่ได้ดูหนัง

อ่านแล้วเข้าใจมากสำหรับเด็กอายุ 12 คนนึงนะคะ เพราะเค้าเขียนดีหรือแปลดีก็ไม่รู้ #ฮา

ตอนจบหักมุมมาก คาดเดาต่อไปไม่ถูกเลย

แล้วยิ่งต้องคำนวณค่าเงินไปด้วยเพราะลุ้นมาก ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจะชี้ตัวคนถูกรึปล่าว

[ต่อไปนี้เป็นสปอยล์ อยากทราบเนื้อหาโปรดคลุมดำ]

ตอนที่ยูกิบอกว่านิชิโนะฆ่าตัวตายฉันยังไม่เชื่อเลยเธอ!!!

แต่ชอบข้ามตอนที่เขาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เพราะมันจริงอย่างยูกิพูด เขียนพล่ามอะไรก็ไม่รู้ ไม่อยากอ่าน #ฮา

เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม

1
กำลังโหลด
rockin.tingerbell Member 23 ก.ค. 60 06:08 น. 10

เราอ่านนิยายแล้วไปดูหนัง ผิดหวังมากกว่าที่คิดเยอะเลยโดยเฉพาะตัวยูกิที่เป็นพระเอก ในนิยายดูสงบนิ่งกว่า แล้วก็ควบคุมอารมณ์อะไรได้ดีกว่าเยอะมาก แต่ในหนังดูน่ารำคาญมาก ฉากแรกๆที่นั่งบนโต๊ะจู่ๆก็ยืนขึ้นมาเหมือนอยากเด่นคือเกลียดมาก และอีกจุดคือการวางตัวกับสึวะนะ ในหนังเหมือนอยากสนิทสนมแบบไม่เก็บสีหน้าเลย ตีตัวสนิทกับเขาเฉยเลยอีกต่างหาก แต่ในนิยายรู้จักระดับตัวเองและเว้นระยะห่างพอดีด้วย

ผิดหวังกับสึวะนะพอควรเช่นกัน เพราะค่อนข้างคาดหวังกับตัวละครนี้ ในหนังสึวะนะดูไม่ค่อยสงบนิ่งและเก็บอารมณ์เหมือนในนิยาย ในหนังดูเป็นผู้หญิงเหยาะแหยะไม่ได้เรื่องมากกว่า คนที่แสดงเองก็ไม่ค่อยมีความเรียบนิ่งเท่า สุดท้ายก็ดูหนังไม่จบ ที่ดูเพราะแค่อยากเห็นบรรยากาศแค่นั้น

2
editor_nong Member 23 ก.ค. 60 13:10 น. 10-1
หนังอาจจะรักษาคาแรคเตอร์แบบหนังสือไม่ได้เพราะต้องเน้นความตื่นเต้น ดึงคนให้อยู่ในหนึ่งชั่วโมงน่ะค่ะ แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เยี่ยม
0
กำลังโหลด

10 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
Edward HF. Member 25 พ.ค. 58 17:18 น. 3

เรื่องนี้เคยดูเป็นหนังก่อนแล้วมาเจอเป็นนิยายครับ ถ้าผมจำไม่ผิด นิยายนี่น่าจะถูกแปลมาหลังออกฉายไปนานแล้วนะครับ ผมอ่านเวอร์ชั่นนิยายจบเมื่อตอนที่มันพึ่งออกใหม่ๆเลย -0-

จริงๆอย่างที่พี่น้องว่าเลย เวอร์ชั่นหนังกับเวอร์ชั่นนิยายมันดูคนละเสน่ห์กันเลยอ่ะ เวอร์ชั่นหนังความกดดันมันดูมีเฉพาะช่วงแรกๆเท่านั้นนะและก็ไม่ได้มากอะไรด้วย ช่วงหลังๆมันดูมั่วๆตามแบบหนังฆ่ากันมากกว่า ไม่มีกลิ่นอายความเป็นเกมแห่งจิตวิทยาแบบในนิยายเลยสักนิดเดียว พระเอกกับพลพรรคในหนังก็ดูเป็นคนปกติจนเกินความจำเป็นไป จะกลัวก็กลัว จะสืบก็สืบแล้วชี้ฆาตกรแบบมั่วๆเหมือนโมริโคโกโร่ในโคนัน จะโกรธก็โกรธแล้วย่องดอดเอาอาวุธไปฟันหัวเขาแบะอะไรแบบนี้

ในนิยายผมชอบนะ พระเอกดูเป็นคนที่เป็นคนจริงๆไม่ได้เกินความจำเป็น ดูมีความรู้สึกของคนที่จับต้องได้จริงๆ เพราะไม่ได้ดีจนโอเวอร์และก็ไม่ได้ร้ายจนเกินไป เป็นตัวละครออกเทาๆ

เรื่องตัวละครผมว่าผมชอบของหนังมากกว่านะ ดูมีเสน่ห์และออร่าน่าจดจำมากกว่าในนิยาย ในนิยายตัวละครจะรุ่นราวคราวเดียวกันหมด(ยกเว้นคุณป้าฟูจิกับคุณน้านิชิโนะ) แถมความฉลาดและความคิดบางครั้งมันโทนเดียวกันหมดจนผมต้องย้อนกลับไปอ่านฉากที่ทยอยกันแนะนำตัว ผมคิดว่าผู้กำกับคงเล็งเห็นถึงส่วนนี้เลยต้องลดตัวละครลงและปรับเปลี่ยนบุคลิก (แต่ถ้าเป็นมุมมองคนอ่านมาก่อนแล้วค่อยดูหนัง ผมคิดว่ามันก็ดูไปมิกซ์ไปมิกซ์มาจนมั่วพิกล อย่างเช่นความจริงแล้วผมคิดว่า อันโด หนุ่มแว่นท่าทางฉลาด กับ นิชิโนะ คุณน้าวัยกลางคนที่ดูแก่เกินวัย ในหนังถูกมิกซ์รวมกลายเป็น อันโด คนใหม่ที่เป็นคุณลุงวัยกลางคนแถมฉลาด ประมาณนี้)

คือรวมๆแล้วผมชอบนิยายมากกว่าอ่ะ คนที่รอดมีเหตุผลที่สมควรจะรอดและได้พบจุดจบที่สมควรจะพบ ไม่ใช่รอดแล้วก็อวยๆเข้าไป

ในหนังผมไม่ค่อยเมคเซ้นส์ที่ฉากจบ...ตรงที่พระเอกโยนเงินทิ้งอ่ะ เพื่ออะไร? เสี่ยงตายมาถึงขนาดนี้เอ็งยังจะมาทำพระเอกโชว์กล้องหาพระแสงโยนเงินก้อนโตทิ้งเหรอ งั้นถ้าใครบังเอิญเดินมาแถวนั้นแล้วเก็บได้ก็คงเป็นมหาเศรษฐีแล้วสินะ =w=

ใครอ่านเม้นต์นี้มาถึงตรงนี้แล้ว ผมแนะนำให้อ่านนิยายก่อนจะดูหนังนะครับ เพราะนิยายนั้นมันมีหลากหลายอารมณ์และสนุก ลุ้นระทึกทั้งๆที่การเดินเรื่องก็ไม่ได้ออกแนวบ้าคลั่งเหมือนหนัง

1
กำลังโหลด
Arzontia Member 25 พ.ค. 58 20:52 น. 4

ไม่เคยดูหนัง ไปอ่านนิยายมาพระสะดุุดกับชื่อเรื่อง และงงกับฉากจบ 55555 เพิ่งรู้ว่ามีหนังด้วย อย่างนี้ต้องไปหามาดูน่าจะเข้าใจมากกว่า

0
กำลังโหลด
afit Member 26 พ.ค. 58 23:02 น. 5

เคยหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาดูผ่านๆ แต่ไม่ได้สนใจอะไร

