แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ
5 นิยายที่ปังเพราะลอกคนอื่นมา!
สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวไรท์เตอร์ทุกคน กลับมาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ในวันนี้พี่ก็มาพร้อมกับเรื่องราวน่าสนใจอีกเช่นเคย ซึ่งคงหนีไม่พ้นประเด็นฮอตฮิตอย่าง “Plagiarism” หรือ “การโจรกรรมทางวรรณกรรม” นั่นเองค่ะ
- การคัดลอกตัดแปะ ก็อปปี้มาทั้งดุ้น
- การเปลี่ยนคำแต่ใจความเดิม
- การลอกความคิดของผู้อื่น
- การส่งผลงานเดียวกันไป 2 สำนักพิมพ์
เหล่านี้ล้วนคือการโจรกรรมทางวรรรณกรรมทั้งนั้นเลยค่ะ ถึงแม้จะรู้ทั้งรู้ว่าการ “ลอกผู้อื่น” เป็นสิ่งที่ผิด แต่พี่น้ำผึ้งก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมยังมีใครหลายคนกล้าทำอยู่ ซึ่งนิยายที่พี่เลือกมาทั้ง 5 เรื่องในวันนี้นั้นก็เป็นตัวอย่างของ Plagiarism ค่ะ ประมาณว่านิยายลอกคนอื่นมา ลอกแล้วดังด้วยนะ #ไม่น่ารักเลย มาดูกันเถอะว่ามีเรื่องอะไรบ้าง จะเป็นเรื่องที่น้องๆ รู้จักมั้ย พร้อมแล้วตามมาเลยค่ะ
จากซ้ายไปขวา Roots, Alex Haley, The American
(ขอบคุณรูปภาพจาก pinterest.com และ amazon.com)
นวนิยายมหากาพย์ Roots : The Sara of an America นั้นปังมากจนกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของอเมริกา แถมยังมีการนำไปทำเป็นซีรี่ส์และรีเมคอีกหลายครั้งด้วยค่ะ นิยายเรื่องนี้เขียนโดยอดีตนาวิกโยธินสัญชาติอเมริกัน อเล็กซ์ ฮาเลย์ เขาบอกว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดในตระกูลของเขาเอง! เขาได้ทำการรีเสิร์จเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มากมายและยืนยันว่า คุนตา คินเต้ ตัวเอกของเรื่องมีตัวตนอยู่จริง!! หลังจากนั้นไม่นานดราม่าก็เริ่มกรุ่น เมื่อเขาได้รับรางวัล Pulitzer Prize อันเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา นักเขียนชื่อดัง “ฮาโรลด์ คอร์แลนเดอร์” เจ้าของนวนิยายเรื่อง “The African” ก็ออกมาประกาศว่าฮาเลย์ได้ลอกนิยายเขามา!! ซึ่งทางด้านฮาเลย์ก็ออกมาปฏิเสธ เปล่านะ ไม่ได้ลอก แค่ยกเอาข้อความประมาณ 80 ข้อความมาเฉยๆ ก็ยอมรับแหละว่ามีบางฉากในนิยายที่ดูเหมือนในนิยายของคอร์แลนเดอร์ แต่ไม่ได้เอามาจริงๆ นะ ที่เหมือนน่ะบังเอิญทั้งนั้น!
สรุปสุดท้ายฮาเลย์เลยจำต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่เจ้าของนิยาย The African ไปประมาณ 21 ล้านบาท อื้อหือ... พีคไปอีก
จากซ้ายไปขวา The Wild Blue, Stephen Ambrose , Wings of Morning
(ขอบคุณรูปภาพจาก pinterest.com และ amazon.com)
หนังสือเรื่องนี้ใช้แบ็คกราวน์อยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เล่าถึงประสบการณ์ของนักบิน นักวางเพลิง ผู้นำร่องวิทยุและพลปืน B-24s ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาที่ต่อต้านฝั่งนาซีของเยอรมนี เรียกได้ว่าแม้เนื้อเรื่องเล่นกันอยู่แต่บนฟ้า แต่มันส์มากเพราะมีแต่ฉากบู๊ล้างผลาญ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าของนิยาย “สตีเฟน แอมโบรส” นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชีวประวัติชื่อดังสัญชาติอเมริกาตกเป็นผู้ต้องหาว่าลอกงานชาวบ้านเมื่อปี 2002 หลังจากงานเขียนของเขาได้ตีพิมพ์เพียงแค่ 1 ปี!! โดยเขาได้นำข้อความจากหนังสือเรื่อง “Wings of Morning” ของโทมัส ชิลเดอร์ไปใช้ในนิยายของตน ไม่เพียงแค่นั้น พี่แกยังลอกมาจากอีกหลายเรื่อง ประมาณ 7 เรื่องได้ นี่คือตัวอย่างที่ลอกมาค่ะ (พีคได้อีก) ซึ่งข้อความด้านล่างนั้นยืม (?) มาจากเรื่อง McGovern โดย Robert Sam Anson Robert Sam Anson (Holt, Rinehart and Winston, 1972):
Anson, pg. 40 “Rounds was a bouncy, wisecracking prankster from Kansas, the very image of a devil-may-care flyboy.”
Ambrose, pg. 35 “He was a wisecracking prankster, the image of a devil-may-care flyboy.”
Anson, pg. 47 “Halfway back in the airplane, Tex Ashlock was watching the scenery go by through the camera hatch. Suddenly, he couldn’t believe his eyes. The bombs were away, and they were heading dead on a small farmhouse in front of them…The farmhouse Ashlock had been watching disappeared in a rolling cloud of brown smoke. In Ashlock’s mind there could be no doubt about it; he had just witnessed cold-blooded murder.”
Ambrose, pg. 208 “Sgt. Ted Ashlock was watching the ground through the camera hatch when the bombardier let the bombs drop. They fell on a farmhouse. It disappeared in a
ซึ่งแอมโบรสก็ยอมรับแหละว่าตัวเองลอกมาจริงๆ (ปรบมือ!) หลังจากนั้นไม่นานทาง Forbes.com ก็ดันไปเจองานเขียนของเขาอีกเรื่องอย่าง “Crazy Horse and Custer” ที่ลอกมาอีกแล้ว คราวนี้แอมโบรสจึงออกมายืดอกยอมรับอีกครั้งและสัญญาว่ารอบหน้าจะไม่มีอีกแล้ว #เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน เอิ่ม... แบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?
จากซ้ายไปขวา Goodwin, นิยายเจ้าปัญหา, คู่กรณี
(ขอบคุณรูปภาพจาก pinterest.com และ amazon.com)
ในปีเดียวกันกับสตีเฟ่นก็เกิดเหตุการณ์ลอกงานคนอื่นอีกแล้ว ครั้งนี้ดอริส คินส์ กู๊ดวิน นักประวัติศาสตร์ นักเขียนชีวประวัติ และนักวิจารณ์การเมืองของสหรัฐอเมริกาถูกสวดยับว่าได้มีการนำคำสัมภาษณ์ของลินน์ แมกแทกการ์ทมาใช้ในหนังสือ “The Fitzgeralds and the Kennedys” โดยไม่ได้รับอนุญาต แน่นอนว่ากู๊ดวินก็แสบใช่ย่อย เธอบอกว่าก็อ้างอิงไว้แล้ว และไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องใส่ไปในกิตติกรรมประกาศด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สุดท้ายแล้วเธอก็ถูกบังคับให้ลาออกจากการเป็นกรรมการรางวัลพูลิตเซอร์ (Pulitzer Prize) ในที่สุด
น่าเศร้าเหมือนกันนะคะ เป็นการดับอนาคตตัวเองเลยนะนั่น
หนังสือของเจมส์ เฟรย์และตัวเขาเอง
(ขอบคุณรูปภาพจาก pinterest.com และ amazon.com)
เจมส์ เฟรย์เป็นนักเขียนนวนิยายชาวอเมริกา (อีกแล้ว) ที่โอปร่าห์ วินฟรีย์ชื่นชมว่าเขียนนิยายดีมากกกก แถมโอปร่าห์ยังยกให้ “A Million Little Pieces” เป็นหนึ่งในหนังสือยอดเยี่ยมในใจเธออีกด้วย เรื่องราวที่เฟรย์เคลมว่ากลั่นมาจากประสบการณ์จริง เขาพูดถึงการบำบัดอาการติดเหล้าเรื้อรัง เปลี่ยนจากการเขียนไดอารี่เป็นนิยายแทน แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่นิยายเรื่องนี้ขายดิบขายดี ติดท๊อปเบสเซลเลอร์มานาน ทางเว็บ “The Smoking Gun” ก็ดันสืบจนรู้ว่าจริงๆ แล้วเจมส์ เฟรย์โกหกทั้งเพ เขาไม่ได้เขียนมาจากเรื่องจริงของตัวเองซะหมด แต่กลับขโมยเรื่องของเอ็ดดี้ ลิตเติ้ลที่ตายไปมาใช้ต่างหาก!!!
บอกแล้วว่าการนำเรื่องราวหรือผลงานคนอื่นมาใช้โดยไม่ได้รับการอนุญาตถือว่าเป็นการโจรกรรมทางวรรณกรรมทั้งนั้น เสียแรงที่โอปร่าห์ วินฟรี่ย์อุตส่าห์ชื่นชม T_T
จากซ้ายไปขวา นิยายของวิศวนาถัน ตัวเธอเอง และนิยายที่เธอลอก
(ขอบคุณรูปภาพจาก pinterest.com และ amazon.com)
อันนี้คงพีคที่สุดแล้วเท่าที่พี่ประสบพบเจอ เพราะเคสนี้เกิดขึ้นกับสาวน้อยจากอินเดีย วิศวนาถัน นักเขียนและนักศึกษาฮาร์วาร์ด ขณะที่ทางฮาร์วาร์ดกำลังรงณรงค์เรื่อง Plagiarism อย่างเอาเป็นเอาตาย เธอผู้เป็นศิษย์สถาบันนี้กลับทำตรงกันข้ามด้วยการลอกงานคนอื่น!
วิศวนาถันเป็นเด็กเรียนดี แถมนิยายเรื่อง “How Opal Mehta Got Kissed, Got Wild and Got a Life” ของเธอยังถูกทาบทามจากสำนักพิมพ์ลิตเติ้ลบราวน์เพื่อนำไปตีพิมพ์เป็นเล่ม เพียงแต่ต้องมีการรีไรท์นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใครจะไปรู้ว่าเส้นทางนักเขียนของเธอจะดับวูบ เพราะหลังจากนั้นไม่นานทางฮาร์วาร์ดก็จับได้ว่าเธอลอกข้อความบางส่วนจากนิยายเรื่อง “Second Helpings” ของ Megan McCafferty แต่วิศวนาถันยืนยันหนักแน่นเลยว่า “เปล่านะ เปล่าลอก” สุดท้ายแล้วนิยายของเธอก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์อีกต่อไป ดับอนาคตตัวเองชัดๆ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับเรื่องราวที่พี่น้ำผึ้งนำมาฝากในวันนี้ หวังว่าคงเป็นเครื่องเตือนใจน้องๆ ให้ไม่คัดลอกผลงานบางส่วนของผู้อื่นมาใช้ในงานเขียนของเรานะคะ แต่ถ้าน้องๆ ต้องการนำข้อมูลมาใช้ อย่าลืมใส่เครื่องหมาย “...” ครอมข้อความที่นำมาใช้และเขียนอ้างอิงกำกับไว้เสมอค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อหลีกเลี่ยง Plagiarism จงกลั่นกรองผลงานของเราออกมาจากมันสมองของเราเองจะดีที่สุดค่ะ หยิบมาเป็นแรงบันดาลใจได้ แต่ไม่ใช่ก็อปปี้มาทั้งดุ้น ไม่เอา ไม่น่ารักค่ะ #ไม่น่ารักเลย งานใคร ใครก็รัก ถ้าน้องอยากเป็นนักเขียน ก็ต้องเข้าใจหัวอกนักเขียนด้วยกันว่าการลอกเลียนแบบผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ดี กว่าเขาจะเขียนมาได้แต่ละประโยคนั้นยากเย็นมากเลยนะคะ ^___^ และสำหรับครั้งหน้าจะเป็นเรื่องอะไรนั้น รอติดตามค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
บุษบา มาตระกูล. (2551). Plagiarism โจรกรรมทางวรรณกรรม. ก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์, 8(2), 7-10.
http://www.nytimes.com/2002/01/11/us/as-historian-s-fame-grows-so-do-questions-on-methods.html
https://www.forbes.com/2002/02/27/0227ambrose.html
http://www.slate.com/articles/news_and_politics/chatterbox/2002/01/doris_kearns_goodwin_liar.html
http://historynewsnetwork.org/article/590
http://www.barbaradoyen.com/plagiarism-issues-for-authors/is-james-frey-a-plagiarist-too
http://www.thecrimson.com/article/2006/4/23/students-novel-faces-plagiarism-controversy-beditors/
http://www.csmonitor.com/Books/2011/1208/5-famous-plagiarism-and-fraud-accusations-in-the-book-world/Kaavya-Viswanathan







16 ความคิดเห็น
ไม่รู้จักสักเรื่อง
เราเป็นคนนึงที่เคยโดนลอกนิยายเหมือนกันค่ะ...แต่จะเรียกว่านิยายก็ไม่ใช่เป็นฟิคชั่นของอนิเมะกีฬาเรื่องหนึ่งซึ่งตอนที่ทราบนั้นยอมรับว่าเสียใจค่ะ T^T เสียใจมาก TOT แบบว่าคนก็อปก็แฟนคลับเราด้วย ตอนแรกก็ให้อภัยนะแต่ตอนหลังก็มาโป๊ะแตกว่ายังก็อปก็เลยแจ้งเว็บมาสเตอร์ ขอบคุณที่ดำเนินงานให้เร็วมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ ปัจจุบันก็เรียกได้ว่าออกแนวแตกหักกับนักเขียนคนนั้นไปเลยหลังจากเป็นเพื่อนกัน ทุกวันนี้ก็ยังแอบหลอนนะแบบว่าจะแต่งฟิคทีก็กลัวคนก็อป กลัวตัวเองไปก็อปใครคนอื่น เราเข้าใจความรู้สึกเจ้าของต้นฉบับในเรื่องนะคะ มันเจ็บจริงๆและเจ็บมากด้วย YOY ยังไงก็แล้วแต่เป็นกำลังใจให้ทุกท่านและนักเขียนทุกคนที่เคยเจอแบบเรานะคะ ^^Y
สงสัยค่ะ รบกวนถามผู้รู้หน่อยนะคะ
ทำไมการส่งผลงานเดียวกันไป 2 สำนักพิมพ์ถึงถือว่าเป็นการลอกงานเหรอคะ??
ตามกฎห้ามส่งต้นฉบับ 1 เรื่องพร้อมกันทีเดียวสองสำนักพิมพ์ค่ะ
ต้องส่งทีละแห่ง
ถ้าแห่งแรกไม่ผ่านก็ส่งไปแห่งที่สอง
สรุปเรื่องแรกที่ถูกลอกไปชื่อ The afican หรือ The Americanคะ ในปกเขียนอัฟกัน หัวข้ออะเมริกัน ในบทความเขียนอัฟกัน ตอนท้ายบอกอะเมริกัน = =??
สรุปเรื่องแรกที่ถูกลอกไปชื่อ The afican หรือ The Americanคะ ในปกเขียนอัฟกัน หัวข้ออะเมริกัน ในบทความเขียนอัฟกัน ตอนท้ายบอกอะเมริกัน = =??
The American ลอก The African ค่ะ
แก้ไขเรียบร้อยแล้ว ขอบคุณนะคะที่เตือน
*edit คำผิด
นน่าจะยกตัวอย่างผลงานของคนไทย จะได้เห็นถาพชัดเจนใกล้ตัว :)
น่าจะเยอะ ในนี้ก็เยอะอยู่
แต่น่าจะดีที่จะได้ไม่มีคนบ่นว่าไม่รู้จัก
คำถามค่ะ ที่บอกว่า
" น้องๆ รู้มั้ยคะว่า Plagiarism คืออะไร? ถ้าใครไม่รู้ งั้นตั้งใจอ่านเลยนะ มันคือการลอกงาน ความคิด ประโยค รวมถึงผลงานสร้างสรรค์ค่ะ ซึ่งการตัดแปะ (Copy and Paste) การรีเมคเพลงหรือวิดีโอก็นับว่าใช่ด้วย ในทางกฎหมายนั้นถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ขั้นรุนแรงเลยค่ะ โดยการ Plagiarism นั้นมีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น
1. การคัดลอกตัดแปะ ก็อปปี้มาทั้งดุ้น
2. การเปลี่ยนคำแต่ใจความเดิม
3. การลอกความคิดของผู้อื่น
4. การส่งผลงานเดียวกันไป 2 สำนักพิมพ์ "
การที่นักเขียนส่งผลงานเดียวกันไปสองสำนักพิมพ์ เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นการโจรกรรมทางวรรณกรรมยังไงคะ ในเมื่อผลงานนั้นเป็นผลงานที่นักเขียนสร้างสรรค์เอง? อันนี้อยากรู้จริงๆ ไม่ได้ประชดนะคะ ในเมื่อกฏหมายลิขสิทธิ์ว่าไว้ว่า
"ขอบเขตคุ้มครองงานสร้างสรรค์
เมื่อสร้างสรรค์งานแล้วได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายลิขสิทธิ์ จึงต้องรับรู้สิทธิของผู้เป็นเจ้าของว่ามีขอบเขตคุ้มครองกว้างขวางมากเพียงใด โดยกฎหมายกำหนดสิทธิไว้ดังต่อไปนี้
1.ทำซ้ำหรือดัดแปลง
2.เผยแพร่ต่อสาธารณชน
3.ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียง
4.ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
5.อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้น โดยจะกำหนดเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ก็ได้ แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะกำหนดในลักษณะที่เป็นการจำกัดการแข่งขันโดยไม่เป็นธรรมไม่ได้
เจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียวมีอำนาจกระทำทั้ง 5 ข้อนี้ ผู้ใดที่ทำละเมิดสิทธิของเจ้าของงานซึ่งกฎหมายคุ้มครองไว้ จักต้องรับโทษอาญาและจ่ายค่าเสียหายทางแพ่งแก่ กรมการคุ้มครองสิทธิในงานอันมีลิขสิทธิ์ช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีกำลังใจในการสร้างสรรค์งานใหม่ มิใช่การคัดลอก ดัดแปลง งานของผู้อื่น กฎหมายจึงกำหนดบทลงโทษหนักและค่าปรับที่สูงมาก ซึ่งไม่คุ้มกับการเสียเวลาคัดลอกงานแล้วอ้างเป็นฝีมือของตน"
อ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/กฎหมายลิขสิทธิ์ไทย
เมื่อลองหาเกี่ยวกับ Plagiarism ในเว็บไซต์อื่น เช่น http://www.kwanmanie.com/plagiarism/
https://stanglibrary.wordpress.com/2008/07/07/plagiarism-คืออะไร/
http://www.grad.chula.ac.th/download/files/Plagiarism.pdf
ก็พบว่าไม่มีเว็บใดๆ ที่บอกว่า การส่งงานพิจารณาหลายบริษัท เป็นการผิดลิขสิทธิ์หรือเป็นการโจรกรรมทางวรรณกรรมเลยนะคะ
เมื่อก่อนเราก็เคยเห็นด้วย ว่าการส่งผลงานไปหลายสนพ. เป็นเรื่องที่เสียมารยาทในวงการ เคยได้ยินการยกตัวอย่างมาว่า
นักเขียนส่งนิยายไปยังสนพ. A B C สามแห่ง สนพ. AและB ตอบรับโอเคกับนิยายเราพร้อมกัน การที่เราปฏิเสธสนพ.Bเพื่อไปหาสนพ.A ถือว่าเป็นการเสียมารยาท เนื่องจากสนพ.Bได้เสียเวลาและลงแรงในการพิจารณาต้นฉบับแล้ว แต่ถ้านักเขียนถอนต้นฉบับจากสนพ.Cโดยที่สนพ.Cยังไม่ได้ตอบกลับ ถือเป็นการไม่เสียมารยาท เพราะสนพ.Cยังไม่ได้พิจารณา ทางสนพ.Bที่รู้เรื่องว่านข.ส่งหลายที่พร้อมกัน จึงส่งแบล็กลิสไปยังสนพ.และเครือข่ายที่รู้จัก ส่งผลกระทบว่านข.คนนั้นมีสิทธิ์ไม่ถูกพิจารณางานในเรื่องต่อๆไป
เคยได้ยินมาว่าที่สนพ.ต้องทำอย่างนี้ เพราะกันพวกนักเขียนเก็บแต้ม ที่ทดลองส่งหลายๆ ที่ เพื่อดูว่างานเขามีค่าแค่ไหน
เราเคยโดนผู้ใหญ่ในวงการอื่นถามคำถามเดียว ไปต่อไม่ถูกเลยค่ะ สรุปโดยรวมประมาณว่า
มันดีต่อสนพ. แต่มันเอาเปรียบนักเขียนไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อสนพ.ใช้เวลาพิจารณาต้นฉบับขั้นต่ำสามเดือน แต่ก็มีนักเขียนหลายคนถูกดองนิยายเป็นปี โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้นฉบับตัวเองจะได้รับการตอบรับเมื่อไร ถ้าเขาปฏิเสธมาเราก็ต้องหาที่ใหม่ หาใหม่ไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จบที่นิยายไม่มีทางได้รับการตีพิมพ์ เพราะตกกระแส ถ้าเป็นสมัยก่อนไม่มีการตีพิมพ์ด้วยตนเอง นิยายเรื่องนั้นก็มีค่าเท่ากับศูนย์ ต่อให้เป็นปัจจุบันที่สามารถตีพิมพ์ได้ด้วยตนเอง การรอด้วยระยะเวลาขนาดนั้นยอดขายก็ตกลงเรื่อยๆทุกวัน ถ้าให้พูดคือระยะเวลาเหล่านั้นที่เสียไป ถือเป็นเงินเป็นทอง แทนที่นักเขียนจะส่งได้หลายๆ ที่พร้อมกัน กลับกลายเป็นว่าต้องมารอแล้วรอเล่า
แล้วมันเสียเปรียบกับสนพ.ไหม?
มันเป็นหน้าที่ของสนพ. ที่จะคัดเลือกต้นฉบับที่คุณภาพตรงกับความต้องการไม่ใช่เหรอ? ถ้าเขาทำงานเร็ว ตอบรับเร็ว เขาก็ได้ไป แต่ถ้ากรณีสนพ.ตอบรับ แล้วนข.ยื้อเวลาไว้เพื่อรอสนพ.อื่นนานเกินไป เท่ากับสนพ.ที่ตอบรับเสียเปรียบ เขาก็สามารถปฏิเสธไม่รับงานได้แล้ว อีกอย่างเวลาเราออกไปฝึกงาน เรายื่นเรื่องขอฝึกงานสมัครงานแค่ที่เดียวหรือไง? ก็ยื่นกันตั้งหลายที่ ถ้าตอบรับมาเกินหนึ่งที่ ก็ต้องปฏิเสธที่อื่นไป ที่ๆ โดนปฏิเสธเขาก็ไม่อะไร เขาก็สามารถไปเลือกคนอื่นขึ้นมาแทนได้ ขืนทุกคนยื่นขอฝึกงานสมัครงานได้ที่ละที่ มีหวังตกงานกันยาวแน่
เราเลยรู้สึกว่า เออ มันก็จริง คือเราเถียงเขาไม่ออก ไปต่อไม่ถูก เคยไปสัมภาษณ์นักเขียนมาหลายคน ก็ล้วนแต่บอกว่าเคยถูกสนพ.ปฏิเสธงาน แล้วก็ต้องยื่นที่อื่นไปเรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้
กฏนี้ตั้งมาเพื่ออะไร เพื่อไม่ให้สนพ.ถูกเอาเปรียบ แต่นักเขียนกลับเสียเปรียบแทน?
เราเข้าWorkshopมามาก ทั้งDek-d, ธัญวลัย, Fictionlog, TK Park หรือแม้แต่โครงการใหญ่ที่เราไม่อยากเอ่ยชื่อ เลยได้รู้อะไรมาหลายอย่าง ได้พูดคุยสัมภาษณ์กับนักเขียนมาหลายคนทั้งหน้าใหม่ทั้งมืออาชีพ มีหลายคนมากที่สนพ.ติดต่อไปเองและได้ตีพิมพ์เร็ว มีนข.หลายคนที่สนพ.เห็นว่าเป็นนข.เก่า เลยลัดคิวพิมพ์ให้แล้วดันนข.ใหม่ไปคิวท้ายๆ มีแม้กระทั่งสนพ.ที่ไม่เคยให้นิยายที่ส่งมาผ่านการพิจารณาเพราะไม่ถูกจริต
ในต่างประเทศนักเขียนคือนักเขียน นักเขียนไม่จำเป็นจะต้องมานั่งวิ่งเต้นหาสนพ. ไม่ต้องมานั่งตีพิมพ์เอง เขามีระบบเอเจนซี่ในวงการ เอเจนซี่จะทำหน้าที่ในการหาต้นฉบับที่ถูกจริตกับสนพ.ต่างๆ ไปยื่นให้สนพ.นั้นๆ และคอยดูแลนักเขียนดูแลสัญญา กันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ เอเจนซี่ถือเป็นตัวชนกับสนพ.มีอำนาจเหนือเลยก็ว่าได้ เนื่องจากสนพ.ไหนที่ทำผิดต่อนข. เช่น ดองงานเป็นปีๆ เบี้ยวเงิน ต่างๆ นานา จะถูกขึ้นแบล็กลิส ทางเอเจนซี่จะไม่ส่งต้นฉบับไปยังสนพ.นั้น ดูเป็นระบบที่เวริกนะคะ แต่ทางผู้ใหญ่ในวงการบอกว่ามันเกิดในไทยไม่ได้ เพราะสนพ.ไทยเปิดรับต้นฉบับเอง นข.สามารถยื่นเรื่องไปที่สนพ.ได้เลย ไม่มีใครอยากแบ่งเงินแบ่ง%ให้เอเจนซี่ค่ะ เพราะเงินที่ได้มาก็น้อยแสนน้อย สนพ.หลังหักค่าใช้จ่าย ค่าบก. พิสูจน์อักษร จัดหน้า โปรโมท ค่าปก ค่าวางร้าน ค่าลิขสิทธิ์นักเขียน ค่าตีพิมพ์ ทั้งหมดก็เหลือประมาณ10%เท่านักเขียนค่ะ ผลที่ได้ก็คือสถานการณ์ปัจจุบันที่นักเขียนถูกสนพ.บางสนพ.เบี้ยวเงิน นักเขียนหลายคนที่อายุน้อยๆ ก็ไม่กล้าไปยื่นเรื่องฟ้อง ต่อให้ยื่นเรื่อง มันก็ได้ไม่คุ้มเสีย มันเลยไม่เป็นประเด็นมาจนปัจจุบันนักไงคะ
ขอถามอีกครั้งนะคะ
การที่นักเขียนส่งนิยายเรื่องเดียวกันกับหลายสนพ.ถือเป็นการโจรกรรมด้านวรรณกรรมยังไงคะ?
ถ้ากรณีนำผลงานคนอื่นส่งก็ว่าไปอย่าง
อีกอย่างการจะตีพิมพ์สองสนพ.พร้อมกันเป็นไปได้ยาก วงการนี้แคบมาก ใครทำอะไรพวกผู้ใหญ่รู้หมด ขนาดเราอุบเงียบเรื่องตีพิมพ์กับสนพ.ไหนไว้ บก.สนพ.อื่นยังรู้เลยว่าเราตีกับที่ไหน
อย่างที่ว่าค่ะ วงการนี้มันแคบ ส่งแบล็กลิสทีรู้กันหมด ผลที่ได้คือ ถ้านักเขียนไม่อยากโดน ก็ต้องยอมทำตามกฏ ที่ทางวงการนิยายไทยตั้งขึ้น
ช่วยกรุณาใส่ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยนะคะ เพราะDek-Dถือเป็น Community Website มีคนติดตามมากมาย การใส่ข้อมูลที่ผิดเพี้ยน จะทำให้เกิดการเข้าใจผิด และเป็นปัญหาได้ภายหลัง
หากการส่งนิยายสองสนพ.เป็นการโจรกรรมทางวรรณกรรมจริง เราก็ต้องขออภัยในการเข้าใจผิดนี้ด้วยนะคะ :)
แก้ไขครั้งที่1 เพิ่มประโยคตกหล่น แก้ไขครั้งที่2 แก้คำผิด "หม =>ไหม
เพิ่มเติม
เอเจนซี่ยังช่วยสนพ.ทำหน้าที่ในการดูว่านิยายของนักเขียนคนอื่นๆ ละเมิดลิขสิทธิ์หรือก็อปงานที่สนพ.เผยแพร่หรือไม่ด้วยค่ะ อีกอย่างเป็นการลดเปอร์เซ็นการตีพิมพ์นิยายที่ก็อปปี้เรื่องอื่นมา
จากเอกสารอ้างอิงที่กระทู้นี้เอ่ย จากที่อ่านหัวข้อและอ่านคร่าวๆ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวกับวรรณกรรมที่ละเมิดลิขสิทธิ์นิยายเรื่องอื่น ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการส่งสนพ.สองที่เลยค่ะ
เอ่อ ทีมงานคะ การโจรกรรมผลงาน (plagiarism) นี่จะเกิดขึ้นเมื่อ A ลอก B ไม่ใช่เหรอ แล้วการส่งสองสนพ.คือ A คือคนแต่งทั้งสองอัน มันจะเรียกโจรกรรมยังไงเหรอคะ
เราว่าถ้าส่งสองสนพ. แล้วตีพิมพ์ชนกันนี่ ไม่ใช่โจรกรรมผลงานแล้วค่ะ เรียกละเมิดลิขสิทธิ์มากกว่าเพราะทั้งสองสนพ.คุยกับเจ้าของผลงานไม่เคลียร์
Plagiarism ไม่ใช่ Copyright นะคะ
แล้วแฟนฟิคล่ะครับ? ถือว่าเข้าข่ายกรณีลอกกันหรือเปล่า
สวัสดีค่ะ ได้ลองเข้าไปอ่านในลิงก์แล้วเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับ Self-plagiarism ค่ะ
ถ้าเป็นงานเขียนเซ็ตเดียวกัน ที่มีแกนเรื่อง โครงเรื่อง เนื้อหาสำคัญเหมือนกัน แต่เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนรายละเอียดแวดล้อม เช่น เปลี่ยนสถานการณ์ แต่ยังคงผลลัพธ์เดิมไว้ แบบนี้ถือเป็น Self-plagiarism ไหมคะ
แล้วถ้าเป็นการนำนิยายของตัวเองมาแต่งเป็นฟิค หรือเขียนใน AU อื่น จะถือเป็นการ Self-plagiarism ไหมคะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
พอดีเห็นงานในลักษณะนี้ค่อนข้างเยอะ แบบที่เป็นเรื่องสั้นเซ็ตเดียวกัน โดยคนเขียนคนเดียวกัน มีเนื้อหาเหมือนกัน แต่เปลี่ยนรายละเอียดปลีกย่อย เปลี่ยนชื่อเรื่อง เปลี่ยนชื่อตัวละคร แล้วก็ที่เขียนตอนพิเศษของนิยายตัวเองใน AU อื่น หรือสถานการณ์สมมติที่ไม่มีอยู่ในเรื่อง @-@
อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจ คือเราเคยเขียนฟิคเรื่องนึง พูดเลยว่าไม่ได้ลอกและไม่เคยอ่านฟิคของนักเขียนอีกคน แต่แฟนคลับดันมาถล่มเราเพียงแคลงตอน intro ไปตอนเดียว? คือแบบ T^T ว๊อทเดอะ พอไปดูคนเขียนอีกคนคือเขาเอาพล็อตมาจากหนังเรื่องนึง อ้าว นั่นเอาพล็อตมา แต่เราคิดเองนะจ๊ะ! TO^
ผ่านมา 8 ปี เพิ่งได้เห็นโพสต์นี้ค่ะ อย่างน้อยเราขอแสดงความเห็นไว้เผื่อจะมีใครผ่านมาอ่านแล้วกันนะคะ
ในฐานะที่เป็นนักวิจัย และเป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย พรบ.ลิขสิทธิ์ ในประเทศไทย ขอแจ้งว่า การโจรกรรมทางวรรณกรรมหรือการโจรกรรมทางวิชาการ (Plagiarism) ไม่ได้มีผลเท่ากับ การละเมิดลิขสิทธิ์วรรณ (Copyright infringement) เลยค่ะ เพราะในงานด้สนวิชาการ นักวิจัยจะรู้ว่าสิ่งที่คิดค้นขึ้นมานั้นมันคือของใหม่เสมอ เพราะกว่าจะได้รับการตีพิมพ์ ต้องผ่านการรีวิวการวิจัยมาอย่างยิ่วยวด แล้วกว่าจะเกิดผลงานวรรณกรรมทางวิชามาซักเรื่อง นักวิจัยต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ลงทุนทั้งทุนตัวเอง ทุนจากผู้สนับสนุนหลายแหล่ง ลงแรง เวลา เสียทรัพยากรเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ได้ก็คือองค์ความรู้ใหม่ที่ถูกเผยแพร่ในรูปแบบของวรรณกรรม
ดังนั้นงานยากของวรรณกรรมทางวิชาการจึงไม่ใช่ที่ตัววรรณกรรมเอง แต่มันคือองค์ความรู้ทุกอย่างที่อยู่ในนั้น การใช้หลัก Plagiarism จะเป็นการคุ้มครององค์ความรู้ที่เกิดจากการค้นคว้าโดยนักวิจัยค่ะ มันจึงจำเป็นต้องให้เครดิต หรือต้องขออนุญาตในการนำข้อมูลบางอย่างมาใช้ประกอบในงานใหม่ๆค่ะ จะเห็นได้ว่าเปเปอร์ทางวิชาการจะมี references มากมายแปะท้าย เพราะข้อมูลทุกอย่างที่เอามา ต้องมีที่มาที่ไป มีการให้เครดิตผู้คิดค้นหรือต้นฉบับชัดเจน
หลักการใช้ Plagiarism จึงเป็นที่ยอมรับกันให้ใช้ได้ในงานด้านวิชาการเท่านั้น เพราะคนที่ plagia ไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์นะคะ แต่เค้าจะเรียกว่าผิดจริยธรรมในฐานะนักวิจัย บทลงโทษก็จะไม่ใช่การแจ้งความจับปรับเหมือนกับบทลงโทษอาญา/แพ่ง ของการละเมิดลิขสิทธิ์เลยค่ะ แต่จะเป็นการถูกแบนในกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการ หน้าที่การงานในด้านวิชาการ บางที่ถึงขั้นไล่ออกค่ะ แต่ศาลทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ค่ะ
ในขณะที่การเขียนนิยายไม่เคยมีใครที่สามารถการันตีได้ว่า พล๊อต ฉาก กิมมิค หรือวิธีการวางเรื่องราวที่ตนเขียนขึ้นมานั้น ตัวเองเป็นผู้คิดค้นขึ้นคนแรกของไทย แม้คุณจะเป็นเจ้าของผลงานของคุณเองก็ตามค่ะ การเขียนนิยายใครจะเขียนก็ได้ เขียนจากประสบการณ์ของตัวเองได้หมด คิดเรื่องซ้ำไปซ้ำมา การรีเสิร์ชข้อมูลมาเขียนอย่างมากก็ทำเท่าที่แต่ละคนจะทำไหว ไม่มีอะไรผิดถูก ถ้าข้อมูลผิดก็โดนนักอ่านติ ไม่ได้ผิดจริยธรรมถึงขั้นโดนแบนขนาดนั้นค่ะ
นี่เป็นเหตุผลที่ การจะประเมินว่าละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่นั้น ไม่สามารถใช้หลักการของ Plagiarism มาคิดได้เลยค่ะ Plagiarism มันแค่วัดคำซ้ำ ความหมายซ้ำ บางทีใช้คำเหมือนกันมากมันก็นับแล้วค่ะ ในการตีพิมพ์งานวิจัยเค้ามีเปอร์เซ็นต์ในการยอมรับระดับของ Plagiarism อยู่ประมาณไม่เกิน 30% แต่ในส่วนของวรรณกรรมทั่วไป ต่อให้ plagia มากกว่า 50% ก็อาจจะไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์นะคะ
ผ่านมา 8 ปี เพิ่งได้เห็นโพสต์นี้ค่ะ อย่างน้อยเราขอแสดงความเห็นไว้เผื่อจะมีใครผ่านมาอ่านแล้วกันนะคะ
ในฐานะที่เป็นนักวิจัย และเป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย พรบ.ลิขสิทธิ์ ในประเทศไทย ขอแจ้งว่า การโจรกรรมทางวรรณกรรมหรือการโจรกรรมทางวิชาการ (Plagiarism) ไม่ได้มีผลเท่ากับ การละเมิดลิขสิทธิ์วรรณกรรม (Copyright infringement) เลยค่ะ เพราะในงานด้านวิชาการ นักวิจัยจะรู้ว่าสิ่งที่คิดค้นขึ้นมานั้นมันคือของใหม่เสมอ เพราะกว่าจะได้รับการตีพิมพ์ ต้องผ่านการรีวิวการวิจัยมาอย่างยิ่วยวด แล้วกว่าจะเกิดผลงานวรรณกรรมทางวิชาการมาซักเรื่อง นักวิจัยต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน ลงทุน ทั้งทุนตัวเอง ทุนจากผู้สนับสนุนหลายแหล่ง ลงแรง เวลา เสียทรัพยากรเป็นอย่างมาก และสิ่งที่ได้ก็คือองค์ความรู้ใหม่ที่ถูกเผยแพร่ในรูปแบบของวรรณกรรม
ดังนั้นงานยากของวรรณกรรมทางวิชาการจึงไม่ใช่ที่ตัววรรณกรรมเอง แต่มันคือองค์ความรู้ทุกอย่างที่อยู่ในนั้น การใช้หลัก Plagiarism จะเป็นการคุ้มครององค์ความรู้ที่เกิดจากการค้นคว้าโดยนักวิจัยค่ะ มันจึงจำเป็นต้องให้เครดิต หรือต้องขออนุญาตในการนำข้อมูลบางอย่างมาใช้ประกอบในงานตีพิมพ์ใหม่ ๆ ค่ะ จะเห็นได้ว่าเปเปอร์ทางวิชาการจะมี references มากมายแปะท้าย เพราะข้อมูลทุกอย่างที่เอามา ต้องมีที่มาที่ไป มีการให้เครดิตผู้คิดค้นหรือต้นฉบับชัดเจน เป็นความรู้ที่น่าเชื่อถือเพราะมีแหล่งอ้างอิงค่ะ
หลักการใช้ Plagiarism จึงเป็นที่ยอมรับกันให้ใช้ได้ในงานด้านวิชาการเท่านั้น เพราะคนที่ plagia ไม่ถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์นะคะ แต่เค้าจะเรียกว่าผิดจริยธรรมในฐานะนักวิจัย บทลงโทษก็จะไม่ใช่การแจ้งความจับปรับเหมือนกับบทลงโทษอาญา/แพ่ง ของการละเมิดลิขสิทธิ์เลยค่ะ แต่จะเป็นการถูกแบนในกลุ่มนักวิจัย นักวิชาการ หน้าที่การงานในด้านวิชาการ บางที่ถึงขั้นไล่ออกค่ะ แต่ศาลทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ค่ะ
ในขณะที่การเขียนนิยายไม่เคยมีใครที่สามารถการันตีได้ว่า พล๊อต ฉาก กิมมิค หรือวิธีการวางเรื่องราวที่ตนเขียนขึ้นมานั้น ตัวเองเป็นผู้คิดค้นขึ้นคนแรกของไทย แม้คุณจะเป็นเจ้าของผลงานของคุณเองก็ตามค่ะ การเขียนนิยายใครจะเขียนก็ได้ เขียนจากประสบการณ์ของตัวเองได้หมด คิดเรื่องซ้ำไปซ้ำมา การรีเสิร์ชข้อมูลมาเขียนอย่างมากก็ทำเท่าที่แต่ละคนจะทำไหว ไม่มีอะไรผิดถูก ถ้าข้อมูลผิดก็โดนนักอ่านติ ไม่ได้ผิดจริยธรรมถึงขั้นโดนแบนขนาดนั้นค่ะ
นี่เป็นเหตุผลที่ การจะประเมินว่าละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่นั้น ไม่สามารถใช้หลักการของ Plagiarism มาคิดได้เลยค่ะ Plagiarism มันแค่วัดคำซ้ำ ความหมายซ้ำ บางทีใช้คำเหมือนกันมากมันก็นับแล้วค่ะ ในการตีพิมพ์งานวิจัยเค้ามีเปอร์เซ็นต์ในการยอมรับระดับของ Plagiarism อยู่ประมาณไม่เกิน 30% แต่ในส่วนของวรรณกรรมทั่วไป ต่อให้ plagia มากกว่า 50% ก็อาจจะไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์นะคะ
อยากฝากไว้ให้พิจารณาในมุมของกฎหมายในประเทศไทยเราจริง ๆ เพราะอาชีพนักเขียนนิยายออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก และมีหลายเคสเหลือเกินที่ใช้ความเข้าใจผิดนี้ไปเรียกร้อง ละเมิดสิทธิ์กันเกินขอบเขตการคุ้มครองของกฎหมายลิขสิทธิ์ บางคนถึงขั้นโทษว่ากฎหมายไม่เข้าข้าง ทั้ง ๆ ที่หากพิจารณาให้ลึกแล้วกฎหมายลิขสิทธิ์ย่อมมีเหตุผลเพื่อคุ้มครองสิทธิ์ตามสมควรให้คนทุกคนได้ดำเนินอาชีพได้อย่างสุจริตและไม่เบียดเบียนกันจนเกินไปตามบริบทของประเทศเราค่ะ