10 ข้อคิดจาก "ดัมเบิลดอร์"
อ่านแล้วรับรองสตรองขึ้นแน่นอน
สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ ในช่วงที่ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเพราะการจากไปของบุคคลสำคัญในประเทศ พี่น้ำผึ้งก็ขอส่งกำลังใจให้พวกเราชาวไทยทุกคนได้เปลี่ยนความเศร้าให้กลายเป็นพลังแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาตัวเอง คนรอบข้าง และประเทศชาติค่ะ
และในช่วงเวลาอย่างนี้ก็ชวนให้พี่คิดถึงบุคคลสำคัญของโรงเรียนฮอกวอตส์อย่าง “ศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์” ที่ได้จากไปในเล่มที่ 6 หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม ซึ่งตอนที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกเวทมนตร์นั้น เขาก็ได้ทิ้งแง่คิดในการดำเนินชีวิตไว้มากมาย และพี่ก็คิดว่ามันเป็นประโยชน์มากๆ เลยค่ะ พี่ก็เลยขอหยิบยกข้อคิดดีๆ จากเขามาฝากน้องๆ เผื่อว่าจะช่วยเป็นแรงผลักดันให้เรายืนหยัดและก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง ถ้าอย่างนั้นตามมาดูกันเลยดีกว่าว่าดัมเบิลดอร์สอนอะไรให้เราบ้าง ^o^
ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะอยู่แต่ในความฝัน และลืมที่จะใช้ชีวิตจริงๆ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์, กระจกเงาแห่งเอริเซด, หน้า 260
ประเดิมกันที่เล่มแรกกันเลยดีกว่า สำหรับคำพูดนี้พี่เห็นด้วยกับดัมเบิลดอร์มากๆ เลยค่ะ มันไม่ผิดหรอกนะคะที่เรามีความฝัน แต่มันจะผิดมหันต์เลยล่ะถ้าเราไม่ยอมทำความฝันนั้นให้สำเร็จ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น พี่เชื่อว่าน้องๆ หลายคนที่เข้ามาอ่านบทความนี้ต้องอยากเป็นนักเขียนกันแน่นอน ซึ่งการอยากเป็นนักเขียนเนี่ยคือ "ความฝัน" ค่ะ แต่มันจะไม่มีประโยชน์เลยถ้าเราไม่ทำให้ความฝันของเรา "สำเร็จ" ด้วยการลงมือเขียนตั้งแต่วางคาแรกเตอร์ วางพล็อต และสุดท้ายก็อย่าลืมเอามาลงที่เว็บเด็กดีของเรานะคะ เพื่อที่จะได้เผยแพร่ให้ทุกๆ คนในอ่านผลงานของเรา ^o^ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นอีกก้าวของการทำความฝันให้สำเร็จแล้วค่ะ
การยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูเป็นเรื่องยากลำบาก
แต่การยืนหยัดเพื่อทำสิ่งดีๆ ให้แก่เพื่อนของเรานั้น อาจจะยากกว่าเสียอีกแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์, ชายผู้มีสองหน้า, หน้า 360
พี่ว่าความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่พึงมี เพราะในชีวิตจริงเราต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ต้องอาศัยความกล้าในการลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมความกล้าไปบอกรัก หรือแม้กระทั่งรวบรวมความกล้าอัพนิยาย!!! แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรจะลืมเลยก็คือ... ความกล้าเพื่อคนที่มีค่าสำหรับเราค่ะ
ฉากที่เนวิลล์ ลองบัตท่อมห้ามแฮร์รี่ไม่ให้ออกนอกหอพักตอนกลางคืนค่ะ
นั่นคือสิ่งที่เขาทำเพราะรู้ว่าถ้าแฮร์รี่ถูกจับได้ บ้านกริฟฟินดอร์จะเสียคะแนนแน่นอน
และเนวิลล์ก็ไม่ต้องการอย่างนั้นเลยห้ามค่ะ ^_^
ความจริง เป็นสิ่งที่สวยงามและร้ายกาจในเวลาเดียวกัน เราจึงต้องระมัดระวังให้มาก…
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์, ชายผู้มีสองหน้า, หน้า 364
มันไม่ผิดหรอกค่ะที่เราจะพูดความจริง แต่มันจะผิดถ้าเราไม่เลือกวิธีการพูดในการบอกความจริง เช่น ถ้าเกิดว่าเราไปอ่านนิยายเรื่องหนึ่งในเว็บ แล้วเกิดความรู้สึกว่าเขาเขียนไม่ดี มีการใช้ภาษาผิด ในการคอมเมนต์ก็ควรจะพูดความจริงด้วยการไม่ใช้ภาษาที่รุนแรง ใช้ภาษานุ่มๆ เพื่อที่คนอ่านจะได้ไม่รู้สึกว่าคำพูดนั้นทำร้ายจิตใจเขาแล้วพาลท้อเอาง่ายๆ น้องๆ รู้ไหมคะว่าบางคนอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้มากเลยค่ะ บางคนเจอคอมเมนต์ที่ใช้วาจารุนแรงจนทำให้เขาเลิกเขียนนิยายไปเลยก็มีนะคะ อย่าลืมค่ะว่าพูดความจริงได้ แต่ต้องมีวิธีในการพูดที่ดีค่ะ