พออ่านรีวิวนี้แล้วกระตุ้นต่อมอยากซื้อขึ้นมาทันที

จิตวิทยา กดดัน หลอกลวงคนอ่านแบบนี้แหละชอบนักแล  เย้

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Leonine Member 7 มิ.ย. 58 22:34 น. 7

เรื่องนี้เคยดูเป็นหนังด้วยความบังเอิญ เห็นนักแสดงดังๆเยอะเลยคิดว่าคงสนุก แต่เนื้อเรื่องก็เฉยๆถ้าไม่ใช่เพราะชอบแนวสืบสวนอยู่แล้วแบบต้องรู้ตอนจบและการคลี่คลายของปริศนาให้ เลยดูจนจบ เท่าที่อ่านบทวิจารณ์คิดว่าแบบหนังสือน่าจะสนุกกว่า จะไปลองหามาอ่านเปรียบเทียบ

0
กำลังโหลด
9 2 ไ ล น์ ม า ย เ ม น Member 22 มิ.ย. 58 12:44 น. 8

อ่านแล้วค่ะะะะะะ แต่ยังไม่ได้ดูหนัง

อ่านแล้วเข้าใจมากสำหรับเด็กอายุ 12 คนนึงนะคะ เพราะเค้าเขียนดีหรือแปลดีก็ไม่รู้ #ฮา

ตอนจบหักมุมมาก คาดเดาต่อไปไม่ถูกเลย

แล้วยิ่งต้องคำนวณค่าเงินไปด้วยเพราะลุ้นมาก ยิ่งไม่รู้ด้วยว่าจะชี้ตัวคนถูกรึปล่าว

[ต่อไปนี้เป็นสปอยล์ อยากทราบเนื้อหาโปรดคลุมดำ]

ตอนที่ยูกิบอกว่านิชิโนะฆ่าตัวตายฉันยังไม่เชื่อเลยเธอ!!!

แต่ชอบข้ามตอนที่เขาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องอาวุธ เพราะมันจริงอย่างยูกิพูด เขียนพล่ามอะไรก็ไม่รู้ ไม่อยากอ่าน #ฮา

เยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด
rockin.tingerbell Member 23 ก.ค. 60 06:08 น. 10

เราอ่านนิยายแล้วไปดูหนัง ผิดหวังมากกว่าที่คิดเยอะเลยโดยเฉพาะตัวยูกิที่เป็นพระเอก ในนิยายดูสงบนิ่งกว่า แล้วก็ควบคุมอารมณ์อะไรได้ดีกว่าเยอะมาก แต่ในหนังดูน่ารำคาญมาก ฉากแรกๆที่นั่งบนโต๊ะจู่ๆก็ยืนขึ้นมาเหมือนอยากเด่นคือเกลียดมาก และอีกจุดคือการวางตัวกับสึวะนะ ในหนังเหมือนอยากสนิทสนมแบบไม่เก็บสีหน้าเลย ตีตัวสนิทกับเขาเฉยเลยอีกต่างหาก แต่ในนิยายรู้จักระดับตัวเองและเว้นระยะห่างพอดีด้วย

ผิดหวังกับสึวะนะพอควรเช่นกัน เพราะค่อนข้างคาดหวังกับตัวละครนี้ ในหนังสึวะนะดูไม่ค่อยสงบนิ่งและเก็บอารมณ์เหมือนในนิยาย ในหนังดูเป็นผู้หญิงเหยาะแหยะไม่ได้เรื่องมากกว่า คนที่แสดงเองก็ไม่ค่อยมีความเรียบนิ่งเท่า สุดท้ายก็ดูหนังไม่จบ ที่ดูเพราะแค่อยากเห็นบรรยากาศแค่นั้น

2
editor_nong Member 23 ก.ค. 60 13:10 น. 10-1
หนังอาจจะรักษาคาแรคเตอร์แบบหนังสือไม่ได้เพราะต้องเน้นความตื่นเต้น ดึงคนให้อยู่ในหนึ่งชั่วโมงน่ะค่ะ แต่ก็รู้สึกว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เยี่ยม
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด