นิยายรัก 'สีชมพูตุ่นๆ' จากปลายปากกา "วรศิษฎา"
สวัสดีน้องๆ ชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ กลับมาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ในวันนี้พี่ก็มาพร้อมกับนักเขียนสาวเจ้าของผลงานนิยายรักชื่อแปลกอย่างเรื่อง ‘ซัมปากีตาสีหม่น’ ที่เรียกได้ว่าเดินผ่านแผงหนังสือเป็นต้องเลี้ยวหลังกลับไปมองแล้วหยิบขึ้นมาเชยชมก่อนไปจ่ายเงิน เพราะไม่เพียงแต่ชื่อเรื่องจะดึงดูดความสนใจ แต่เนื้อเรื่องยังโรแมนติกอีกด้วยค่ะ และเจ้าของนิยายเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'วรศิษฏา' นั่นเองค่ะ ถ้าพร้อมแล้วมาทำความรู้จักกับเธอคนนี้กันเถอะค่ะ
สวัสดีค่ะ แนะนำตัวกันก่อนเลย
มีสองนามปากกาใช่ไหมคะ 'วรศิษฎ์' และ 'วรศิษฎา' เล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อยได้ไหม
วรศิษฏา: “วรศิษฏ์” มาจากชื่อจริงของพ่อค่ะ แปลว่า ผู้มีปัญญาอันเป็นเลิศ พ่อเป็นนักข่าวท้องถิ่น สมัยก่อนนักข่าวต้องทำเองหมดทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นหาข่าว เขียนข่าว ถ่ายรูปเองด้วย ออกแนว all in one แต่พ่อเสียไปนานมากแล้วค่ะ แม่ก็เล่าให้ฟังมาตลอดว่าพ่อน่ะชอบขีดๆ เขียนๆ และลูกคงได้เชื้อพ่อมาเยอะ แต่ดิวว่ายังไงตัวเองก็ไม่เก่งเท่าพ่อหรอก นักเขียนสมัยก่อนต้องเก่งมากๆ
พอมีโอกาสได้เขียนนิยายเลยยกชื่อจริงพ่อมาเป็นนามปากกาซะเลย เหมือนได้พลังมาจากพ่อด้วย ใช้นามปากกาวรศิษฏ์มาตลอดค่ะ แต่ตอนที่นิยายเรื่องแรกจะตีพิมพ์เป็นเล่ม พี่บรรณาธิการสำนักพิมพ์ทัชบอกว่านามปากกาดูแมนไป ดิวเลยแปลงร่างการันต์เป็นสระอาแล้วตวัดลงมาเคียงข้าง ฏ.ปฏัก กลายมาเป็น “วรศิษฏา” ดูเป็นสาวขึ้นมาเชียว
เล่าเรื่อง "ซัมปากีตาสีหม่น" ให้เราฟังหน่อยค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเอ่ย
วรศิษฏา: พอเรียนจบปริญญาตรี ดิวทำงานก่อนประมาณสองปีถึงมีโอกาสได้มาเรียนต่อปริญญาโทค่ะ ช่วงที่ทำงานนี่แหละคือช่วงที่ลงมือเขียน ซัมปากีตาสีหม่น นิยายเรื่องนี้เกิดจากอาการคิดถึงมหาวิทยาลัยล้วนๆ เลย พอมาทำงานก็คิดถึงห้องเรียน คิดถึงห้องแล็บ คิดถึงตอนปั่นจักรยานรอบมหาวิทยาลัย คิดถึงถนนทุกสาย เมื่อกลางปี 58 ทุกความคิดถึงอิ่มตัวมากจนอยากระบายออกมา คล้ายๆ กับเวลาที่เราคิดถึงใครสักคน เราก็อยากคุยกับเขา อยากทำอะไรให้เขาบ้าง (ใครอ่านซัมปากีตาสีหม่นมาบ้างแล้วจะเห็นว่ามีฉากในมหาวิทยาลัยเยอะมาก) ทีนี้มีฉากในใจแล้วว่าจะให้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ที่เหลือก็คือวางตัวละครซึ่งก็ยากอยู่เหมือนกัน
ดิวอยากใช้ดอกไม้แทนตัวนางเอกค่ะ ดอกอะไรดีที่เป็นชื่อเล่นได้ด้วย แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงดอก Sampaguita ขึ้นมาค่ะ เป็นภาษาฟิลิปปินส์ แปลว่าดอกมะลิลา อ่านนิยายที่พระเอกเป็นลูกครึ่งมาเยอะแล้ว คราวนี้เขียนเองก็ลองให้นางเอกเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์น่าจะเหมาะ คนฟิลิปปินส์หน้าตามาโทนเดียวกับคนไทยด้วย แยกกันไม่ออก นางเอกชื่อจริงว่า “มานิลา” แผลงมาจากเมืองมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ค่ะ พอได้เปิดเพลง What are Words ของ Chris Medina พล็อตก็มาเต็มเลย เพลงดูเศร้าๆ หม่นๆ แต่ก็ซ่อนความรักความหวังดีเอาไว้เพียบ สุดท้ายแล้วเอาอารมณ์เพลงมารวมกับความหมายชื่อเล่นนางเอกก็เลยกลายเป็น “ซัมปากีตาสีหม่น” และเพราะชื่อแปลกมากๆ กลัวคนอ่านเห็นครั้งแรกแล้วงงก็เลยใส่ชื่อภาษาอังกฤษไปด้วยว่า “The Gray Jasmine” หากนิยายเรื่องนี้พอจะมีความดีอยู่บ้าง ดิวก็ขอยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ที่ทำให้รู้จักดอกซัมปากีตา และยกความดีอีกครึ่งให้กับคนแต่งเพลง What are Words ค่ะ
จากที่อ่านดู พบว่านิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ที่ตัวละคร เล่าได้ไหมว่าสร้างตัวละครยังไง
วรศิษฏา: บุคลิกทุกตัวละครในนิยายแทบทุกตัวมีต้นแบบมาจากคนใกล้ตัวค่ะ...ยกเว้นพระเอกกับนางเอก พระเอกแบบธตรัฐไม่รู้ว่าหายากหรือเปล่าในสภาพปัจจุบัน แต่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้เป็นหนุ่มในอุดมคติของผู้หญิงหลายๆ คนเลย ผู้ชายแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้ซัมปากีตาสีหม่นกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ได้ ต้องลองอ่านดูค่ะแล้วจะหลงรัก ส่วนคาแรคเตอร์นางเอกรีดแรงไปเยอะมาก ชีวิตจริงยังไม่เคยเจอใครที่ชีวิตช่างรันทดและอึดอัดเท่านางเอกเรื่องนี้ ก่อนจะเขียนเลยต้องทำความรู้จักกับนางเอกของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ พอเริ่มเขียนก็กลายเป็นว่าสนิทกันไปแล้ว กว่าจะเขียนจบก็ซี้กันสุดๆ
ซัมปากีตาสีหม่น การบ้านที่ยากที่สุดคืออารมณ์ตัวละครค่ะ ถ้าเราไม่รู้จักตัวละครของตัวเอง มันจะยากมากกับถ่ายทอดออกมาสู่คนอ่าน พออยู่กับตัวละคร เข้าใจในตัวละครก็จะรู้แล้วว่าต้องเขียนออกมายังไง ดิวชอบเล่าเรื่องผ่านความคิดกับคำพูดของตัวละคร การกระทำของตัวละครแต่ละตัวจะสื่อออกมาเองว่าเนื้อเรื่องตอนนั้นตอนนี้เป็นแบบไหน คนอ่านจะได้ลุ้นและเอาใจช่วยตัวละครไปด้วย
การออกท่องเที่ยวของวรศิษฎาทำให้เธอได้ไอเดียดีๆ มากขึ้น
ส่วนข้อมูลในเรื่องมาจากสิ่งใกล้ตัวแทบทั้งหมดค่ะ มีบ้างที่ต้องหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่ม ที่ให้นางเอกเป็นนักกีฏวิทยาเพราะสาขาวิชานี้ยังมีคนรู้จักอยู่น้อยมากๆ ได้เล่าเรื่องราวผ่านนิยายคนอ่านจะเข้าใจง่ายขึ้น วัตถุดิบมีแล้ว เหลือแค่เปิดเตา วางกะทะ จับตะหลิว แล้วเริ่มลงมือปรุง ใครไม่รู้บอกว่ารู้ร้อยให้เขียนสิบ เลยต้องพยายามปรับให้ทุกอย่างซอฟต์ที่สุดเพราะนางเอกเรียนสายวิทย์ ประมาณว่าให้คนที่เรียนสายวิทย์อ่านแล้วอิน และให้คนที่เรียนสายอื่นเข้าใจได้ไม่ยาก ยังแอบกลัวอยู่เหมือนกันว่าจะวิชาการไปหรือเปล่า แต่ยังไม่มีใครท้วงมานะ (เอ๊ะ ! หรือไม่กล้าท้วง)
การเขียนนิยายให้อะไรกับเราบ้าง...
นิยามคำว่า “นักเขียน” ในแบบของวรศิษฎา ค่ะ
สิ่งที่ยาก และเป็นอุปสรรคในการเขียน คืออะไร และมีเคล็ดลับอย่างไรเวลาเขียนไม่ออก อยากให้แนะนำรุ่นน้องสักนิด
แต่สิ่งที่หินสุดคงเป็นตอนสมองตื้อมากๆ คิดอะไรไม่ออกนี่แหละค่ะ บางวันเขียนไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว นักเขียนแทบทุกคนน่าจะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เคล็ดลับเวลาคิดไม่ออกคือไปทำอย่างอื่นก่อนเลย ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเขียนนิยาย ไม่กดดันตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ไม่บังคับตัวเองว่าวันนี้ต้องได้กี่หน้า สักพักพอทำอย่างอื่นจนอิ่มแล้วกลับมาจดจ่อกับนิยายอีกครั้งจะคิดออกเอง บ้างวันเขียนได้เยอะจนทุบสถิติตัวเองได้ด้วย
อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เขียนงานได้แบบเลื่อนปรื๊ดๆ คือเที่ยวค่ะ ดิวนี่ขาเที่ยวเลย โดยเฉพาะเที่ยวแบบกระเป๋าแฟ่บๆ นี่ชอบสุดๆ บ่อยมากที่แพลนวันนี้แล้วไปอีกวัน มีแก๊งบ้าง ฉายเดี่ยวบ้าง พากายพาสมองไปพักผ่อนค่ะ ใช้งานหนักไปก็ไม่ดี เพราะทำอย่างอื่นนอกจากเขียนนิยายด้วย แล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าเวลาเที่ยวเสร็จ หลังกลับมาจากเที่ยวจะเขียนงานไวมาก ไวจนน่าทึ่ง
สถานที่ท่องเที่ยวที่วรศิษฏาเคยไปและก่อเกิดเป็นพล็อตนิยายใหม่ๆ
ฝากถึงคนอ่านของเรา ที่เขาซื้อ อุดหนุน และชอบนิยายเรื่องนี้
สำหรับคนที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเลย สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น พอเริ่มต้นได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ยืนยันจากประสบการณ์ตรงของตัวเองเลย ดิวเคยผ่านจุดนั้นมาก่อนค่ะ สารภาพก่อนว่าเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเขียนนิยายได้ ตอนเรียนปีหนึ่งตั้งใจจะเขียนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนเพราะกลัวว่าเขียนไปแล้วจะไม่มีใครอ่าน ยืดเยื้อมาเรื่อยจนถึงช่วงที่เรียนจบและเริ่มทำงาน มีคนเคยบอกว่าถ้าเรากลัวอะไรสักอย่าง แล้วไม่กล้าที่จะพาตัวเองหลุดออกมาจากความกลัว เราก็จะกลัวมันไปตลอดชีวิต คราวนี้เกิดแรงฮึดค่ะ อยากลองดูสักตั้งก็เลยเริ่มเขียนเรื่อง ลูกไม้หล่นไม่ไกลรัก ให้พระเอกเรื่องนี้เป็นหัวหน้าหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) มีที่ปรึกษาที่ดีคือน้าชายซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดน
เขียนในสิ่งใกล้ตัวจะทำให้เราถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าการเขียนเรื่องไกลตัว ในนิยายมีเด็กด้วยเพราะส่วนตัวแล้วชอบอ่านนิยายที่มีเด็กน้อยน่ารักๆ พอเขียนไปถึงรู้ว่าตัวเองก็เขียนได้ ลองเอามาลงในเว็บเด็กดี มีคนอ่านด้วย เลยเขียนต่อจนจบและได้ตีพิมพ์ค่ะ เรื่องแรกใช้เวลาเขียนเกือบปี แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก วันที่นิยายเรื่องแรกวางแผงคือวันที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองหลุดออกมาจากความกลัวและความเชื่อที่ว่าเขียนนิยายไม่ได้
ยอมรับว่าเคยเสียดายที่เริ่มเขียนช้าไป แต่ไม่เสียดายนานเพราะกลับไปแก้อะไรไม่ได้ ฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันและตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดค่ะ พอมาเขียนเรื่องที่สองคือซัมปากีตาสีหม่น คิดว่าเขียนละมุนกว่าเรื่องแรกมาก ตัวละครมีมิติมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์หลายๆ อย่างสอนเราด้วย คนอ่านก็สำคัญมากค่ะ เพราะเป็นกระจกที่สะท้อนให้เราเห็นผลงานตัวเอง ดิวจะรู้สึกดีมากเวลาคนอ่านอินไปกันเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะคนอ่านอินกับฉากเศร้าๆ จะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ 555
ใครยังลังเลกับการเขียนอยู่ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเลิกลังเล เลิกกลัวได้แล้วนะคะ ทุกคนรออ่านนิยายของพวกคุณอยู่ค่ะ
สำหรับวงการหนังสือ หลักๆ เลยคือสำนักพิมพ์กับตัวนักเขียน ดิวคิดว่าต้องเริ่มจากนักเขียนก่อนค่ะ อย่าหวั่นไหวหากผลตอบรับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ควรรับฟังแต่อย่าเอามาใช้เปลี่ยนแปลงความเป็นตัวของตัวเองเสียทั้งหมด เพราะงานเขียนเราถ้าเอาไปให้หนึ่งร้อยคนอ่าน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนชอบทั้งหนึ่งร้อยคน นักเขียนต้องเชื่อมั่นในผลงานตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเองเพราะสิ่งนี้แหละที่จะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของนามปากกาเรา ไม่มีงานเขียนไหนที่ดีไปกว่ากัน ทุกงานเขียนมีจุดเด่นในตัวของมันเอง ทุกคนสามารถเป็นนักเขียนได้...ถ้ารัก มีความเข้าใจ และตั้งใจที่จะเขียน ไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ เสียก่อน
เป็นอย่างไรบ้างคะกับนักเขียนคนเก่ง "วรศิษฏา" อัดแน่นไปด้วยเทคนิคและกำลังใจเต็มเปี่ยมเลยใช่มั้ยล่ะคะ แน่นอนว่าพี่ดิวของเราใจดีมีหนังสือเรื่องซัมปากีตาสีหม่นมาแจกทั้งหมด 3 เล่มด้วยค่ะ!! จะมีกติกาอย่างไรนั้น แวะไปดู 11 ข้อที่น้องๆ ต้องรู้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ก่อนดีกว่าค่ะ
11 ข้อเกี่ยวกับ #ซัมปากีตาสีหม่น ที่หลายคนอาจยังไม่รู้
- นิยายเรื่องนี้ใช้เวลาเขียนและรีไรต์รวม 1 ปี 4 เดือน กับอีก 29 วัน
- ชื่อเต็มและนามสกุลของนางเอกคือ มานิลา แอนเดรียส คานิลโล
- ชื่อเล่นพระเอกไม่ได้มาจากคำว่า Bomb ที่แปลว่าระเบิด แต่มาจากคำว่า Bombycidae ซึ่งเป็นชื่อวงศ์ของผีเสื้อหนอนไหม
- ชื่อจริงพระเอกมาจากการเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2544 ไปเจอคำว่า "ธตรฐ" บนมุมขวาสุดของหน้า 595 แล้วเติมไม้หันอากาศเข้าไป
- ชื่อน้องสาวพระเอกอยู่ถัดไปอีก 4 หน้าพจนานุกรม
- สถานที่ทั้งหมดในนิยายมีอยู่จริง เพียงแต่มีการดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
- หลายคนบอกว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายหวาน ในขณะที่อีกหลายคนบอกว่าเป็นนิยายดราม่า และมีไม่น้อยที่บอกว่าเป็นแนวอบอุ่น ...สำหรับคนเขียนแล้วนั้น ให้คำนิยามไม่ถูกเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าเปรียบเทียบกับสี คงเป็นสีชมพูตุ่นๆ
- คนเขียนได้รู้จักกับเพื่อนซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ เราผลัดกันสอนด้วยการชี้สิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วให้แต่ละคนพูดภาษาบ้านเกิดตัวเอง ...ไม่กี่วัน ก่อนที่เพื่อนคนนี้จะกลับฟิลิปปินส์ คนเขียนชี้ไปที่ต้นมะลิลาซึ่งกำลังออกดอกเต็มต้น แล้วเพื่อนพูดออกมาว่า ซัมปากีตา (Sampaguita) ได้ยินครั้งแรกก็หลงรัก และก็เป็นภาษาตากาล็อกเพียงไม่กี่คำที่ยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ ...สาวปินอยคงไม่รู้เลยว่า 5 ปีต่อมา คำที่เขาพูดในวันนั้นจะถูกนักเขียนคนนี้เอามาตั้งเป็นชื่อนิยาย "ซัมปากีตาสีหม่น" ที่กำลังวางอยู่บนแผงในร้านหนังสือ
- "ซัมปากีตาสีหม่น" คือชื่อแรกและชื่อเดียวที่นึกออก ไม่มีชื่ออื่นมาให้ลังเล เพราะสำหรับคนเขียน ไม่มีชื่อใดจะนิยามตัวนางเอกได้ชัดเจนเท่าชื่อนี้อีกแล้ว
- เปิดเพลง What are Words คลอเบาๆ ขณะอ่านนิยายจะได้อรรถรสมากขึ้นอีกเป็นกอง
- คนส่วนใหญ่อ่านนิยายเรื่องนี้เพราะชื่อเรื่องแปลก คุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่าคะ ??? แต่ไม่ว่าจะอ่านด้วยเหตุผลอะไร สำหรับคนเขียน...คุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังเล็กๆ นี้ไปแล้ว
_WUYUQING
denjan
ขึ้นดอย
สามารถติดต่อด้วยการส่งชื่อที่อยู่และยืนยันมายไอดีส่วนตัวมาที่ atin@dek-d.com ภายในวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2559 ขอบคุณค่ะ
20 ความคิดเห็น
ดอกหญ้าค่ะ เป็นดอกไม้ที่เรียบๆแต่สวยงาม ไม่หวือหวาแต่น่ารัก นิยายเรื่องนี้นางเอกกับพระเอกน่ารักมาก เป็นคู่ที่ไม่หวือหวาแต่ค่อยเป็นค่อยไป เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับการเป็นดอกหญ้านะคะ มีเสน่ห์และมองไม่เบื่อเลย :)
ดอกลีลาวดีหรือดอกลั่นทมค่ะ เปรียบเหมือนนิยายเรื่องนี้เพราะว่าดอกลีลาวดี หรือดอกลั่นทม มี 2 ความหมายแต่เป็นดอกไม้เดียวกันค่ะ (ดอกลีลาวดีหมายถึงดอกไม้ที่มีความอ้อนช้อย อ่อนหวาน งดงาม ส่วนความหมายของดอกลั่นทมหมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข) ซึ่งเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้มีทั้งความงดงามของความรัก และความโศกเศร้าในการพลัดพลาก แต่สุดท้ายหลังจากผ่านการโศกเศร้าแล้วก็จะพบความสุขค่ะ จึงเปรียบนิยายเรื่องนี้เหมือนดอกลั่นทมค่ะ ขอบคุณค่ะ
ต้องบอกก่อนว่ายากมากเลยค่ะที่จะตอบคำถามนี้ได้ เพราะสารภาพก่อนว่าจริงๆหนูเองก็ไม่ค่อยรู้ความหายของดอกไม้สักเท่าไหร่
แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ คงเป็น...ดอกพวงชมพูล่ะมั้งคะ
เพราะว่าต้นพวงชมพูโตในที่ชื้นได้ดีกว่าที่แล้ง อันนี้หนูเปรียบเหมือนเรื่องความโศกเศร้านะคะ คนเราจะโตบโตขึ้นได้ต่างก็ต้องผ่านความโศกเศร้าเจ็บปวดมาทั้งนั้น เหมือนต้นพวงชมพูที่ขึ้นตามที่ชื้น(หนูเปรียบที่ชื้นเหมือนชุ่มไปด้วยน้ำตาน่ะค่ะ55555)
และต้นพวงชมพูเป็นต้นไม้ที่สามารถโตได้ทั้งกลางแดดและในที่ร่ม เปรียบเหมือนนางเอกของเราที่ต้องพบเรื่องราวมากมายทั้งสุขทั้งทุกข์ แต่ก็สามารถผ่านมันมาได้ เหมือนต้นพวงชมพูที่ยืนหยัดไม่เกรงกลัวไม่ว่าจะมีแสงแดดให้ตัวเองหรือไม่(อืม...หนูเปรียบแสงแดดเหมือนความหวังล่ะมั้งคะ ก็ประมาณไม่ว่าความหวังจะน้อยนิดแค่ไหน เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้)
พวงชมพูเป็นพรรณไม้เลื้อยที่มีเถาอ่อน แต่ส่วนโคนจะแข็งแรงมาก ก็เหมือนตัวละครในเรื่อง อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างไม่ย่อท้อ
สุดท้าย ดอกพวงชมพูสามารถออกดอกได้ทั้งปี ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ ก็สามารถแสดงความงดงามออกมาได้เสมอ ถึงแม้อาจจะเป็นตอนที่ฝนตกแรงจนกลีบดอกช้ำเป็นสีชมพูหม่นๆ(อันนี้คิดมั่วๆค่ะ5555)ก็ยังสามารถออกดอกได้อยู่ เป็นความรักที่มั่นคงแม่จะผ่านกาลเวลาและความทุกข์ความลำบากมากเพียงใด
สารภาพอีกรอบค่ะว่าหนูเองก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องเปรียบเทียบอะไรสักเท่าไหร่ ที่พิมพ์มาก็ไม่คิดหรอกนะคะว่าจะได้ เพราะเท่าที่อ่านของแต่ละคนแล้วเปรียบเทียบได้ดีจนแทบจะยอมแพ้เลยล่ะค่ะ55555 แต่ว่าขนาดนางเอกของเรายังพยายามขนาดนั้น หนูเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน! (เกี่ยวรึเปล่านะ?55555)
สุดท้ายก็ขอบคุณพี่วรศิษฏามากนะคะที่แต่งนิยายน่ารักๆแบบนี้มาให้อ่าน หนูว่านิยายเรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างเลยทีเดียว(ถ้าลองมองดีๆ) ก็ขอให้พี่สู้ต่อไป แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้หนูกับทุกๆคนอ่านอีกเยอะๆ หนูจะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ> <
ปล.ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบค่ะ55555
ถ้าเปรียบนิยายเป็นดอกไม้ คงเป็นดอกกุหลาบค่ะ เพราะดอกกุหลาบมีหลากสี สีแดงก็เปรียบดังความแข็งแกร่ง ร้อนแรง สีขาวก็ความรักที่บริสุทธิ์ สีชมพูเป็นความอ่อนหวาน สีดำก็เป็นนความทุกข์กับเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต คือเป็นนิยายที่มีครบทุกด้านอารมณ์ค่ะ
เปรียบเทียบนิยายของเรากับดอกไม้ พร้อมทั้งบอกเหตุผล
ไม่รู้ว่าเราจะตีโจทย์ที่แอดให้มาแตกรึเปล่า แต่เราขอตอบเลยค่ะว่านิยายเรื่องที่เรากำลังวางพล็อตอยู่ ‘มนตร์สมุทร’ แต่ยังไม่ได้เขียนนั้น (555+++) ถ้าจะให้เปรียบเทียบเป็นดอกไม้ คงเปรียบเหมือนกับดอกยิปโซล่ะมั้งคะ ที่เลือกเปรียบเทียบกับดอกยิปโซนั้นคงเพราะความหมายของดอกยิปโซสื่อถึงความ บริสุทธุ์ จริงใจ อ่อนหวาน และรักแรกพบ เหมาะสำหรับให้กับคนที่เราตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ จึงได้ชื่อว่า ดอกไม้แห่งรักแรก แม้ใครจะคิดว่าเป็นดอกหญ้าก็ตาม ซึ่งนางเอกของเรื่อง เธอเป็นนางเงือกค่ะ และเธอก็หลงรักอยากจะได้พระเอกมาดกวนปากร้ายมาเป็นพ่อพันธุ์มากที่สุด จนถึงขั้นแกล้งเป็นคนความจำเสื่อมแล้วเข้ามาปล้ำพระเอกถึงในห้อง ส่วนพระเอกน่ะเหรอ อ่อ...ปัดป้องเวอร์จิ้นตัวเองสุดฤทธิ์555++จนก่อเกิด วีรกรรมสะบั้นจิ้นขึ้นมาและจากความวุ่นวายอลเวงของเงือกสาวกับทายาทรีสอร์ทริมทะเลก็ก่อเกิดเป็นความรักความผูกพันจนยากจะลบเลือนที่จะติดตรึงใจทั้งคู่ไปตราบนิจนิรันดร์ แม้จะมีอุปสรรคเป็นชาติกำเนิดและบรรดาตัวร้ายต่างๆก็ตาม นางเอกเรื่องนี้ไม่ได้อ่อนต่อโลกนะคะ นางออกจะร้ายกาจ ร้ายลึก ร้ายเจ้าเล่ห์ ร้ายซ่อนกล และสารพัดร้าย555++(นี่นางเอกหรือตัวร้าย?) และดอกยิปโซก็น่าจะแสดงออกถึงความหมายของนิยายเรื่องนี้ มนตร์สมุทรเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราอยากจะเขียนนางเอกไม่ใช่มนุษย์ และที่เลือกดอกยิปโซมาเปรียบเทียบคงไม่ได้หมายถึงรักแรกพบอย่างเดียว แต่ดอกยิปโซยังหมายถึงความรักที่เข้าใจกันและกันแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ด้วยรักแท้จะช่วยประคับประคองให้กำลังใจอีกฝ่ายให้ข้ามพ้นอุปสรรคไปสู่ปลายทางแห่งความสุขด้วยกัน และยังคงหมายถึงรักนิรันดร์ รักที่ให้กันด้วยใจบริสุทธิ์ซึ่งดอกไม้นี้มักจะเจอแซมอยู่เกือบทุกงาน โดยเฉพาะงานแต่ง ที่จะแซมอยู่ทุกซอกมุมของมวลช่อดอกไม้ แม้ดอกยิปโซจะไม่ดูโดดเด่นสะกดใจหรือหอมเย้ายวนเช่นดอกไม้พันธุ์อื่น แต่ที่เราเลือกดอกไม้นี้มาเพราะชอบในการเข้าไปแต่งแต้มเติมสีสันให้กับช่อดอกไม้อื่นๆ เห็นได้จากร้านขายดอกไม้ทั่วไป เวลาเราสั่งช่อดอกไม้ เจ้าของร้านมักจะจัดโดยแซมดอกยิปโซมาด้วยเสมอ ซึ่งสีขาวบริสุทธิ์ของมันนอกจากจะเป็นดอกฝอยๆเล็กๆแล้ว แต่สีขาวของมันกลับขับให้ทั้งช่อดูสวยงาม ดอกยิปโซแม้แห้งแล้วก็ยังคงสภาพเป็นดอกที่สวยงามอยู่ได้คงทน เปรียบได้กับนางเอกเรื่องมนตร์สมุทร แม้เธอจะไม่โดดเด่นและไม่ใช่มนุษย์ ซ้ำยังโดนตัวร้ายคิดร้าย แต่ในเมื่อดอกยิปโซดอกนี้ได้รับการเอาใจใส่ ต่อให้จะแห้งเ-่ยวสักเพียงใด คุณค่าที่มีในตัวตนก็จะมีใครบางคนสัมผัสได้ เสมือนถ้ามีคนที่เห็นค่าของเธออย่างเช่นพระเอก เธอก็เปรียบเหมือนดอกยิปโซสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแซมเข้ากับดอกไม้นานาชนิด เฉกเช่นนางเอกที่ตอนนี้ถูกแซมเข้าไปในหัวใจของพระเอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน เธอก็จะมีค่าสำหรับเขาเสมอ... เอิ้กๆ ได้ฤกษ์เตรียมปั่นนิยาย555++
ดอกพุดค่ะ เป็นดอกที่ขาวบริสุทธิ์ ดูเรียบง่าย เหมือนความรักของพี่บอมกับมะลิที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความรักอบอวนอยู่ตลอดเวลา ชอบความรักของบ้านพี่บอม ที่ใสบริสุทธิ์ รักเเละดูเเลกัน ชอบความเอาใจใส่ เอ็นดูที่อาจารย์ พี่น้องในเเลปมีให้กับมะลิ ชอบบรรยายกาศของห้องแลป
กล้วยไม้ (Orchid) เป็นดอกไม้ที่มีความสวยงาม ละเอียดอ่อน บริสุทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความรัก และความสง่างาม
แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์: นางเอกรักแม่มากใช้ชีวิตอดทนกับพ่อมาตลอด แต่ก็ยอมตัดใจจากความรักแล้วเลือกรักษาความลับไว้
การปลูก ตัองดูแลอย่างพิธีพิธัน: เหมือนพระเอกที่จีบนางเอกด้วยน้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ (ข้าวต้มมัด) กับพวงมาลัยทุกเช้า เลือกซื้อกับแม่ค้าสองวัยที่มีที่มาที่ไป, คอยสังเกตุห่วงใยนางเอกเวลาอยู่กับครอบครัวของแม่ และทุกสิ่งอย่างที่พี่บอมทำจะใส่ใจกับหนูมะลิเสมอ ถึงชีวิตจะดราม่าเพียงใด เศร้าใจขนาดไหน แต่ก็ยังมีพระเอกที่น่ารักอยู่เคียงข้างนางเอก (คือซึ้ง ฟิน ตรงนึ้แหละค่ะ ^^)
เหมือน Chris Madina ที่ดูแลนางฟ้าของเขาตลอดไป
~ Big Heart Man ผู้ชายสองคนนี้ ~
มีหลากหลายสายพันธุ์ ชนิด สี : เปรียบดังคนแต่ละคนในซัมปากีตาสีหม่นก็เช่นกัน อ่านแล้วเกิดความรู้สึกมากมายมีความสุข สนุกสงสาร สงสัย สะเทือนใจ ร้อนแรง มีพลังประทับใจกับมิตรภาพของเพื่อน(นาดีน) ที่ช่วยเหลือในยามที่ทุกข์ใจ ฯลฯ
จากใจจริงๆ "ดอกมะลิ เหมาะกับนิยายเรื่องนี้ที่สุดแล้วค่ะ" ซัมปากีตี...สีหม่น
เปรียบนิยายเหมือนดอกพุดตานที่ขอบอยู่กลางแจ้งท้าทายสายลมและแสงแดดจ้า นิยายก็เช่นเดียวกันที่ต้องการให้คนอ่านได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดผ่านเนื้อเรื่องและตัวละคร ดอกพุดตานบานในตอนเช้าและจะเปลี่ยนสีไปตามสภาพภูมิอากาศสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิ เวลาเช้าหรืออากาศเย็นดอกจะมีสีขาวหรือสีครีม เวลาสายอากาศอุ่นขึ้นดอกจะเปี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน เวลากลางวันอากาศร้อนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม และหุบในตอนเย็นรอเวลาบานในเช้าวันใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เปรียบกับนิยายก็ขึ้นอยู่กับผู้เขียนที่จะสร้างสรรค์ให้แต่ละตัวละครมีความบริสุทธิ์สดใส อบอุ่นอ่อนหวาน เข้มแข็ง ร้อนแรง หรือเลวร้าย โดยมีเหตุการณ์และอุปสรรคต่างๆที่หล่อหลอมเป็นเรื่องราวสู่สายตาผู้อ่านค่ะ