ผลอันเกิดจากการกระทำของคนเรานั้นซับซ้อนและพลิกผันนัก
และมันทำให้การทำนายอนาคตเป็นเรื่องยากอย่างเหลือเกินแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับนักโทษแห่งอัซคาบัน,ไปรษณีย์นกฮูกอีกครั้ง, หน้า 506
สิ่งเดียวที่กำหนดอนาคตของเราได้ก็คือการกระทำในปัจจุบัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เราก็ไม่สามารถรู้ได้อยู่ดีว่าอนาคตจะเหมือนกับที่เราคาดหวังไว้ไหม ดังนั้นเวลาจะทำอะไรก็อย่าพยายามคาดหวังในสิ่งที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่นอนนะคะ เช่นถ้าหากเราเพิ่งจะอัพนิยายลงเว็บครั้งแรก แต่เราคาดหวังว่าจะมีคนมาอ่านนิยายของเราและคอมเมนต์ 100 คนในวันเดียว แบบนี้ก็ยากอยู่นะคะ ดังนั้นลงเว็บแบบไม่คาดหวังอะไรเลยเป็นสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ
เราจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อเราสามัคคีกัน หากแตกสามัคคีเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราจะอ่อนแอ
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนี, การเริ่มต้น, หน้า 816-817
อันนี้เห็นด้วยกับดัมเบิลดอร์มากๆ เลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะในช่วงเวลาอย่างนี้ ถ้าคนไทยหันมาทะเลาะกันเอง ก็มีแต่จะทำให้ประเทศชาตเดินถอยหลัง ดังนั้นถ้าอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต้อไปได้ เราต้องสามัคคีกันไว้ค่ะ
เกิดมาเป็นใครไม่สำคัญ เติบโตเป็นอะไรนั่นสิสำคัญกว่า
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟินิกซ์, ต่างวิถีทาง, หน้า 800
คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ค่ะ แต่เลือกได้ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลวได้ด้วยการกระทำของเรา ยกตัวอย่างในหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์ มันมีตัวละครบางตัวที่เกิดเช่นเบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ ที่เกิดมาในครอบครัวที่ดี แต่สุดท้ายก็เลือกฝักใฝ่ในศาสตร์มืด ดังนั้นไม่จำเป็นเลยค่ะที่ว่าเกิดมาในครอบครัวที่รวยจะแล้วจะหมายความว่าเป็นคนดีเสมอไป
ฉากที่เบลลาทริกซ์ได้บุกเข้าไปพร้อมกับแก็งค์ผู้เสพความตาย
นอกจากนางจะขู่ฆ่าเนวิลล์แล้ว นางยังฆ่าลูกพี่ลูกน้องตัวเองอย่าง "ซีเรียส แบล็ค" จริงๆ
สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่าความเกลียดชังคือการถูกเมินเฉยหรือถูกทอดทิ้ง
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟินิกซ์, คำพยากรณ์หายนะ, หน้า 1003
ใครๆ ก็ไม่ชอบการเมินเฉยถูกไหมคะ โดยเฉพาะอย่างแล้ว... กับคนที่เราให้ความสำคัญด้วย ถ้าเขาไม่สนใจในคำพูดของเราก็เปรียบเหมือนกับการถูกทำร้ายความรู้สึก ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่นทอม ริดเดิ้ล หรือลอร์ด โวลเดอร์มอร์นั่นเองค่ะ ตอนเด็กๆ พ่อแม่ของทอมไม่รัก แถมยังทำร้ายจิตใจอยู่บ่อยๆ เพราะงั้นยิ่งเขาโดนทำร้ายความรู้สึกมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความแค้นมากเท่านั้น พอมันสะสมๆๆ ไปเรื่อยๆ จนถึงจุดนึงก็ต้องระเบิดออกมา และการกระทำที่ว่านี้แหละค่ะที่อันตรายมากกว่าการบอกว่า "ฉันเกลียดแก" ตรงๆ เพราะความแค้นที่มีมันทำให้เขากลายเป็นปีศาจร้าย... ลอร์ด โวลเดอร์มอร์
ความตายหรือความมืด ไม่น่ากลัวเท่ากับสิ่งที่เราไม่รู้จัก
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม, ถ้ำ, หน้า 591
ร่างที่ตายแล้วไม่น่ากลัว เพราะเราแน่ใจอยู่แล้วว่าร่างนั้นจะไม่มีวันฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ความมืดก็มไ่มีอะไรน่ากลัวเช่นกัน... เพราะแค่เราให้แสงสว่างไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟหรือจุดเทียน เราก็รู้แล้วว่าภายใต้ความมืดที่ซ่อนอยู่คืออะไร แต่สิ่งที่น่ากลัวที่แท้จริงคือความไม่รู้จักค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการที่เราถูกคนแปลกหน้าเดินตาม อันนี้เราก็กลัวเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ถูกไหมคะ? และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือการที่เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร เราไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เพราะนั่นจะเป็นการทำให้เราเสียเวลาในการไปถึงเป้าหมายของเราค่ะ
โลกนี้มีสิ่งที่เลวร้ายกว่าความตายมากมายนัก
แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต, คิงส์ครอส, หน้า 663
ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลยค่ะ ตรงกันข้าม ความตายเป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ต้องเผชิญ เราเกิดมาก็เพื่อตาย แต่สิ่งที่สำคัญคือก่อนตายเราได้ทำคุณประโยชน์ให้คนรอบข้างและชาติบ้านเมืองบ้างหรือเปล่า แน่นอนว่าสิ่งที่แย่กว่าการตายก็คือการที่เราไม่เคยทำคุณงามความดีเลยค่ะ
อย่าสงสารคนตายเลย แฮร์รี่ สงสารคนที่มีชีวิตอยู่เถิด และที่สำคัญที่สุด
จงสงสารคนที่มีชีวิตโดยปราศจากความรักแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต, คิงส์ครอส, หน้า 664
เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วก็คือตายไปแล้ว เขาหมดทุกข์ไปแล้ว เขาหมดพันธะไปแล้ว เเละเขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาแก้ไขเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ดังนั้นทั้งภาระและพันธะต่างๆ เหล่านั้นก็จะตกมาที่คนที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งเราจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาชีวิตของเราได้เลยถ้าปราศจากความรักและความเข้าใจค่ะ
ฉากเรียกน้ำตาของใครหลายๆ คนในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต
แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถหลีกหนีความตายได้พ้น
ยังไงวันหนึ่งความตายก็ต้องมาเยือนเราอยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะมาเร็วหรือช้าก็เท่านั้นค่ะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับคำพูดดีๆ จากศาสตราจารย์อัลบัส ดัมเบิลดอร์ที่พี่น้ำผึ้งหยิบนำมาฝากในวันนี้ พี่ก็หวังว่าคำพูดจากดัมเบิลดอร์จะทำให้เราได้ข้อคิดในการใช้ชีวิตและเป็นพลังให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งนะคะ และสำหรับครั้งหน้าจะหยิบยกเรื่องอะไรมาฝากนั้น รอติดตามเลยค่ะ :D
พี่น้ำผึ้ง :)
ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ทุกภาคด้วยค่ะ
7 ความคิดเห็น
หนูจะสตรองค่ะ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์!!!
ชอบคำสอนของดัมเบิลดอร์มาตั้งแต่เด็กเลย เรียบง่าย ลึกซึ้งและเอามาปรับใช้กับชีวิตจริงได้
อีกประโยคที่ชอบคือ “การเลือกของเราเองนั่นแหละ แฮร์รี่ ที่จะแสดงให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนอย่างไร ยิ่งไปเสียกว่าความสามารถของเรามากนัก” จาก ภาคห้องแห่งความลับ
คิดถึงแฮร์รี่และพวกเพื่อน
ขอไว้อาลัยให้ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ ขอบคุณพี่น้ำผึ้งค่ะ
คิดถึงเเฮร์รี่มากเลยจะย้อนกลับไปดูไปอ่านให้ครบ
เราจะเข้มแข็งค่ะศ.ดัมเบิลดอร์!!