วิจารณ์หนังสือ : Fate Diary บันทึกพลิกโลก

อีกหนึ่งวรรณกรรมที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคุณไปตลอดกาล



สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ มาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ วันนี้พี่มาพร้อมกับหนังสือดีๆ ที่ไม่ควรพลาด ซึ่งหนังสือเล่มนี้นะคะ ไม่ว่าจะหยิบมาอ่านกี่ครั้งก็อดประทับใจไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงเท่านั้น หากแต่ยังสอดแทรกข้อคิดให้แก่ผู้อ่านอีกด้วยค่ะ จะเป็นหนังสือเรื่องอะไรนั้น ตามมาดูเลย 
 



 

Fate Diary บันทึกพลิกโลก

Dr.Pop เขียน สำนักพิมพ์นานมีบุคส์
ราคา 275 บาท จำนวน 440 หน้า

 
อย่างที่รู้กันดีว่า Dr.Pop นั้นแจ้งเกิดจากเว็บไซต์เด็กดีของเรา โดยผลงานชิ้นแรกที่ออกสู่สายตาประชาชนคือ The White Road (เกิดกันทันใช่ไหม? เรื่องนี้เป็นนิยายไทยเล่มแรกที่พี่น้ำผึ้งอ่านเลยค่ะ ตอนนั้นยังเป็นวัยใสใสอยู่เลย) และต่อมาก็ยังมีผลงานออกมาให้แฟนๆ อีกเรื่อยๆ ได้แก่ Girls & A Doll, Boys & A Doll  และ Fate Diary ก็คือผลงานล่าสุดของนักเขียนชื่อดังคนนี้นี่เองจ้า

 


ภาพปกของ Girls & A Doll โปสเตอร์ The White Road Spirit และ หน้าปก Boys & A Doll 

 
บางคนอาจจะคิดว่ามันคือภาคต่อของ 2 เล่มก่อนหน้านั้น (ซึ่งก็จริงค่ะ ผู้เขียนได้บอกว่าเดิมชื่อ Worlds & A Doll) แล้วถ้าหยิบมาอ่านจะรู้เรื่องมั้ย? คำตอบคือ “รู้เรื่อง” แน่นอนค่ะ เพราะผู้เขียนยืนยันเลยว่า "ทุกคนอ่านได้โดยไม่ต้องย้อนไปอ่านผลงานที่ผ่านมา ไม่ว่านักอ่านหน้าใหม่ หน้าเก่า ผมรับรองว่าได้อรรถรส 100%" ดังนั้นไม่ต้องห่วงเลยว่าอ่านแล้วจะงง ^__^
 
และในวันนี้พี่ก็ได้โอกาสหยิบ Fate Diary มาอ่านอีกครั้ง คราวนี้ก็เลยอยากจะแบ่งปันความรู้สึกและความประทับใจให้ชาวไรเตอร์ฟัง เผื่อใครประทับใจตอนไหนหรือรู้สึกอย่างไรจะได้มาบอกเล่าให้ฟังกัน
 

คำโปรยหลังปก


"เต้" ผู้ป่วยโคม่า วัย 16 ปีหายตัวไปอย่างลึกลับจากโรงพยาบาล เบาะแสที่ถูกทิ้งไว้มีเพียง "กระสุนปริศนา" และ "สัญลักษณ์ดวงตาสีเลือด" 
 
ผู้กองแอนดี้ เราซ์ เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ เขาค้นพบว่าหลักฐานทั้งสองชิ้นเชื่อมโยงสู่ "ลูซิเฟอร์" จอมมารแห่งมิติต้องคำสาป คนเดียวที่จะช่วยเขาตามหาเต้ได้คือ "เพกาซัส" ผู้ครอบครองพลังแห่งเทพ เพกาซัสรู้ถึงการมีอยู่ของ "เฟทไดอารี่" สมุดบันทึกซึ่งกุมความลับของจักรวาล เขาพร้อมจะใช้มันเพื่อแผนการอันจะสาดความสะพรึงไปทั้งโลก
 
แต่แอนดี้ก็ต้องช็อกเมื่อค้นพบว่าเพกาซัสมีเชื้อสายของปีศาจเช่นกัน! ชะตากรรมของโลกตกอยู่ในมือเด็กหนุ่มปีศาจครึ่งเทพ จอมมารอีกฟากมิติ และสมุดบันทึกหนึ่งเล่ม บทสรุปครั้งนี้แม้แต่พระเจ้าก็ไม่รู้คำตอบ!

 

ตัวละคร


สำหรับในนวนิยายเรื่องนี้มีตัวละครที่ดำเนินเรื่องหลักๆ อยู่ 3 ตัวด้วยกัน
 
  • ผู้กองแอนดี้ เราซ์ : นายตำรวจมุทะลุผู้ที่ยึดถือคติว่า “ในโลกนี้ข้าเก่งสุด”
  • ภาคย์ : เด็กชายผู้มั่นคงใน “เฮีย” (เฮียคือตัวละครลับนั่นเอง)
  • เพกาซัส เจมส์ คริสต์มาส : ปีศาจครึ่งเทพที่ครอบครอง “บันทึกพลิกโลก!”
     



เพกาซัส เจมส์ คริสต์มาส
 

ความรู้สึกก่อนอ่าน


เนื่องจากได้ยินมาว่าเป็นอันดับ 1 หนังสือขายดีในประเทศไทยตั้งแต่ 10 ชั่วโมงแรก อันดับ 1 หนังสือขายดีรายสัปดาห์ประเทศไทยตั้งแต่วางจำหน่าย 3 วัน และเป็นอันดับ 1 วรรณกรรมจากประเทศไทย

 

ที่มา www.se-ed.com สรุปผลการขายจาก Se-Ed 400 สาขาทั่วประเทศ

 
พี่น้ำผึ้งเลยคาดหวังมากว่านอกจากความสนุกที่ได้รับแล้ว เราจะต้องตกตะกอนความคิดหรือได้รับอะไรบางอย่างหลังอ่านนิยายเรื่องนี้จบด้วย (รวมถึงระหว่างอ่านเช่นกัน)

 

ความรู้สึกหลังอ่าน


Fate Diary นั้นดำเนินเรื่องหลักๆ อยู่ที่โลกคู่ขนานหรือที่เรียกว่า “ไตรแองเกิล” สลับกับสถานที่ต่างๆ บนโลกเช่นประเทศไทย เกาหลีหรือฝรั่งเศส เป็นต้น
 
สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือ พัฒนาการด้านภาษาของผู้เขียน ที่ไม่เหมือนเดอะไวท์โรด โดยในนิยายเรื่องนี้นั้นใช้ภาษาที่ค่อนข้างวัยรุ่น ออกแนวเจ็บจี๊ดแต่เข้าใจง่ายเหมือนมีเพื่อนสนิทเล่าเรื่องให้ฟังเลยทำให้อ่านไปเรื่อยๆ เพลินๆ จนจบแบบไม่รู้ตัว การบรรยายที่เห็นภาพ มีการเปรียบเปรยที่บางครั้งก็ตลก แต่บางครั้งก็สื่ออารมณ์ของตัวละครได้ชัดเจน

 

ไม่ได้เป็นแค่นิยายธรรมดา


หากสังเกตที่หลังปกของหนังสือจะพบว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้จัดอยู่ในหมวดใดหมวดหนึ่ง หากแต่จัดอยู่ทั้งในหมวดวรรณกรรมเยาวชนและนวนิยายแฟนตาซีด้วย ทำให้ชักสงสัยแล้วว่าเนื้อหาด้านในจะเป็นอย่างไร และทันทีที่อ่านจบพี่รู้สึกได้เลยว่านี่มันไม่ใช่แค่นิยายธรรมดาๆ แล้ว พี่คิดว่ามันเหมือนกับหนังสือจิตวิทยามากกว่า เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอเป็นเชิงนวนิยายเท่านั้น
 
ถ้าเปรียบนิยายเป็นรสชาติอาหาร Fate Diary คงเป็นอาหารที่รสชาติกลมกล่อม มีทั้งเผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็มในจานเดียวกัน แม้จะเป็นนิยายแฟนตาซี แต่ก็เต็มไปด้วยความเศร้า เหงา แค้น ดราม่า โรคจิต เลือดสาด บู๊ล้างผลาญ และสิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่อง “ความรัก” ที่ดูจะเป็นธีมหลักของเรื่อง ทั้งหมดนี้เลยทำให้ Fate Diary มีหลากหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกันนั่นเอง

 


 
พัทธ์และเพกาซัส 

 
นอกจากนี้ในเรื่องการบิ้วอารมณ์ ผู้เขียนนั้นทำได้ดีค่ะ ฉากต่อสู้เรียกได้ว่ามันส์มาก อ่านแล้วเหมือนลงไปอยู่ในเหตุการณ์จริงเลย ฉากโรคจิตก็จิตได้ใจจนพี่แอบกลัวเบาๆ หรือจะเป็นฉากแห่งมิตรภาพก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ยิ่งถ้านักอ่านเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวง่ายแล้วนั้น บอกได้เลยว่าน้ำตาคลอแทบทั้งเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นตัวพี่น้ำผึ้งเอง ตอนอ่านนี่ทั้งหัวเราะ ทั้งร้องไห้สลับกัน มันเหมือนตัวละคร A กำลังดราม่าให้น้ำตาคลอ ตัวละคร B ก็ตบมุกมาให้อมยิ้ม แล้วพลิกไปอีกหน้าก็อ่านเจอฉากซึ้ง น้ำตาคลออีก เป็นแบบนี้เลยจริงๆ ค่ะ เขินจัง ><

 

โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นสีขาวหรือดำ


หากเปรียบความชั่วร้ายเป็นสีดำแล้ว สีขาวก็คงเป็นความดี แน่นอนว่าตัวละครในแทบจะทุกวรรณกรรมไม่เป็นสีดำก็ขาวไปเลย หรือบางทีตอนแรกอาจเป็นขาว แล้วต่อมาก็กลายเป็นดำ เป็นต้น แต่ในชีวิตจริงของเราไม่มีใครสมบูรณ์แบบ 100% โลกจึงเป็นส่วนผสมอันลงตัวระหว่างสีดำและขาวจนกลายเป็น “สีเทา” นั่นเอง
 
และ Fate Diary ก็นำเสนอจุดนั้นได้ดีด้วย เพราะตัวละครแต่ละตัวนั้นเป็นสีเทาๆ มีทั้งด้านดีด้านร้าย สวมหน้ากากเข้าหากัน แม้แต่ตัวละครทางฝ่ายดีเองก็มีมุมมืดซ่อนอยู่ วันดีคืนดีก็เผลอแสดงดาร์คไซด์ออกมาก่อนจะรีบเอาสีขาวมาระบายตัวเองอีกครั้ง นั่นสะท้อนให้เห็นว่า “คนดีเองก็มีด้านมืด” เหมือนกันนะจ๊ะ บางทีคนดีเหล่านี้เองก็ “เห็นแก่ตัว” เช่นกัน
 
ตัวอย่างเช่นตัวละครที่ชื่อว่าฟาเรล สมักกี้ ซึ่งโผล่มาตั้งแต่ Girls & A Doll (ตัวละครโปรดพี่เอง หนุ่มแว่นอิอิ) เราจะเห็นพัฒนาการของเขาชัดเจน ตอนแรกเป็นเด็กหนุ่มผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ แต่พอมาอยู่ใน Fate Diary นั้น เขาเองก็เป็นฝ่ายดีนะคะ... เพียงแต่มีมุมมืดที่พอเราอ่านแล้วก็จะแบบ “เออ... นั่นสิ คนเรามันต้องมีทั้งดีทั้งร้ายแหละน่า อย่าผิดหวังเลย” อะไรแบบนี้ เป็นต้นค่ะ

 

ตัวละครมีเอกลักษณ์


ไม่เพียงแต่ตัวละครที่เป็นสีเทาเท่านั้น หากแต่ยังมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนด้วย เชื่อว่าผู้เขียนน่าจะนำคาแรกเตอร์ของคนใกล้ตัวลงมาใส่เป็นตัวละครให้โลดแล่นด้วย อีกทั้งการกระทำของตัวละคร แม้บางทีจะชั่วร้ายแต่ก็มีเหตุผลที่รองรับชัดเจน
 


เลดี้อิกไนต์
 
นอกจากนี้พี่คิดว่าผู้เขียนยังพยายามชักชวนให้ผู้อ่าน “มาอ่านหนังสือกันเถอะ” ด้วยการสร้างสรรค์ตัวละครตัวหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษในการอ่าน ซึ่งก็คือเขาอ่านหนังสือทุกเล่มบนโลกนี้จบ แถมยังสร้างสิ่งมหัศจรรย์จากการอ่านของเขาอีกด้วย
 
ที่สำคัญแม้ใน Fate Diary จะมีตัวละครเยอะและมีบางตัวที่ไม่โดดเด่น แต่ทุกตัวละครนั้นสำคัญหมด หากขาดตัวใดตัวหนึ่งไป ก็จะส่งผลกระทบต่อทั้งเรื่อง
 

สะท้อนสังคม


ตัวเนื้อเรื่องนั้นสะท้อนสังคมในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการที่พ่อ (ผู้กองแอนดี้) กดดันลูกชาย (เต้) จนแทบจะไม่มีที่ว่างให้แก่เต้ จนทำให้เต้ประสบอุบัติเหตุ กว่าแอนดี้จะรู้ตัวว่าตัวเองทำผิดมหันต์ก็สายไปเสียแล้ว

หรือจะเป็นฉากที่มิสเตอร์ดริลล์ผู้เป็นพิธีกรรายการชื่อดังในไตรแองเกิลนั้นกล่าวโจมตีเพกาซัส เป็นเหตุให้มีภัยมาถึงตน ก็สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสังคมไหนๆ ก็มักจะมีคนประเภทที่รู้ไม่จริงแต่พูด จนทำให้ผู้อื่นเสียหาย บางครั้งตอนพี่อ่านไปยังแอบคิดตามเลยนะว่า “อื้ม... มันก็จริง เราเจอคนประเภทนี้อยู่ในทุกสังคม"
 
และพี่ก็ชอบประโยคหนึ่งที่ตัวละครชื่อ พารัน กล่าวไว้ว่า “โลกนี้มีคนมากมายพร้อมจะทำร้ายเราด้วยความคิดและคำพูด เราไม่จำเป็นต้องเอามันมาใส่ใจ แค่ทำให้ดีที่สุดในแบบของเราต่อไป มันก็คุ้มที่เกิดมาเป็นคนแล้ว” ซึ่งพี่เองก็เห็นด้วยนะ ^__^
 

อบอุ่นละมุนละไม


อย่างที่เคยกล่าวไว้ว่าธีมหลักของเรื่องนี้คือความรัก ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ แต่ที่ชัดเจนที่สุดใน Fate Diary คงหนีไม่พ้นสายสัมพันธ์ในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นความรักของพ่อที่มีให้แก่ลูก หรือจะเป็นความรักระหว่างพี่น้องที่ซึ้งกินใจ จนทำให้เราถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองเลยว่า “วันนี้คุณรักและแคร์คนในครอบครัวแล้วหรือยัง?”
 

ภาคย์

 

สอดแทรกข้อคิด

แทบทุกตอนในหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบนั้นสอดแทรกข้อคิดผ่านการกระทำของตัวละคร หรือแม้แต่บทสนทนา ซึ่งระหว่างที่อ่านก็ได้ตกตะกอนเรื่องราวนั้นๆ ด้วย โดยแต่ละตัวนั้นมีคำพูดที่ชวนคิด และเป็นประโยชน์ในชีวิตเรา ซึ่งพี่ก็ประทับใจหลายประโยคในนั้นเลยนะคะ เช่น
 
“เราไม่ต้องโดดเด่นในสายตาใคร แต่เราเก่งและกล้าในทางของเราก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้”  มินกล่าวไว้
 
ซึ่งพี่เห็นด้วยมากเลยนะคะว่าเราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นให้ทุกข์ใจ แค่ดีในแบบของเราก็พอแล้ว
 
หรือจะเป็นประโยคที่ภานุกล่าวกับภาคย์นั้นก็กินใจพี่น้ำผึ้งเหมือนกันค่ะ
 
“ไม่มีใครบนโลกคู่ควรจะสู้เพียงลำพังหรอกพี่ ต่อให้พี่เก่งแค่ไหนพี่ก็ต้องมีใครสักคนคอยสนับสนุน และนั่นไม่ใช่เรื่องของความอ่อนแอเลย มันเป็นเรื่องของการเคียงข้างกันต่างหาก”

ใช่ค่ะ... ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวได้บนโลกนี้ได้หรอก เราจำเป็นต้องมีเพื่อนนะ :D

 
พออ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ พี่ก็รู้สึกได้เลยว่า Fate Diary ให้อะไรมากกว่าความสนุก มันให้ทั้งข้อคิด แง่มุมการใช้ชีวิต และการปรับเปลี่ยนทัศนคติของเราให้คิดในเชิงบวก ใครที่ยังไม่เคยอ่านอยากให้ลองสัมผัสมันดูสักครั้งในชีวิต แล้วจะรู้ว่าหนังสือดีๆ อยู่รอบตัวเรา ส่วนใครที่อ่านแล้วก็อย่าลืมบอกเล่าความรู้สึกให้พี่ฟังด้วยนะคะ ^__^
 

ขอบคุณรูปภาพจาก twitter : @FateDiary


 
เราบินได้
 
พี่น้ำผึ้ง :)
 
Deep Sound แสดงความรู้สึก
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

notfeeling Member 4 ม.ค. 59 03:44 น. 1
หืม...พลาดเรื่องนี้ไปอีกแล้วสินะเรา ตั้งแต่ที่เห็นหนังสือเล่มวางอยู่บนชั้นหนังสือในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ก็นึกแปลกใจ เอ๋? หนังสืออะไร ทำไมถึงติดป้ายว่าหนังสือขายดี ก็ได้ลองหยิบพลิกไปพลิกมา อ่านคำโปรย...ก็วางไว้เช่นเดิม เพราะปกที่ไม่ค่อยดึงดูด อีกทั้งจริตในการอ่านวรรณกรรมของตัวเอง ที่ต้องเลือกข้อแรกคือ รูปภาพบนปก 555 หลังจากนั้น ก็มาเจอหนังสือเล่มนี้อีกครั้งในเฟสบุ๊ค น่าจะเป็นเพจของ ดร.ป๊อบละมั้ง แต่ก็ยังไปส่องของเขานะ เพราะอยากรู้ว่าคนอื่นๆที่อ่านไปแล้วเขาฟีดแบคกลับไปหาผู้เขียนยังไง แต่ก็ยังเฉยๆอยู่ พอมาวันนี้เจอรีวิวของท่านน้ำผึ้งนับเป็นครั้งที่สาม พออ่านรีวิวเท่านั้น กูพลาดจนได้ ท่านน้ำผึ้งน่าจะรีวิวไวๆกว่านี้สักหน่อย ฮ่าๆๆๆ เศร้า
1
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
SakuyaYK Member 8 ม.ค. 59 21:17 น. 3
รักนักเขียนคนนี้ และนิยายทุกเรื่องของเขามาก เพราะมันสอนเรา และทำให้เรามีวันนี้ได้ค่ะ ใครยังไม่ได้ซื้อ รีบซื้อเลยน้าา555
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด