"ซัมปากีตาสีหม่น" นิยายรักสีชมพูตุ่นๆ จากปลายปากกา "วรศิษฎา"

"ซัมปากีตาสีหม่น"
นิยายรัก 'สีชมพูตุ่นๆ' จากปลายปากกา "วรศิษฎา"


สวัสดีน้องๆ ชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ กลับมาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ในวันนี้พี่ก็มาพร้อมกับนักเขียนสาวเจ้าของผลงานนิยายรักชื่อแปลกอย่างเรื่อง ซัมปากีตาสีหม่นที่เรียกได้ว่าเดินผ่านแผงหนังสือเป็นต้องเลี้ยวหลังกลับไปมองแล้วหยิบขึ้นมาเชยชมก่อนไปจ่ายเงิน เพราะไม่เพียงแต่ชื่อเรื่องจะดึงดูดความสนใจ แต่เนื้อเรื่องยังโรแมนติกอีกด้วยค่ะ และเจ้าของนิยายเรื่องนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'วรศิษฏา' นั่นเองค่ะ ถ้าพร้อมแล้วมาทำความรู้จักกับเธอคนนี้กันเถอะค่ะ


 

วรศิษฏานักเขียนคนเก่ง
 

สวัสดีค่ะ แนะนำตัวกันก่อนเลย 

วรศิษฏา: สวัสดีค่ะทุกคน ดิวค่ะ เจ้าของนามปากกา วรศิษฏ์ / วรศิษฏา หน้าที่หลักคือเป็นนิสิตปริญญาโท  กิจวัตรประจำวันคือเขียนนิยาย ส่วนงานอดิเรกคือเป็นแบคแพ็กเกอร์ สิงเว็บเด็กดีในฐานะนักอ่านมายาวนานมาก เพิ่งจะเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกและอัพลงเด็กดีเมื่อปลายปี 57 เขียนนิยายมาแล้ว 2 เรื่อง ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ทัชทั้ง 2 เรื่องค่ะ เรื่องแรกคือ ลูกไม้หล่นไม่ไกลรัก ส่วนเรื่องที่สองที่เพิ่งจะวางแผงไปคือ ซัมปากีตาสีหม่น
 

มีสองนามปากกาใช่ไหมคะ 'วรศิษฎ์' และ 'วรศิษฎา' เล่าที่มาที่ไปให้ฟังหน่อยได้ไหม 

วรศิษฏา: “วรศิษฏ์” มาจากชื่อจริงของพ่อค่ะ แปลว่า ผู้มีปัญญาอันเป็นเลิศ พ่อเป็นนักข่าวท้องถิ่น สมัยก่อนนักข่าวต้องทำเองหมดทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นหาข่าว เขียนข่าว ถ่ายรูปเองด้วย ออกแนว all in one แต่พ่อเสียไปนานมากแล้วค่ะ แม่ก็เล่าให้ฟังมาตลอดว่าพ่อน่ะชอบขีดๆ เขียนๆ และลูกคงได้เชื้อพ่อมาเยอะ แต่ดิวว่ายังไงตัวเองก็ไม่เก่งเท่าพ่อหรอก นักเขียนสมัยก่อนต้องเก่งมากๆ

พอมีโอกาสได้เขียนนิยายเลยยกชื่อจริงพ่อมาเป็นนามปากกาซะเลย เหมือนได้พลังมาจากพ่อด้วย ใช้นามปากกาวรศิษฏ์มาตลอดค่ะ แต่ตอนที่นิยายเรื่องแรกจะตีพิมพ์เป็นเล่ม พี่บรรณาธิการสำนักพิมพ์ทัชบอกว่านามปากกาดูแมนไป ดิวเลยแปลงร่างการันต์เป็นสระอาแล้วตวัดลงมาเคียงข้าง ฏ.ปฏัก  กลายมาเป็น “วรศิษฏา” ดูเป็นสาวขึ้นมาเชียว 
 

เล่าเรื่อง "ซัมปากีตาสีหม่น" ให้เราฟังหน่อยค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรเอ่ย 

วรศิษฏา: พอเรียนจบปริญญาตรี ดิวทำงานก่อนประมาณสองปีถึงมีโอกาสได้มาเรียนต่อปริญญาโทค่ะ ช่วงที่ทำงานนี่แหละคือช่วงที่ลงมือเขียน ซัมปากีตาสีหม่น นิยายเรื่องนี้เกิดจากอาการคิดถึงมหาวิทยาลัยล้วนๆ เลย พอมาทำงานก็คิดถึงห้องเรียน คิดถึงห้องแล็บ คิดถึงตอนปั่นจักรยานรอบมหาวิทยาลัย คิดถึงถนนทุกสาย เมื่อกลางปี 58 ทุกความคิดถึงอิ่มตัวมากจนอยากระบายออกมา คล้ายๆ กับเวลาที่เราคิดถึงใครสักคน เราก็อยากคุยกับเขา อยากทำอะไรให้เขาบ้าง (ใครอ่านซัมปากีตาสีหม่นมาบ้างแล้วจะเห็นว่ามีฉากในมหาวิทยาลัยเยอะมาก) ทีนี้มีฉากในใจแล้วว่าจะให้เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย ที่เหลือก็คือวางตัวละครซึ่งก็ยากอยู่เหมือนกัน
 


ใสใส วัยรุ่นชอบ
 

ดิวอยากใช้ดอกไม้แทนตัวนางเอกค่ะ ดอกอะไรดีที่เป็นชื่อเล่นได้ด้วย แล้วอยู่ๆ ก็นึกถึงดอก Sampaguita ขึ้นมาค่ะ เป็นภาษาฟิลิปปินส์ แปลว่าดอกมะลิลา อ่านนิยายที่พระเอกเป็นลูกครึ่งมาเยอะแล้ว คราวนี้เขียนเองก็ลองให้นางเอกเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์น่าจะเหมาะ คนฟิลิปปินส์หน้าตามาโทนเดียวกับคนไทยด้วย แยกกันไม่ออก นางเอกชื่อจริงว่า “มานิลา” แผลงมาจากเมืองมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ค่ะ พอได้เปิดเพลง What are Words ของ Chris Medina พล็อตก็มาเต็มเลย เพลงดูเศร้าๆ หม่นๆ แต่ก็ซ่อนความรักความหวังดีเอาไว้เพียบ สุดท้ายแล้วเอาอารมณ์เพลงมารวมกับความหมายชื่อเล่นนางเอกก็เลยกลายเป็น “ซัมปากีตาสีหม่น”  และเพราะชื่อแปลกมากๆ กลัวคนอ่านเห็นครั้งแรกแล้วงงก็เลยใส่ชื่อภาษาอังกฤษไปด้วยว่า “The Gray Jasmine” หากนิยายเรื่องนี้พอจะมีความดีอยู่บ้าง ดิวก็ขอยกความดีครึ่งหนึ่งให้กับเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ที่ทำให้รู้จักดอกซัมปากีตา และยกความดีอีกครึ่งให้กับคนแต่งเพลง  What are Words ค่ะ
 

จากที่อ่านดู พบว่านิยายเรื่องนี้มีเสน่ห์ที่ตัวละคร เล่าได้ไหมว่าสร้างตัวละครยังไง  

วรศิษฏา: บุคลิกทุกตัวละครในนิยายแทบทุกตัวมีต้นแบบมาจากคนใกล้ตัวค่ะ...ยกเว้นพระเอกกับนางเอก พระเอกแบบธตรัฐไม่รู้ว่าหายากหรือเปล่าในสภาพปัจจุบัน แต่เชื่อว่าผู้ชายคนนี้เป็นหนุ่มในอุดมคติของผู้หญิงหลายๆ คนเลย ผู้ชายแบบนี้นี่แหละที่จะทำให้ซัมปากีตาสีหม่นกลายเป็นสีชมพูอ่อนๆ ได้ ต้องลองอ่านดูค่ะแล้วจะหลงรัก ส่วนคาแรคเตอร์นางเอกรีดแรงไปเยอะมาก ชีวิตจริงยังไม่เคยเจอใครที่ชีวิตช่างรันทดและอึดอัดเท่านางเอกเรื่องนี้ ก่อนจะเขียนเลยต้องทำความรู้จักกับนางเอกของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ พอเริ่มเขียนก็กลายเป็นว่าสนิทกันไปแล้ว กว่าจะเขียนจบก็ซี้กันสุดๆ 

ซัมปากีตาสีหม่น การบ้านที่ยากที่สุดคืออารมณ์ตัวละครค่ะ ถ้าเราไม่รู้จักตัวละครของตัวเอง มันจะยากมากกับถ่ายทอดออกมาสู่คนอ่าน พออยู่กับตัวละคร เข้าใจในตัวละครก็จะรู้แล้วว่าต้องเขียนออกมายังไง ดิวชอบเล่าเรื่องผ่านความคิดกับคำพูดของตัวละคร การกระทำของตัวละครแต่ละตัวจะสื่อออกมาเองว่าเนื้อเรื่องตอนนั้นตอนนี้เป็นแบบไหน คนอ่านจะได้ลุ้นและเอาใจช่วยตัวละครไปด้วย
 



การออกท่องเที่ยวของวรศิษฎาทำให้เธอได้ไอเดียดีๆ มากขึ้น
 

ส่วนข้อมูลในเรื่องมาจากสิ่งใกล้ตัวแทบทั้งหมดค่ะ มีบ้างที่ต้องหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเพิ่ม ที่ให้นางเอกเป็นนักกีฏวิทยาเพราะสาขาวิชานี้ยังมีคนรู้จักอยู่น้อยมากๆ ได้เล่าเรื่องราวผ่านนิยายคนอ่านจะเข้าใจง่ายขึ้น วัตถุดิบมีแล้ว เหลือแค่เปิดเตา วางกะทะ จับตะหลิว แล้วเริ่มลงมือปรุง ใครไม่รู้บอกว่ารู้ร้อยให้เขียนสิบ เลยต้องพยายามปรับให้ทุกอย่างซอฟต์ที่สุดเพราะนางเอกเรียนสายวิทย์ ประมาณว่าให้คนที่เรียนสายวิทย์อ่านแล้วอิน และให้คนที่เรียนสายอื่นเข้าใจได้ไม่ยาก ยังแอบกลัวอยู่เหมือนกันว่าจะวิชาการไปหรือเปล่า แต่ยังไม่มีใครท้วงมานะ (เอ๊ะ ! หรือไม่กล้าท้วง) 
 

การเขียนนิยายให้อะไรกับเราบ้าง...

วรศิษฏา: ให้หลายอย่างมากค่ะ...ตั้งแต่เขียนนิยายมารู้สึกว่าใจเย็นลงเยอะ การเขียนนิยายเหมือนได้กินยารักษาอาการเครียด ช่วงเวลาเขียนจะลืมทุกอย่าง พอวางมือก็จำไม่ได้แล้วว่าก่อนหน้านี้เครียดอะไรอยู่ เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกนิยายที่มีแค่ตัวเองกับตัวละครค่ะ
 
เขียนไปได้ประมาณหนึ่งก็ลงในเว็บเด็กดี พอเห็นว่ามีคนมาอ่านนิยายดีใจจนแทบกระโดดเลย แล้วคนอ่านก็คอมเมนต์ให้ด้วย มีกำลังใจจะเขียนต่อแล้ว บ้านวรศิษฏ์ / วรศิษฏา เป็นบ้านหลังเล็กๆ แต่คนอ่านน่ารักมากๆ ผูกพันกันจนกลายเป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นน้องกันไปแล้ว เป็นมิตรภาพที่จะไม่มีโอกาสเจอเลยถ้าไม่ได้เขียนนิยาย อีกอย่าง (ป้องปากกระซิบๆ) เขียนนิยายยังมีค่าขนมด้วยค่ะ ก้มมองโน้ตบุ๊กตัวเอง อืม...มันก็มาจากน้ำพักน้ำแรงการเขียนนิยายนั่นเอง

 

นิยามคำว่า “นักเขียน” ในแบบของวรศิษฎา ค่ะ 

วรศิษฏา: นักเขียนคือผู้ที่มีใจรักและมีความสุขที่ได้เขียนค่ะ ไม่เกี่ยงว่าแต่ละคนจะเขียนแนวไหน ขอแค่เป็นแนวที่ตัวเองถนัดก็พอ ส่วนตัวแล้วชอบเรียกตัวเองว่าเป็นคนปรุงตัวอักษรมากกว่าค่ะ เอาคำโน้น วลีนั้น ประโยคนี้มาต้มในหม้อ เหยาะใจลงไปนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วลองตักชิมว่ากลมกล่อมหรือยัง (เอ๊ะ ! ทำไมชอบพูดถึงแต่ของกิน)

 

สิ่งที่ยาก และเป็นอุปสรรคในการเขียน คืออะไร และมีเคล็ดลับอย่างไรเวลาเขียนไม่ออก อยากให้แนะนำรุ่นน้องสักนิด

วรศิษฏา: แต่ละคนก็มีเทคนิคเฉพาะตัวเนอะ ดิวจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง คิดอะไรได้ก็ต้องรีบจดไว้ก่อน ถ้าไม่จดต้องลืมแน่ๆ หรือไม่ก็จำได้แต่จำได้ไม่หมด ถนัดเขียนใส่สมุดเพราะเป็นคนพิมพ์ช้า นิ้วรัวบนคีย์บอร์ดไม่ทันสมองสั่ง แต่เวลามือจับปากกาหรือดินสอแล้วจดเนี่ยมักจะทันเสมอ ซึ่งที่จดไว้มันก็มักจะเป็นฉากๆ ยากตอนฉากเหล่านี้เชื่อมกันให้เป็นเนื้อเรื่องโดยไม่ให้กระโดดค่ะ การจดใส่สมุดข้อดีอย่างหนึ่งคือตอนที่เอามาพิมพ์ลงในไฟล์เราได้ทบทวนว่าเขียนอะไรลงไป อะไรที่ไม่เข้าท่าก็ปรับแก้ตอนนั้นเลย
 

แต่สิ่งที่หินสุดคงเป็นตอนสมองตื้อมากๆ คิดอะไรไม่ออกนี่แหละค่ะ บางวันเขียนไม่ได้แม้แต่ประโยคเดียว นักเขียนแทบทุกคนน่าจะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เคล็ดลับเวลาคิดไม่ออกคือไปทำอย่างอื่นก่อนเลย ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเขียนนิยาย ไม่กดดันตัวเองว่าต้องทำให้ได้ ไม่บังคับตัวเองว่าวันนี้ต้องได้กี่หน้า สักพักพอทำอย่างอื่นจนอิ่มแล้วกลับมาจดจ่อกับนิยายอีกครั้งจะคิดออกเอง บ้างวันเขียนได้เยอะจนทุบสถิติตัวเองได้ด้วย
 

อีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เขียนงานได้แบบเลื่อนปรื๊ดๆ คือเที่ยวค่ะ ดิวนี่ขาเที่ยวเลย โดยเฉพาะเที่ยวแบบกระเป๋าแฟ่บๆ นี่ชอบสุดๆ บ่อยมากที่แพลนวันนี้แล้วไปอีกวัน มีแก๊งบ้าง ฉายเดี่ยวบ้าง พากายพาสมองไปพักผ่อนค่ะ ใช้งานหนักไปก็ไม่ดี เพราะทำอย่างอื่นนอกจากเขียนนิยายด้วย แล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าเวลาเที่ยวเสร็จ หลังกลับมาจากเที่ยวจะเขียนงานไวมาก ไวจนน่าทึ่ง   
 


สถานที่ท่องเที่ยวที่วรศิษฏาเคยไปและก่อเกิดเป็นพล็อตนิยายใหม่ๆ

 

ฝากถึงคนอ่านของเรา ที่เขาซื้อ อุดหนุน และชอบนิยายเรื่องนี้ 

วรศิษฏา: ไม่รู้จะมีคำไหนที่ดีและลึกซึ้งไปกว่าคำว่า...ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากๆ ที่เอ็นดูนิยายชื่อแปลกเรื่องนี้ ที่เอาใจช่วยนางเอก  ที่สมัครเป็นแฟนคลับพระเอก จนคนเขียนก็พลอยได้รับอานิสงส์มาด้วย ^ ^ คนอ่านหลายคนตามมาจากเรื่องแรก คนอ่านส่วนหนึ่งเพิ่งมารู้จักวรศิษฏาจากเรื่องที่สอง คนอ่านบางคนมีเพื่อนแนะนำให้อ่าน แต่ไม่ว่าจะรู้จัก ซัมปากีตาสีหม่น ด้วยทางไหนเราก็กลายเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว จะกอดไว้แน่นๆ ไม่ยอมปล่อย อยู่แบบนี้ด้วยกันไปนานๆ นะคะ สัญญาว่าจะคลอดผลงานออกมาให้อ่านอีกแน่ๆ ฝากผลงานเรื่องใหม่เลยแล้วกันค่ะ ชื่อเรื่อง ลงหลักปักรัก เป็นภาคต่อของ ลูกไม้หล่นไม่ไกลรัก ลงให้อ่านในเว็บเด็กดีเช่นเคย เรื่องนี้ยังคงความละมุนในแบบฉบับของวรศิษฏาไว้ ลองเข้ามาอ่านดูนะคะ
 
ฝากถึงนักเขียนเด็กดีที่อยากเขียนนิยายบ้าง ควรทำอย่างไร  
วรศิษฏา: อยากเขียนก็ต้องลงมือเขียนค่ะ อย่าไปกังวลว่าเขียนออกมาแล้วจะดีหรือเปล่า จะมีคนอ่านหรือเปล่า ขอแค่เขียนในสิ่งที่เราอยากเขียนและตั้งใจกับมันก็เท่ากับประสบความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว พอเขียนเสร็จให้อ่านงานตัวเอง ลองสมมติตัวเองเป็นคนอ่านดูว่าสนุกกับการอ่านเรื่องนี้แล้วหรือยัง ต้องขยันด้วย ถ้าคนเขียนไม่รักในงานตัวเอง จะหาคนอ่านมารักงานเราคงยากค่ะ 

สำหรับคนที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเลย สิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น พอเริ่มต้นได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ยืนยันจากประสบการณ์ตรงของตัวเองเลย ดิวเคยผ่านจุดนั้นมาก่อนค่ะ  สารภาพก่อนว่าเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเขียนนิยายได้ ตอนเรียนปีหนึ่งตั้งใจจะเขียนแต่สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนเพราะกลัวว่าเขียนไปแล้วจะไม่มีใครอ่าน ยืดเยื้อมาเรื่อยจนถึงช่วงที่เรียนจบและเริ่มทำงาน มีคนเคยบอกว่าถ้าเรากลัวอะไรสักอย่าง แล้วไม่กล้าที่จะพาตัวเองหลุดออกมาจากความกลัว เราก็จะกลัวมันไปตลอดชีวิต คราวนี้เกิดแรงฮึดค่ะ อยากลองดูสักตั้งก็เลยเริ่มเขียนเรื่อง ลูกไม้หล่นไม่ไกลรัก ให้พระเอกเรื่องนี้เป็นหัวหน้าหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD)  มีที่ปรึกษาที่ดีคือน้าชายซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดน 
 


นิยามนักเขียนคือคนปรุงอักษร
 

เขียนในสิ่งใกล้ตัวจะทำให้เราถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่าการเขียนเรื่องไกลตัว ในนิยายมีเด็กด้วยเพราะส่วนตัวแล้วชอบอ่านนิยายที่มีเด็กน้อยน่ารักๆ พอเขียนไปถึงรู้ว่าตัวเองก็เขียนได้ ลองเอามาลงในเว็บเด็กดี มีคนอ่านด้วย เลยเขียนต่อจนจบและได้ตีพิมพ์ค่ะ เรื่องแรกใช้เวลาเขียนเกือบปี แต่เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก วันที่นิยายเรื่องแรกวางแผงคือวันที่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองหลุดออกมาจากความกลัวและความเชื่อที่ว่าเขียนนิยายไม่ได้

ยอมรับว่าเคยเสียดายที่เริ่มเขียนช้าไป แต่ไม่เสียดายนานเพราะกลับไปแก้อะไรไม่ได้ ฉะนั้นอยู่กับปัจจุบันและตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุดค่ะ พอมาเขียนเรื่องที่สองคือซัมปากีตาสีหม่น คิดว่าเขียนละมุนกว่าเรื่องแรกมาก ตัวละครมีมิติมากขึ้น อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์หลายๆ อย่างสอนเราด้วย คนอ่านก็สำคัญมากค่ะ เพราะเป็นกระจกที่สะท้อนให้เราเห็นผลงานตัวเอง ดิวจะรู้สึกดีมากเวลาคนอ่านอินไปกันเนื้อเรื่อง โดยเฉพาะคนอ่านอินกับฉากเศร้าๆ จะรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ 555

ใครยังลังเลกับการเขียนอยู่ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเลิกลังเล เลิกกลัวได้แล้วนะคะ ทุกคนรออ่านนิยายของพวกคุณอยู่ค่ะ
 

วงการหนังสือตอนนี้อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลง ถ้าหากใครคิดจะเดินเข้ามา อยากแนะนำคนคนนั้นว่าอย่างไร
วรศิษฏา: วงการหนังสือตอนนี้เงียบเหงาลงกว่าแต่ก่อนมากค่ะ ในอนาคตหนังสืออาจจะลดน้อยลงจนถึงขึ้นหายไปเลย แต่ดิวมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าต่อให้หนังสือจะตาย แต่งานเขียนไม่มีวันตาย รูปแบบอาจเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะสมัยนี้คนหันมาอ่านแบบอีบุ๊กกันมากขึ้น ถ้ามองในแง่ดี มันเป็นข้อดีด้วยซ้ำที่ทำให้คนอ่านมีทางเลือกในการอ่านมากขึ้น คนเขียนก็มีช่องทางในการเผยแพร่มากขึ้น ดิวชอบอ่านหนังสือมากกว่าอีบุ๊กเพราะจับต้องได้ ชอบกลิ่นกระดาษ ชอบความหนาของหนังสือ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะอ่านอีบุ๊กไม่ได้เลย  นิยายก็เหมือนกันค่ะ คนอ่านนิยายยังต้องการความฟินมาล่อเลี้ยงหัวใจ ต้องการผ่อนคลายจากความเครียดในการเรียนหรือการทำงาน โลกเปลี่ยนไป เราก็ต้องเปลี่ยนไปให้ทันโลกด้วย
 

สำหรับวงการหนังสือ หลักๆ เลยคือสำนักพิมพ์กับตัวนักเขียน ดิวคิดว่าต้องเริ่มจากนักเขียนก่อนค่ะ อย่าหวั่นไหวหากผลตอบรับไม่เป็นไปอย่างที่คิด ควรรับฟังแต่อย่าเอามาใช้เปลี่ยนแปลงความเป็นตัวของตัวเองเสียทั้งหมด เพราะงานเขียนเราถ้าเอาไปให้หนึ่งร้อยคนอ่าน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนชอบทั้งหนึ่งร้อยคน  นักเขียนต้องเชื่อมั่นในผลงานตัวเอง มีแนวทางเป็นของตัวเองเพราะสิ่งนี้แหละที่จะกลายมาเป็นเอกลักษณ์ของนามปากกาเรา ไม่มีงานเขียนไหนที่ดีไปกว่ากัน ทุกงานเขียนมีจุดเด่นในตัวของมันเอง ทุกคนสามารถเป็นนักเขียนได้...ถ้ารัก มีความเข้าใจ และตั้งใจที่จะเขียน ไม่ยอมแพ้ไปง่ายๆ เสียก่อน


เป็นอย่างไรบ้างคะกับนักเขียนคนเก่ง "วรศิษฏา" อัดแน่นไปด้วยเทคนิคและกำลังใจเต็มเปี่ยมเลยใช่มั้ยล่ะคะ แน่นอนว่าพี่ดิวของเราใจดีมีหนังสือเรื่องซัมปากีตาสีหม่นมาแจกทั้งหมด 3 เล่มด้วยค่ะ!! จะมีกติกาอย่างไรนั้น แวะไปดู 11 ข้อที่น้องๆ ต้องรู้เกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ก่อนดีกว่าค่ะ 
 

11 ข้อเกี่ยวกับ #ซัมปากีตาสีหม่น ที่หลายคนอาจยังไม่รู้

  • นิยายเรื่องนี้ใช้เวลาเขียนและรีไรต์รวม 1 ปี 4 เดือน กับอีก 29 วัน
  • ชื่อเต็มและนามสกุลของนางเอกคือ มานิลา แอนเดรียส คานิลโล
  • ชื่อเล่นพระเอกไม่ได้มาจากคำว่า Bomb ที่แปลว่าระเบิด แต่มาจากคำว่า Bombycidae ซึ่งเป็นชื่อวงศ์ของผีเสื้อหนอนไหม
  • ชื่อจริงพระเอกมาจากการเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2544 ไปเจอคำว่า "ธตรฐ" บนมุมขวาสุดของหน้า 595 แล้วเติมไม้หันอากาศเข้าไป
  • ชื่อน้องสาวพระเอกอยู่ถัดไปอีก 4 หน้าพจนานุกรม
  • สถานที่ทั้งหมดในนิยายมีอยู่จริง เพียงแต่มีการดัดแปลงบางส่วนเพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง
  • หลายคนบอกว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายหวาน ในขณะที่อีกหลายคนบอกว่าเป็นนิยายดราม่า และมีไม่น้อยที่บอกว่าเป็นแนวอบอุ่น ...สำหรับคนเขียนแล้วนั้น ให้คำนิยามไม่ถูกเหมือนกัน แต่คิดว่าถ้าเปรียบเทียบกับสี คงเป็นสีชมพูตุ่นๆ
  • คนเขียนได้รู้จักกับเพื่อนซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ เราผลัดกันสอนด้วยการชี้สิ่งต่างๆ รอบตัว แล้วให้แต่ละคนพูดภาษาบ้านเกิดตัวเอง ...ไม่กี่วัน ก่อนที่เพื่อนคนนี้จะกลับฟิลิปปินส์ คนเขียนชี้ไปที่ต้นมะลิลาซึ่งกำลังออกดอกเต็มต้น แล้วเพื่อนพูดออกมาว่า ซัมปากีตา (Sampaguita) ได้ยินครั้งแรกก็หลงรัก และก็เป็นภาษาตากาล็อกเพียงไม่กี่คำที่ยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ ...สาวปินอยคงไม่รู้เลยว่า 5 ปีต่อมา คำที่เขาพูดในวันนั้นจะถูกนักเขียนคนนี้เอามาตั้งเป็นชื่อนิยาย "ซัมปากีตาสีหม่น" ที่กำลังวางอยู่บนแผงในร้านหนังสือ
  • "ซัมปากีตาสีหม่น" คือชื่อแรกและชื่อเดียวที่นึกออก ไม่มีชื่ออื่นมาให้ลังเล เพราะสำหรับคนเขียน ไม่มีชื่อใดจะนิยามตัวนางเอกได้ชัดเจนเท่าชื่อนี้อีกแล้ว
  • เปิดเพลง What are Words คลอเบาๆ ขณะอ่านนิยายจะได้อรรถรสมากขึ้นอีกเป็นกอง
  • คนส่วนใหญ่อ่านนิยายเรื่องนี้เพราะชื่อเรื่องแปลก คุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่าคะ ???  แต่ไม่ว่าจะอ่านด้วยเหตุผลอะไร สำหรับคนเขียน...คุณได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังเล็กๆ นี้ไปแล้ว 

     
นิยายเรื่องซัมปากีตาสีหม่น ปกสวยมาก

 
เอาล่ะค่ะน้องๆ มาถึงคิวน้องกันแล้ว หากใครที่อยากได้หนังสือเล่มนี้ไว้ในครอบครอง มาเล่นเกมกับพี่ดีกว่า กติกาง่ายมากๆ เลยค่ะ แค่น้องๆ เปรียบเทียบนิยายของเรากับดอกไม้ พร้อมบอกเหตุผล คำตอบของใครโดนใจพี่ที่สุด รับไปเลยค่ะหนังสือ "ซัมปากีตาสีหม่น" งานนี้ไม่ได้แจกเล่นๆ นะ แจกเลย 3 เล่ม ประกาศผลวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2559 ค่ะ :D

 
รางวัลตกเป็นของ

_WUYUQING 
denjan 
ขึ้นดอย 

สามารถติดต่อด้วยการส่งชื่อที่อยู่และยืนยันมายไอดีส่วนตัวมาที่ atin@dek-d.com ภายในวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2559 ขอบคุณค่ะ
"
พี่น้ำผึ้ง :)
 
Deep Sound แสดงความรู้สึก
          
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Hongfar4567 Member 28 พ.ย. 59 14:02 น. 10
ดอกรักเปลือกที่หุ้มเอาไว้ทำให้ดูหม่นๆแต่พอแกะเปลือกออกไปจะเจอดอกไม้สีขาวแข็วแรงดูบริสุทธิ์ดี
0
กำลังโหลด
_WUYUQING Member 29 พ.ย. 59 05:25 น. 11

ต้องบอกก่อนว่ายากมากเลยค่ะที่จะตอบคำถามนี้ได้ เพราะสารภาพก่อนว่าจริงๆหนูเองก็ไม่ค่อยรู้ความหายของดอกไม้สักเท่าไหร่ 

แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ คงเป็น...ดอกพวงชมพูล่ะมั้งคะ

เพราะว่าต้นพวงชมพูโตในที่ชื้นได้ดีกว่าที่แล้ง อันนี้หนูเปรียบเหมือนเรื่องความโศกเศร้านะคะ คนเราจะโตบโตขึ้นได้ต่างก็ต้องผ่านความโศกเศร้าเจ็บปวดมาทั้งนั้น เหมือนต้นพวงชมพูที่ขึ้นตามที่ชื้น(หนูเปรียบที่ชื้นเหมือนชุ่มไปด้วยน้ำตาน่ะค่ะ55555)

และต้นพวงชมพูเป็นต้นไม้ที่สามารถโตได้ทั้งกลางแดดและในที่ร่ม เปรียบเหมือนนางเอกของเราที่ต้องพบเรื่องราวมากมายทั้งสุขทั้งทุกข์ แต่ก็สามารถผ่านมันมาได้ เหมือนต้นพวงชมพูที่ยืนหยัดไม่เกรงกลัวไม่ว่าจะมีแสงแดดให้ตัวเองหรือไม่(อืม...หนูเปรียบแสงแดดเหมือนความหวังล่ะมั้งคะ ก็ประมาณไม่ว่าความหวังจะน้อยนิดแค่ไหน เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้)

พวงชมพูเป็นพรรณไม้เลื้อยที่มีเถาอ่อน แต่ส่วนโคนจะแข็งแรงมาก ก็เหมือนตัวละครในเรื่อง อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างไม่ย่อท้อ

สุดท้าย ดอกพวงชมพูสามารถออกดอกได้ทั้งปี ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ ก็สามารถแสดงความงดงามออกมาได้เสมอ ถึงแม้อาจจะเป็นตอนที่ฝนตกแรงจนกลีบดอกช้ำเป็นสีชมพูหม่นๆ(อันนี้คิดมั่วๆค่ะ5555)ก็ยังสามารถออกดอกได้อยู่ เป็นความรักที่มั่นคงแม่จะผ่านกาลเวลาและความทุกข์ความลำบากมากเพียงใด

สารภาพอีกรอบค่ะว่าหนูเองก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องเปรียบเทียบอะไรสักเท่าไหร่ ที่พิมพ์มาก็ไม่คิดหรอกนะคะว่าจะได้ เพราะเท่าที่อ่านของแต่ละคนแล้วเปรียบเทียบได้ดีจนแทบจะยอมแพ้เลยล่ะค่ะ55555 แต่ว่าขนาดนางเอกของเรายังพยายามขนาดนั้น หนูเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน! (เกี่ยวรึเปล่านะ?55555)

สุดท้ายก็ขอบคุณพี่วรศิษฏามากนะคะที่แต่งนิยายน่ารักๆแบบนี้มาให้อ่าน หนูว่านิยายเรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างเลยทีเดียว(ถ้าลองมองดีๆ) ก็ขอให้พี่สู้ต่อไป แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้หนูกับทุกๆคนอ่านอีกเยอะๆ หนูจะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ> <

ปล.ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบค่ะ55555

0
กำลังโหลด

20 ความคิดเห็น

ann 27 พ.ย. 59 00:16 น. 1
ดอกทานตะวันค่ะ เพราะด้วยลักษณะของดอกไม้คือ ยืนหยัด มั่นคง เงยหน้ารับแสง เปรียบกับความรักที่ดูมั่นคง ยืนยง ไม่ว่าเกิดเรื่องใดๆ อย่างไรก็จะยังคงอยู่ เผชิญหน้าต่อสู้กันต่อไปค่ะ
0
กำลังโหลด
วิสาข์ 27 พ.ย. 59 12:59 น. 2
ดอกบานไม่รู้โรยค่ะ ดอกบานไม่รู้โรย ถึงแม้จะไม่ใช่ดอกไม้ที่สวยและโดดเด่นมากมายแต่เป็นดอกไม้ที่คงทนไม่แม้แต่จะละทิ้งกลีบดอกหรือดอกของมันออกจากลำต้นแม้จะถึงวันที่หมดอายุของมันแล้วก็ตาม เหมือนกับความรักถ้าเราเลือกแล้วก็จะพยายามประคับประครองกันจนถึงฝั่งแม้จะมีอุปสรรค์ใดก็ตามก็จะผ่านไปด้วยกันจนถึงวันที่ไม่มีลมหายใจ "ความรักไม่เคยร่วงโรยไม่ว่าจะความรักของคู่รักหรือความรักของพ่อแม่"
0
กำลังโหลด
Tun 27 พ.ย. 59 21:48 น. 3
ดอกวาสนาค่ะ เพราะเป็นนิยายที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกครบทุกอารมณ์ ให้ความรู้สึกอบอุ่น เย็นสบาย คล้ายกับกลิ่นของดอกวาสนาที่หอมเย็นสบายและผ่อนคลายต้องหอมเรื่อยๆ เหมือนนิยายเรื่องนี้อ่านแล้ววางไม่ลง
0
กำลังโหลด
pairin4810 Member 27 พ.ย. 59 22:26 น. 4
ชอบดอกกุหลาบคะแต่ชอบสีขาวนะคะโดยส่วนตัวชอบอะไรที่เป็นสีขาวเพราะดูแล้วสบายตาไม่ต้องมีอะไรเยอะนิยายก็เหมือนกันคะเปรียบก็ขึ้นอยู่ที่เนื้อเรื่องเนาะแต่บทสุดท้สยก็แฮปปี้กันทุกคู่ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่าแต่อยากได้น้องมะลิกับพี่บอมมากๆๆๆ
0
กำลังโหลด
lionmerz Member 27 พ.ย. 59 22:35 น. 5

ดอกหญ้าค่ะ เป็นดอกไม้ที่เรียบๆแต่สวยงาม ไม่หวือหวาแต่น่ารัก นิยายเรื่องนี้นางเอกกับพระเอกน่ารักมาก เป็นคู่ที่ไม่หวือหวาแต่ค่อยเป็นค่อยไป เลยคิดว่าน่าจะเหมาะกับการเป็นดอกหญ้านะคะ มีเสน่ห์และมองไม่เบื่อเลย :)

0
กำลังโหลด
denjan Member 27 พ.ย. 59 22:48 น. 6
ดอกฝิ่นค่ะ ดอกฝิ่นสีสันสวยงามน่าค้นหา มีทั้งคุณและโทษในแต่ละสถานะที่ต้องการใช้...แต่ถ้าเปรียบกับนิยายมันเป็นสิ่งเสพติดขั้นรุนแรงที่เราไม่สามารถหลุดพ้นจากนิยายเรื่องนี้ได้จริงๆ...ชอบมากๆค่ะน่าติดตามทุกบททุกตอน
0
กำลังโหลด
denjan Member 27 พ.ย. 59 22:48 น. 7
ดอกฝิ่นค่ะ ดอกฝิ่นสีสันสวยงามน่าค้นหา มีทั้งคุณและโทษในแต่ละสถานะที่ต้องการใช้...แต่ถ้าเปรียบกับนิยายมันเป็นสิ่งเสพติดขั้นรุนแรงที่เราไม่สามารถหลุดพ้นจากนิยายเรื่องนี้ได้จริงๆ...ชอบมากๆค่ะน่าติดตามทุกบททุกตอน
0
กำลังโหลด
ขึ้นดอย Member 27 พ.ย. 59 22:50 น. 8

ดอกลีลาวดีหรือดอกลั่นทมค่ะ เปรียบเหมือนนิยายเรื่องนี้เพราะว่าดอกลีลาวดี หรือดอกลั่นทม มี 2 ความหมายแต่เป็นดอกไม้เดียวกันค่ะ (ดอกลีลาวดีหมายถึงดอกไม้ที่มีความอ้อนช้อย อ่อนหวาน งดงาม ส่วนความหมายของดอกลั่นทมหมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข) ซึ่งเนื้อหาในนิยายเรื่องนี้มีทั้งความงดงามของความรัก และความโศกเศร้าในการพลัดพลาก แต่สุดท้ายหลังจากผ่านการโศกเศร้าแล้วก็จะพบความสุขค่ะ จึงเปรียบนิยายเรื่องนี้เหมือนดอกลั่นทมค่ะ  ขอบคุณค่ะ

0
กำลังโหลด
plaja 28 พ.ย. 59 09:42 น. 9
การะเวก ดอกไม้กลีบแข็ง มีทั้งความสวยและความหอมอยู่ในตัวเอง เปรียบเสมือนนวนิยายที่ชื่นชอบ มีความสวยของภาษาที่บรรจงถักร้อยอย่างสุนทรีย์ มีกลิ่นของอารมณ์ที่ดึงคนอ่านให้คล้อยตามรสอารมณ์ตามที่คนเขียนต้องการ ไม่ว่าจะรอยยิ้ม น้ำตา ฟิน เขิน จนบางครั้งอดไม่ได้ที่จะแอบเป็นนางเอกของเรื่องขณะอ่าน
0
กำลังโหลด
Hongfar4567 Member 28 พ.ย. 59 14:02 น. 10
ดอกรักเปลือกที่หุ้มเอาไว้ทำให้ดูหม่นๆแต่พอแกะเปลือกออกไปจะเจอดอกไม้สีขาวแข็วแรงดูบริสุทธิ์ดี
0
กำลังโหลด
_WUYUQING Member 29 พ.ย. 59 05:25 น. 11

ต้องบอกก่อนว่ายากมากเลยค่ะที่จะตอบคำถามนี้ได้ เพราะสารภาพก่อนว่าจริงๆหนูเองก็ไม่ค่อยรู้ความหายของดอกไม้สักเท่าไหร่ 

แต่ถ้าจะให้เลือกจริงๆ คงเป็น...ดอกพวงชมพูล่ะมั้งคะ

เพราะว่าต้นพวงชมพูโตในที่ชื้นได้ดีกว่าที่แล้ง อันนี้หนูเปรียบเหมือนเรื่องความโศกเศร้านะคะ คนเราจะโตบโตขึ้นได้ต่างก็ต้องผ่านความโศกเศร้าเจ็บปวดมาทั้งนั้น เหมือนต้นพวงชมพูที่ขึ้นตามที่ชื้น(หนูเปรียบที่ชื้นเหมือนชุ่มไปด้วยน้ำตาน่ะค่ะ55555)

และต้นพวงชมพูเป็นต้นไม้ที่สามารถโตได้ทั้งกลางแดดและในที่ร่ม เปรียบเหมือนนางเอกของเราที่ต้องพบเรื่องราวมากมายทั้งสุขทั้งทุกข์ แต่ก็สามารถผ่านมันมาได้ เหมือนต้นพวงชมพูที่ยืนหยัดไม่เกรงกลัวไม่ว่าจะมีแสงแดดให้ตัวเองหรือไม่(อืม...หนูเปรียบแสงแดดเหมือนความหวังล่ะมั้งคะ ก็ประมาณไม่ว่าความหวังจะน้อยนิดแค่ไหน เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้)

พวงชมพูเป็นพรรณไม้เลื้อยที่มีเถาอ่อน แต่ส่วนโคนจะแข็งแรงมาก ก็เหมือนตัวละครในเรื่อง อ่อนโยนแต่เข้มแข็ง ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆอย่างไม่ย่อท้อ

สุดท้าย ดอกพวงชมพูสามารถออกดอกได้ทั้งปี ไม่ว่าจะที่ไหนเมื่อไหร่ ก็สามารถแสดงความงดงามออกมาได้เสมอ ถึงแม้อาจจะเป็นตอนที่ฝนตกแรงจนกลีบดอกช้ำเป็นสีชมพูหม่นๆ(อันนี้คิดมั่วๆค่ะ5555)ก็ยังสามารถออกดอกได้อยู่ เป็นความรักที่มั่นคงแม่จะผ่านกาลเวลาและความทุกข์ความลำบากมากเพียงใด

สารภาพอีกรอบค่ะว่าหนูเองก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องเปรียบเทียบอะไรสักเท่าไหร่ ที่พิมพ์มาก็ไม่คิดหรอกนะคะว่าจะได้ เพราะเท่าที่อ่านของแต่ละคนแล้วเปรียบเทียบได้ดีจนแทบจะยอมแพ้เลยล่ะค่ะ55555 แต่ว่าขนาดนางเอกของเรายังพยายามขนาดนั้น หนูเองก็ต้องพยายามเหมือนกัน! (เกี่ยวรึเปล่านะ?55555)

สุดท้ายก็ขอบคุณพี่วรศิษฏามากนะคะที่แต่งนิยายน่ารักๆแบบนี้มาให้อ่าน หนูว่านิยายเรื่องนี้สอนอะไรหลายๆอย่างเลยทีเดียว(ถ้าลองมองดีๆ) ก็ขอให้พี่สู้ต่อไป แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้หนูกับทุกๆคนอ่านอีกเยอะๆ หนูจะคอยเป็นกำลังใจให้นะคะ> <

ปล.ขอบคุณที่ทนอ่านจนจบค่ะ55555

0
กำลังโหลด
farsai123 Member 29 พ.ย. 59 06:49 น. 12

ถ้าเปรียบนิยายเป็นดอกไม้ คงเป็นดอกกุหลาบค่ะ เพราะดอกกุหลาบมีหลากสี สีแดงก็เปรียบดังความแข็งแกร่ง ร้อนแรง สีขาวก็ความรักที่บริสุทธิ์ สีชมพูเป็นความอ่อนหวาน สีดำก็เป็นนความทุกข์กับเรื่องต่างๆ ที่เข้ามาในชีวิต คือเป็นนิยายที่มีครบทุกด้านอารมณ์ค่ะ

0
กำลังโหลด
saveeva duch 29 พ.ย. 59 08:36 น. 13
ต้นดอกตึนเป็ด....เป็นดอกไม้ที่มีความสวยงามทว่ากลิ่นช่างแรงเหรอบางคนว่าเหม็นบางคนว่าหอมเปรียบเสมือนกับมะลิที่ภายนอกดูน่ารักสวยงามแต่ภายในช่างลึกลับและเศร้าหมองแต่ก็ได้ความหอมหวานจากพี่บอมมาช่วยเยียวยาทำให้คนทั้งคู่มีกันและกันตลอดไป
0
กำลังโหลด
saveeva duch 29 พ.ย. 59 16:08 น. 14
ขอตอบใหม่นะค่ะตอนนั้นเรีบเรียงความคิดไม่ออก เปรียบเสมือนดอกตีนเป็ดที่คนส่วนใหญ่บอกว่ามีกลิ่นเหม็นก็เปรียบเหมือนความเเศร้าในจิตใจของมะลิแต่น้อยคนก็บอกว่าดอกตีนเป็ดหอมน่ะก็เปรุยบเหมือนความรักความห่วงของพี่บอมซึ่งเป็นคนนเดียวที่มอบให้มะลิสม่ำเสมอค่อยๆทลายความมืดหม่นจนกลายเป็นความหวาน
0
กำลังโหลด
LaLuna Howsand Member 29 พ.ย. 59 21:59 น. 15
ขอเปรียบเป็นดอกลั่นทมค่ะ เพราะเป็นดอกสีขาว เกลืองขุ่นนิดๆตรงกลางดอก อยู่บนต้นดูสวยมากค่ะ มีกลิ่นหอมอ่อนๆเหมือนกับนิยายเรื่องนี้มีกลิ่นอายความอบอุ่น ความรัก ต้นสีเกือบดำ(สีตัดกับดอกมาก)เลยนึกถึงความเศร้าบางครั้ง คิดว่าก็เหมือนดอกลั่นทมนั้นแหละ ชื่อใกล้เคียงกับคำว่า ระทม เลยถูกเปลี่ยนชื่อเป็นลีลาวดี เพื่อความมงคล แต่ชื่อไหนมันก็ดอกเดียวกันอยู่ดีค่ะ เศร้า สุข รัก ทุกข์มันก็มีครบพอดีๆในเรื่องซัมปากีตานี่แหละค่ะ
0
กำลังโหลด
tuty2 Member 30 พ.ย. 59 01:17 น. 16
ดอกมะลิ คือหอมเรื่อยๆไม่น่าเบื่อ ไม่ฉุนเกินไป ดูเหมือนจะเป็นดอกไม้ธรรมดาๆแต่ถ้าจับไปแปลงร่างก็ทำได้หลายอย่าง
0
กำลังโหลด
LittleNigthmare Member 1 ธ.ค. 59 19:54 น. 17

เปรียบเทียบนิยายของเรากับดอกไม้ พร้อมทั้งบอกเหตุผล

ไม่รู้ว่าเราจะตีโจทย์ที่แอดให้มาแตกรึเปล่า แต่เราขอตอบเลยค่ะว่านิยายเรื่องที่เรากำลังวางพล็อตอยู่ ‘มนตร์สมุทร’ แต่ยังไม่ได้เขียนนั้น (555+++) ถ้าจะให้เปรียบเทียบเป็นดอกไม้ คงเปรียบเหมือนกับดอกยิปโซล่ะมั้งคะ ที่เลือกเปรียบเทียบกับดอกยิปโซนั้นคงเพราะความหมายของดอกยิปโซสื่อถึงความ บริสุทธุ์ จริงใจ อ่อนหวาน และรักแรกพบ เหมาะสำหรับให้กับคนที่เราตกหลุมรักตั้งแต่แรกเจอ จึงได้ชื่อว่า ดอกไม้แห่งรักแรก แม้ใครจะคิดว่าเป็นดอกหญ้าก็ตาม ซึ่งนางเอกของเรื่อง เธอเป็นนางเงือกค่ะ และเธอก็หลงรักอยากจะได้พระเอกมาดกวนปากร้ายมาเป็นพ่อพันธุ์มากที่สุด จนถึงขั้นแกล้งเป็นคนความจำเสื่อมแล้วเข้ามาปล้ำพระเอกถึงในห้อง ส่วนพระเอกน่ะเหรอ อ่อ...ปัดป้องเวอร์จิ้นตัวเองสุดฤทธิ์555++จนก่อเกิด วีรกรรมสะบั้นจิ้นขึ้นมาและจากความวุ่นวายอลเวงของเงือกสาวกับทายาทรีสอร์ทริมทะเลก็ก่อเกิดเป็นความรักความผูกพันจนยากจะลบเลือนที่จะติดตรึงใจทั้งคู่ไปตราบนิจนิรันดร์ แม้จะมีอุปสรรคเป็นชาติกำเนิดและบรรดาตัวร้ายต่างๆก็ตาม นางเอกเรื่องนี้ไม่ได้อ่อนต่อโลกนะคะ นางออกจะร้ายกาจ ร้ายลึก ร้ายเจ้าเล่ห์ ร้ายซ่อนกล และสารพัดร้าย555++(นี่นางเอกหรือตัวร้าย?) และดอกยิปโซก็น่าจะแสดงออกถึงความหมายของนิยายเรื่องนี้ มนตร์สมุทรเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราอยากจะเขียนนางเอกไม่ใช่มนุษย์ และที่เลือกดอกยิปโซมาเปรียบเทียบคงไม่ได้หมายถึงรักแรกพบอย่างเดียว แต่ดอกยิปโซยังหมายถึงความรักที่เข้าใจกันและกันแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ด้วยรักแท้จะช่วยประคับประคองให้กำลังใจอีกฝ่ายให้ข้ามพ้นอุปสรรคไปสู่ปลายทางแห่งความสุขด้วยกัน และยังคงหมายถึงรักนิรันดร์ รักที่ให้กันด้วยใจบริสุทธิ์ซึ่งดอกไม้นี้มักจะเจอแซมอยู่เกือบทุกงาน โดยเฉพาะงานแต่ง ที่จะแซมอยู่ทุกซอกมุมของมวลช่อดอกไม้ แม้ดอกยิปโซจะไม่ดูโดดเด่นสะกดใจหรือหอมเย้ายวนเช่นดอกไม้พันธุ์อื่น แต่ที่เราเลือกดอกไม้นี้มาเพราะชอบในการเข้าไปแต่งแต้มเติมสีสันให้กับช่อดอกไม้อื่นๆ เห็นได้จากร้านขายดอกไม้ทั่วไป เวลาเราสั่งช่อดอกไม้ เจ้าของร้านมักจะจัดโดยแซมดอกยิปโซมาด้วยเสมอ ซึ่งสีขาวบริสุทธิ์ของมันนอกจากจะเป็นดอกฝอยๆเล็กๆแล้ว แต่สีขาวของมันกลับขับให้ทั้งช่อดูสวยงาม ดอกยิปโซแม้แห้งแล้วก็ยังคงสภาพเป็นดอกที่สวยงามอยู่ได้คงทน เปรียบได้กับนางเอกเรื่องมนตร์สมุทร แม้เธอจะไม่โดดเด่นและไม่ใช่มนุษย์ ซ้ำยังโดนตัวร้ายคิดร้าย แต่ในเมื่อดอกยิปโซดอกนี้ได้รับการเอาใจใส่ ต่อให้จะแห้งเ-่ยวสักเพียงใด คุณค่าที่มีในตัวตนก็จะมีใครบางคนสัมผัสได้ เสมือนถ้ามีคนที่เห็นค่าของเธออย่างเช่นพระเอก เธอก็เปรียบเหมือนดอกยิปโซสีขาวบริสุทธิ์ที่ถูกแซมเข้ากับดอกไม้นานาชนิด เฉกเช่นนางเอกที่ตอนนี้ถูกแซมเข้าไปในหัวใจของพระเอกเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน เธอก็จะมีค่าสำหรับเขาเสมอ... เอิ้กๆ ได้ฤกษ์เตรียมปั่นนิยาย555++

0
กำลังโหลด
jirawanjaiperm Member 1 ธ.ค. 59 20:19 น. 18

ดอกพุดค่ะ เป็นดอกที่ขาวบริสุทธิ์ ดูเรียบง่าย เหมือนความรักของพี่บอมกับมะลิที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความรักอบอวนอยู่ตลอดเวลา ชอบความรักของบ้านพี่บอม ที่ใสบริสุทธิ์ รักเเละดูเเลกัน ชอบความเอาใจใส่ เอ็นดูที่อาจารย์ พี่น้องในเเลปมีให้กับมะลิ ชอบบรรยายกาศของห้องแลป

0
กำลังโหลด
Sa3a Member 3 ธ.ค. 59 21:28 น. 19

กล้วยไม้ (Orchid) เป็นดอกไม้ที่มีความสวยงาม ละเอียดอ่อน บริสุทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความรัก และความสง่างาม

แสดงถึงความรักอันบริสุทธิ์: นางเอกรักแม่มากใช้ชีวิตอดทนกับพ่อมาตลอด แต่ก็ยอมตัดใจจากความรักแล้วเลือกรักษาความลับไว้

การปลูก ตัองดูแลอย่างพิธีพิธัน: เหมือนพระเอกที่จีบนางเอกด้วยน้ำเต้าหู้ ปลาท่องโก๋ (ข้าวต้มมัด) กับพวงมาลัยทุกเช้า เลือกซื้อกับแม่ค้าสองวัยที่มีที่มาที่ไป, คอยสังเกตุห่วงใยนางเอกเวลาอยู่กับครอบครัวของแม่ และทุกสิ่งอย่างที่พี่บอมทำจะใส่ใจกับหนูมะลิเสมอ ถึงชีวิตจะดราม่าเพียงใด เศร้าใจขนาดไหน แต่ก็ยังมีพระเอกที่น่ารักอยู่เคียงข้างนางเอก (คือซึ้ง ฟิน ตรงนึ้แหละค่ะ ^^)  

เหมือน Chris Madina ที่ดูแลนางฟ้าของเขาตลอดไป 

~ Big Heart Man ผู้ชายสองคนนี้ ~

มีหลากหลายสายพันธุ์ ชนิด สี : เปรียบดังคนแต่ละคนในซัมปากีตาสีหม่นก็เช่นกัน  อ่านแล้วเกิดความรู้สึกมากมายมีความสุข สนุกสงสาร สงสัย สะเทือนใจ ร้อนแรง มีพลังประทับใจกับมิตรภาพของเพื่อน(นาดีน) ที่ช่วยเหลือในยามที่ทุกข์ใจ  ฯลฯ

จากใจจริงๆ "ดอกมะลิ เหมาะกับนิยายเรื่องนี้ที่สุดแล้วค่ะ" ซัมปากีตี...สีหม่น

0
กำลังโหลด
ben-2 Member 4 ธ.ค. 59 10:59 น. 20

เปรียบนิยายเหมือนดอกพุดตานที่ขอบอยู่กลางแจ้งท้าทายสายลมและแสงแดดจ้า นิยายก็เช่นเดียวกันที่ต้องการให้คนอ่านได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดผ่านเนื้อเรื่องและตัวละคร ดอกพุดตานบานในตอนเช้าและจะเปลี่ยนสีไปตามสภาพภูมิอากาศสิ่งแวดล้อมและอุณหภูมิ เวลาเช้าหรืออากาศเย็นดอกจะมีสีขาวหรือสีครีม เวลาสายอากาศอุ่นขึ้นดอกจะเปี่ยนเป็นสีชมพูอ่อน เวลากลางวันอากาศร้อนจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้ม และหุบในตอนเย็นรอเวลาบานในเช้าวันใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ เปรียบกับนิยายก็ขึ้นอยู่กับผู้เขียนที่จะสร้างสรรค์ให้แต่ละตัวละครมีความบริสุทธิ์สดใส อบอุ่นอ่อนหวาน เข้มแข็ง ร้อนแรง หรือเลวร้าย โดยมีเหตุการณ์และอุปสรรคต่างๆที่หล่อหลอมเป็นเรื่องราวสู่สายตาผู้อ่านค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด