10 หนังสือทั้งแปลกทั้งหลอน - - โห ยังงี้ก็มีด้วย!
หนังสือบนโลกนี้มีมากมาย แต่แปลกแบบนี้ ยอมรับว่าไม่เคยพบเคยเจอ  
 
สวัสดีจ้าน้องๆ ชาวไรเตอร์ทุกคน ไม่นานมานี้ พี่ตินได้ทำบทความเรื่อง 10 หนังสือราคาแพงที่สุดในโลก เรียบร้อยแล้ว วันนี้ ก็เลยลองมาทำบทความใหม่ เรื่อง 10 หนังสือแปลกดูบ้าง ระหว่างที่ทำ โอ้โห บอกเลยว่าทึ่งจริงๆ ข้อมูลบทความนี้ พิเศษมาก ไม่เคยคิดเลยว่าบนโลกนี้จะมีหนังสือแปลกขนาดนี้ ยอมรับว่าแอบช็อกเบาๆ
 
อย่ารอช้า ขอพาทุกคนไปดูกันเลยว่าที่เขาว่าแปลกน่ะ
แปลกแค่ไหนและแปลกอย่างไร

 
10 Codex Seraphinianus
แค่ชื่อเรื่องพี่ตินก็ว่าแปลกมากแล้วนะ แต่สิ่งที่แปลกกว่านั้นอีกก็คือ หนังสือเล่มนี้เขียนด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรืออ่านออก และยังเต็มไปด้วยภาพประกอบของสิ่งที่ไม่มีในโลก เรียกว่าจินตนาการบรรเจิดเลอเลิศมาก เชื่อกันว่า... Codex Seraphinianus น่าจะเป็นสารานุกรมที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกแล้ว ผู้เขียน Luigi Serafini สถาปนิกหนุ่มชาวอิตาเลียน ผู้เชื่อว่า... ผลงานของเขาเป็นงานวิทยาศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1981 และสร้างความฮือฮาให้กับวงการมากทีเดียว ทั้งเล่มเขียนด้วยลายมือ และภาพประกอบก็วาดด้วยมือ ลงสีเองด้วย ส่วนภาษาที่ไม่มีใครอ่านออก เจ้าตัวบอกว่าเป็นภาษาที่เขาบัญญัติขึ้นเอง มีทั้งหมด 24 ตัวอักษร (มิน่าถึงไม่มีใครเข้าใจ...) ส่วนชื่อเรื่อง Seraphinianus ดัดแปลงมาจากชื่อของเขาเอง Serafini ส่วน Codex แปลว่าหนังสือโบราณที่เขียนด้วยลายมือ
 
เครดิตภาพ : Parigi Books  
 
เครดิตภาพ : wired.com
 
เครดิตภาพ : geekybooksnob.wordpress.com 
 

เครดิตภาพ : promega.wordpress.com 
 
9 The Book Of Soyga
วันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1552 นักคณิตศาสตร์ จอห์น ดี ประกาศว่าเขาได้ติดต่อสื่อสารกับเทพยดา! ดีเชื่อว่าตัวเองใช้ชีวิตสองโลก คือโลกวิญญาณและโลกความเป็นจริง ดีเป็นคนรักหนังสือมาก เขารู้จักหนังสือแทบทุกเล่มในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน แต่ว่า Book of Soyga เป็นเล่มที่เขาทุ่มเทความสนใจให้มากที่สุด หนังสือปริศนาเล่มนี้ ไม่ปรากฎชื่อผู้เขียน ภายในประกอบด้วย 40,000 ตัวอักษร จัดเรียงกันอย่างสับสน แต่ในความสับสนนั้น มันคือรหัส! ที่ดีเองก็ยอมรับว่าเขาเองยังถอดไม่ได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ 36 หน้าสุดท้าย เต็มไปด้วยความลึกลับและยากจะเข้าใจ ดีสัมผัสได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีสิ่งพิเศษ เขาตัดสินใจเดินทางท่องโลกเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับรหัสทั้งหมด เมื่อเดินทางไปยังยุโรป ดีระบุว่าเขาได้พบกับ ทูตสวรรค์ อูริเอล พระองค์ตรัสกับเขาว่า... หนังสือเล่มนี้ คือหนังสือที่พระเจ้ามอบให้กับอดัม (อดัมกับอีฟนั่นแหละ) ดีขอให้พระองค์ช่วยอธิบายรหัสในหนังสือ ทว่าพระองค์ตรัสว่า มีเพียงเทพที่มีสิทธิ์รู้ความลับนี้ หลังจากนั้น ดีดูจะยอมรับความจริง เขาล้มเลิกความคิดที่จะถอดรหัส หลังจากดีเสียชีวิต หนังสือเล่มนี้สูญหายไปนานถึง 500 ปี ก่อนที่มันจะกลับมาปรากฎอีกครั้ง ทุกวันนี้ Book of Soyga มีทั้งหมด 2 เล่ม เล่มหนึ่งอยู่ที่ British Library และอีกเล่มอยู่ที่ Oxford’s Bodleian Library และแน่นอนว่า ยังไม่มีใครถอดรหัสออก
 
เครดิตภาพ : coolinterestingstuff.com 
 
8 Prodigiorum Ac Ostentorum Chronicon
หนังสือที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Chronicle of Portents and Prophecies ผู้เขียนเป็นนักมนุษยนิยมชาวฝรั่งเศส ชื่อ Conrad Lycosthenes ตัวหนังสือตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1557 การนำเสนอเนื้อหาจัดอยู่ในกลุ่มสารานุกรม เล่าเรื่องกำเนิดอดัมกับอีฟ ถ้า Codex Seraphinianus เปรียบเหมือนสารานุกรมแฟนตาซี หนังสือเล่มนี้ น่าจะใกล้เคียงความจริงกว่า แม้ว่าจะเป็นความจริงที่โหดร้ายก็ตาม ภายในเล่มเล่าเรื่องหายนะต่างๆ อย่างละเอียด ทั้งน้ำท่วม ดาวหาง (มีพูดถึงดาวหางฮันเล่ย์ด้วย) ปีศาจใต้ทะเล ยูเอฟโอ และเรื่องร้ายๆ อื่นๆ อีกมาก นอกจากข้อเขียนแล้ว ก็ยังมีภาพวาดมากกว่า 1,000 ภาพ ใครอยากเห็นของจริง ลองหาดูตามเว็บไซต์ขายหนังสือหายากดู น่าจะยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ว่าเป็นฉบับก็อปปี้ ไม่ใช่ฉบับจริง ราคาหลายพันดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยก็คงเป็นหลักหมื่น จนอาจจะเหยียบแสน

เครดิตภาพ : listverse.com
 

เครดิตภาพ : lackuna.com
 
7 The Ripley Scrolls
ตอนที่ ไอแซค นิวตัน สนใจเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุใหม่ๆ เขาเริ่มจากการอ่านผลงานของ เซอร์จอร์จ ริปลี่ย์ นักเขียนสมัยศตวรรษที่ 15 และหนังสือเล่มที่ได้รับความฮือฮามากที่สุดของเขาก็คือ Ripley Scrolls เล่มนี้นี่เอง มันเป็นหนังสือภาพที่พูดถึงสูตรการสร้างก้อนหินวิเศษ ที่มีวัตถุดิบสำคัญคือ... สารที่เปลี่ยนตะกั่วให้กลายเป็นทองได้ ต้นฉบับของหนังสือเล่มนี้สูญหายไปแล้ว แต่ยังพอเหลือฉบับเลียนแบบ... ซึ่งวาดโดยศิลปินในสมัยศตวรรษที่ 16 ในตลาดอยู่บ้าง เชื่อกันว่าในโลกนี้มีเหลืออยู่แค่ 23 เล่มเท่านั้น แต่ละเล่มไม่เหมือนกันเลย เพราะทำมือทั้งหมด บางเล่มก็ยาวมากกว่า 19.5 ฟุต!!
 
เครดิตภาพ : listverse.com
 
เครดิตภาพ : sciencemuseum.org.uk  
 
6 The Story Of The Vivian Girls
ตลอดชีวิต เฮนรี่ ดาร์เกอร์ ทำงานเป็นภารโรงที่ชิคาโก้ ณ ตอนนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าระหว่างช่วงพัก เขาใช้เวลาเขียนหนังสือสุดแปลกเล่มนี้ตลอดเวลา เมื่อเขาเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1973 เจ้าของบ้านที่ดาร์เกอร์ไปเช่า ค้นพบ Story of the Vivian Girls หนังสือที่มีความยาวถึง 15,000 หน้าเล่มนี้ (หนังสือเล่มนี้ทำเป็นหนังใช้ชื่อ Realms of the Unreal) ภายในอัดแน่นด้วยตัวอักษรมากถึง 9 ล้านตัว และภาพวาดสีน้ำมากกว่า 300 ภาพ ล้วนแต่เป็นการวาดเลียนแบบภาพจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์ เนื่องจากดาร์เกอร์เสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่มีใครรู้ว่าเขาใช้เวลาอยู่กับหนังสือเล่มนี้นานเท่าไหร่ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เชื่อว่า น่าจะกินเวลาหลายสิบปี เป็นเรื่องแปลกมากที่ภารโรงผู้นี้ ไม่ปริปากบอกถึงผลงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์นี้ให้ใครรู้เลย
 
เครดิตภาพ : audreyq.wordpress.com

เครดิตภาพ : listverse.com
 
5 Popol Vuh
คำนิยามของหนังสือเล่มนี้คือ “แปลกประหลาด” เพราะมันเป็นหนังสือที่ลึกลับและแปลกมากจริงๆ เขียนขึ้นโดยนักเขียนหลายคนจนระบุออกมาไม่ได้ (จริงๆ คือไม่มีใครรู้) เนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และเรื่องลึกลับของชาวมายา ไล่มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 เลยทีเดียว ในช่วงปี ค.ศ. 1700 บาทหลวงชาวโดมินิกัน Francisco Ximenez ผู้สนใจวัฒนธรรมของชาวมายา ได้พบหนังสือเล่มนี้ และก็แปลออกมาตรงตามชื่อหนังสือ นั่นคือ “หนังสือของประชาชน” ท่านบาทหลวงแปลหนังสือเป็นสองภาษาคือภาษากัวเตมาลา และสเปน   
 
amazon.com
 
4 The Rohonc Codex
หนึ่งในหนังสือลึกลับที่สุดที่เคยปรากฎบนโลกนี้ เพราะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของมัน เขียนขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ มาจากส่วนไหนของโลก เท่าที่จับความได้ คือช่วงต้นศตวรรษที่ 19 หนังสือเล่มนี้ ถูกบริจาคให้เป็นสมบัติของ Hungarian Academy of Sciences ในเมือง Rohonc และข้อความในนั้นก็ทำให้คนอ่านถึงกับตะลึง มีถ้อยคำจำนวนมากที่ไม่สามารถถอดความหมายได้ เพราะยาวเกินไป แต่ละคำยาวมาก ตั้งแต่ 20-40 ตัวอักษรขึ้นไป หนังสือหนา 448 หน้า แต่มีสัญลักษณ์แปลกๆ มากถึง 200 ตัว ซึ่งนักถอดรหัสจำนวนมากต้องยอมจำนน ไม่มีใครแน่ใจเรื่องคำแปล และไม่รู้ด้วยว่ามันเขียนเพื่ออะไร ส่วนถิ่นกำเนิด มีการคาดเดาได้ตั้งแต่ฮังการี โรมาเนีย ไปจนถึงอินเดีย ถ้าใครอยากลองถอดรหัสดู ก็เสิร์ชกูเกิ้ลได้นะ เขามีให้ลองถอดรหัสออนไลน์อยู่
 
เครดิตภาพ : listverse.com
 
3 Codex Mendoza
พล็อตเรื่องหลักคือ การสู้รบระหว่างสเปนกับเม็กซิโก ผลสเปนเป็นฝ่ายชนะ และตั้งให้ Antonio de Mendoza เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ หนังสือเล่มนี้เล่าถึงประวัติศาสตร์ของชาวแอชเท็ก (กลุ่มชาติพันธุ์ในทางตอนกลางของเม็กซิโก) ซึ่งโดยแรกเริ่ม ความตั้งใจคือส่งกลับสเปน แต่ว่าเรือลำนั้นถูกโจมตีโดยโจรสลัดฝรั่งเศส สุดท้าย หนังสือจึงไปโผล่ที่ฝรั่งเศสแทน และถูกเผยแพร่ไปทั่วยุโรป จนกระทั่งปี ค.ศ. 1831 เอกสารถูกเก็บรักษาไว้ที่ห้องสมุด Bodleian Library เนื้อหาในเล่มแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่องราวของกษัตริย์แอชเท็ก ส่วนที่สองพูดถึงเรื่องเมืองต่างๆ ในเม็กซิโกที่ต้องจ่ายภาษีให้กับจักรพรรดิชาวแอชเท็ก และส่วนที่สาม บอกเล่าชีวิตประจำวันของชาวแอชเท็ก มีภาพวาดของทาสชาวแอชเท็กที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณโดนชาวสเปนด้วย หนังสือเล่มนี้จัดว่าเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
 
เครดิตภาพ : listverse.com
 
2 Dancing Lessons For The Advanced In Age
เครดิตภาพ : Anti-Kavariat
นวนิยายของชาวเช็ก เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1964 โดยนักเขียน Bohumil Hrabal เป็นเรื่องราวของชายชรา ที่เดินมาเจอหญิงสาวหกคนกำลังนอนอาบแดด จากนั้น เขาก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิต ฟังแล้วก็เหมือนงานธรรมดาๆ ทั่วไป ยกเว้นอย่างเดียว นั่นคือ หนังสือเล่มนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ นับได้แค่ประโยคเดียว!! ฟังไม่ผิด ทั้งเล่มประโยคเดียวจริงๆ ความยาวทั้งหมด 128 หน้า แต่ว่าเอาอยู่มากๆ เป็นสไตล์ของนักเขียนผู้นี้ เขามักจะเขียนประโยคยาวๆ ในนิยายเสมอ ในหนึ่งประโยค บอกเล่าทั้งเรื่องเศร้าและเรื่องสุขรวมกันไปเลย ชาวเช็กยกย่องให้นักเขียนคนนี้เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ พวกเขาบอกว่า ไม่ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนกี่ประโยค สุดท้ายแล้ว มันก็คือหนังสือที่ดีที่สุด
 
1 The Smithfield Decretals
อีกชื่อของหนังสือเล่มนี้ที่ใครๆ รู้จักกันดีคือ Decretals of Gregory IX เป็นหนังสือที่รวบรวบกฎหมายศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 13 ผู้รวบรวมคือ โป๊ปเกรเกอรี่ที่ 9 แต่สิ่งที่แปลกก็คือ การผสมผสานภาพวาดและตัวอักษรที่โค้งไหวคล้ายดอกไม้ เชื่อกันว่า... ค่าจ้างวาดจะต้องแพงมากๆ เพราะวาดมือทั้งเล่ม และตัวภาพวาดเองไม่ธรรมดาเลย แม้เนื้อหาจะเกี่ยวพันกับเรื่องของศาสนา แต่ภาพกลับหลอกหลอนมาก ไม่ว่าจำเป็นภาพของกระต่ายยักษ์ไล่กัดหัวคน, ห่านไล่จิกหมาป่า ฯลฯ ล้วนแต่เป็นภาพที่น่ากลัวจนน่างงว่ามันเอามารวมกับเรื่องศาสนาได้ยังไง เอาเป็นว่าอยากรู้ว่าหลอนแค่ไหน ไปดูเอาเองแล้วกันนะ
 
เครดิตภาพ : listverse.com
 
ตั้งแต่ทำบทความมา พี่ตินฟินกับบทความนี้สุดแล้วนะเนี่ย ได้ความรู้รอบตัวเพียบเลย ทำเสร็จต้องรีบไปเสิร์ชกูเกิ้ลหาภาพหนังสือแปลกพวกนี้มาดู เออ โลกนี้ก็มีอะไรแปลกๆ เยอะดีเนอะ เรามาเขียนพล็อตแบบนี้บ้างน่าจะดี งืมๆๆๆๆๆ  
 
อตินเอง
เครดิตภาพและเรื่องจาก http://listverse.com/2014/03/30/10-of-the-most-bizarre-books-ever-written/
 
พี่อติน
พี่อติน - Writer Editor ผู้ดูแลหมวดนักเขียนที่หลงใหลการอ่านแบบสุดๆ และไม่เคยพลาดทุกข่าวสารในวงการวรรณกรรม!

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Weiqi Member 2 ต.ค. 58 22:00 น. 4

จินตนาการเท่านั้นที่ขับเคลื่อนโลก และจินตนาการเท่านั้นที่สร้างสรรค์สิ่งน่าพิศวงเหล่านี้ออกมา มันเป็นความแปลกประหลาดที่ผู้สร้างเท่านั้นที่จะเข้าใจ หรือบางที ผู้สร้างเองก็อาจไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเขียนออกมา แต่ดูสิ แต่ละเล่มมันเต็มไปด้วยศิลปะ เราประทับใจเล่มที่สิบและเล่มที่เจ็ดมาก ถึงแม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อความของมันเลยก็ตาม

0
กำลังโหลด

8 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Weiqi Member 2 ต.ค. 58 22:00 น. 4

จินตนาการเท่านั้นที่ขับเคลื่อนโลก และจินตนาการเท่านั้นที่สร้างสรรค์สิ่งน่าพิศวงเหล่านี้ออกมา มันเป็นความแปลกประหลาดที่ผู้สร้างเท่านั้นที่จะเข้าใจ หรือบางที ผู้สร้างเองก็อาจไม่เข้าใจสิ่งที่ตัวเองเขียนออกมา แต่ดูสิ แต่ละเล่มมันเต็มไปด้วยศิลปะ เราประทับใจเล่มที่สิบและเล่มที่เจ็ดมาก ถึงแม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเนื้อความของมันเลยก็ตาม

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Ronny Aveiro Member 4 ต.ค. 58 16:08 น. 6

รหัสลับวอยนิชหรือตำราวอยนิช เล่มนี้ก็น่าสนใจ อยากรู้จริงๆเลยว่า รหัสลับพวกนั้น มันจะสื่ออะไรกันแน่

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด