วิจารณ์หนังสือ : 13 Reasons Why แน่ใจนะว่าพวกเขาคือสาเหตุที่ทำให้เธอตาย?


วิจารณ์หนังสือ :13 Rasons Why
แน่ใจนะว่าพวกเขาคือสาเหตุที่ทำให้เธอตาย?

 


สวัสดีชาวไรเตอร์ทุกคนค่ะ ยังคงร้อนแรงแข่งกับอากาศเมืองไทยนะคะ สำหรับ "13 Reason Why" หรือ "13 บันทึกลับหัวใจสลาย" ในเวอร์ชั่นภาษาไทย เพราะความฮอตฮิตของซีรี่ส์จนทำให้พี่ต้องไปหาหนังสือมาอ่าน แน่นอนว่าเมื่ออ่านจบก็อดไม่ได้ที่จะนำสิ่งที่ได้มาแบ่งปันให้น้องๆ ชาวเด็กดีได้อ่านกันค่ะ ซึ่งเมื่อครั้งก่อนพี่ก็ได้แบ่งปันออกมาในรูปแบบ "10 คำพูดเด็ดที่เป็นตัวขับเคลื่อน 13 Reasons Why" ครั้งนี้พี่ก็ทำออกมาในรูปแบบการวิจารณ์หนังสือ รับรองได้ว่าเด็ดดวงไม่แพ้กันค่ะ เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เลื่อนลงมาอ่านกันเลยดีกว่า ^__^


 


via Barnes & Noble

Thirteen Reasons Why

Jay Asher เขียน สำนักพิมพ์ Penguin


น้องๆ คะ นี่คือเรื่องราวของเด็กสาวที่ผู้โชคร้ายที่อยู่ๆ ก็ฆ่าตัวตาย พร้อมทั้งส่งเทปไปยังคน 12 คนเพื่อบอกถึงสาเหตุการตายของเธอ เนื้อเรื่องโทนมืดที่สะท้อนสังคมโรงเรียน การกลั่นแกล้ง และการคิดสั้นคือนิยามของหนังสือเล่มนี้ค่ะ แน่นอนว่ามันถูกแปลไปหลายภาษาทั่วโลก รวมทั้งภาษาไทยด้วย แต่เล่มที่พี่หยิบมาเป็นเวอร์ชั่นออริจินัล ภาษาอังกฤษค่ะ ดังนั้นอาจจะได้อรรถรสในการอ่านที่ค่อนข้างต่างจากเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยในบทความนี้พี่ได้แบ่งออกเป็น 3 หัวข้อหลักๆ คือ ตัวละครหลัก, พล็อต และสัญลักษณ์ในเรื่องค่ะ ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มที่หัวข้อเเรกกันดีกว่าเนอะ

 

วิเคราะห์ตัวละคร
 




 

เคลย์ เจนเซ่น

เคลย์จัดเป็นคนสำคัญของหนังสือและซีรี่ส์ เพราะเป็นทั้งพระเอก ผู้บรรยาย และไกด์ที่พาเราท่องไปในโลกอันแสนน่ากลัวในช่วงสุดท้ายของชีวิตฮันนาห์ เบเกอร์ เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของเรื่องนี้เกิดขึ้นในหัวของเคลย์ ผู้อ่านจึงสัมผัสคาแร็คเตอร์ของเขาได้อย่างชัดเจนและอินไปตามเขาด้วย เคลย์คิดอย่างไรเราก็จะคิดตามและเห็นภาพตามเคลย์เป็นหลักค่ะ 

ค้นหาความจริง

คำพูดของฮันนาห์ทำให้เคลย์ได้มองเห็นด้านมืดของเมืองและตัวละครต่างๆ อีก 11 คนที่เหลือในลิสต์รายชื่อ ซึ่งเคลย์เติบโตมาพร้อมกับคนเหล่านั้น แต่เขาเองไม่ได้รู้จักหรือเข้าใจทุกคนจริงๆ ขณะที่ฟังแต่ละเทป ตัวเคลย์เองมีปฏิกิริยาต่อเรื่องที่ได้ฟังแตกต่างกันไป เคลย์ได้รู้ว่า การค้นหาความจริงเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป การต้องมานั่งคิด มานั่งหาคำตอบว่า... คนพวกนั้นทำแบบนี้จริงหรือไม่ ส่งผลต่อเคลย์และทำให้เขาได้รู้ว่า แท้จริงแล้วโลกใบนี้ซับซ้อนกว่าที่เขาเคยคิดเคยฝันไว้ 

น่าแปลกและชวนคิด ที่เคลย์ไม่ใช่คนทำผิด แต่เขากลับต้องมาแบกรับภาระและรับรู้การกระทำของคนอื่นๆ ผลที่เกิดขึ้นคือเคลย์สนใจและใส่ใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น แต่มันกลับทำให้เขาสูญเสียความสุขและสายตาในการมองโลกไป อ่านมาถึงตรงนี้ ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า การค้นหาความจริง การขุดค้นหรือสืบให้ลึก อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีไปเสียทั้งหมด ความลับบางอย่างอาจเหมาะจะเป็นความลับไปตลอดกาลก็เป็นได้ แต่ก็นั่นแหละ พอจะเข้าใจได้ว่าผู้เขียนต้องการนำเสนออะไร และตัวละครอย่างเคลย์ก็นับเป็นตัวนำสารที่ดีที่สุด เพราะเขาเป็นผู้มองสถานการณ์อย่างเป็นกลางนั่นเอง  

  

เสียงของเคลย์

เคลย์เป็นคนเดียวในบรรดา 12 คนที่เราได้รับฟังเรื่องราวโดยตรง ซึ่งทางเทคนิคการเขียนเราเรียกว่าผู้บรรยายที่ไม่น่าเชื่อถือ เพราะว่าเล่าแค่มุมมองของเคลย์เพียงแค่มุมมองเดียว มีการใส่ความคิด ความรู้สึกมากกว่าข้อเท็จจริง ซึ่งต่างจากการบรรยายแบบใช้มุมมองพระเจ้า

การรับรู้เรื่องราวผ่านมุมมองของเคลย์ ถือว่าดีกว่าฟังจากมุมมองฮันนาห์ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย คิดง่ายๆ ถ้าหากเราเป็นคนที่ไม่รู้อะไรในเรื่องนี้เลย ถ้าฟังจากฮันนาห์ เราจะได้อารมณ์แบบเต็มๆๆๆๆ เพราะเธอเจ็บปวดและเดือดร้อน ส่วนเคลย์ เป็นกลางพอที่จะเล่าความจริงได้มากกว่า และถึงแม้เคลย์จะมีอารมณ์ร่วมมากเกินไปหน่อยในบางตอน แต่เขาก็ยังมีอารมณ์ที่มั่นคง และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่เริ่มต้นผ่านมุมมองที่ไม่เหมือนใคร เคลย์รู้จักฮันนาห์ แต่เราไม่รู้จัก ดังนั้นเขาจึงสามารถทำให้เราเข้าใจส่วนลึกของความรู้สึกฮันนาห์และเรื่องราวทั้งหลายได้ง่ายขึ้น

เราไม่แปลกใจที่เคลย์สงสัยไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮันนาห์เล่า อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังให้เกียรติและเคารพความปรารถนาสุดท้ายของเธอ บางครั้งผู้อ่านอย่างเราๆ ก็แอบลำไยหรือรู้สึกไม่ดีกับเด็กผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายอย่างฮันนาห์ แต่ท้ายสุด เคลย์ก็บอกเราว่าบนโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก และเพราะเคลย์นี่เอง ทำให้เราเข้าใจฮันนาห์ได้มากขึ้น 

ชื่อเสียงคือทุกอย่าง

เคลย์แตกต่างจากฮันนาห์ตรงที่เขามีชื่อเสียงในด้านบวก บริสุทธิ์ ไม่มีเรื่องด่างพร้อย ฮันนาห์ดึงดูดเคลย์เพราะเคลย์บริสุทธิ์แบบที่คนอื่นพูดถึงจริงๆ วิธีเดียวที่เคลย์สามารถรักษาชื่อเสียงไว้ได้ก็คือการมีสติและรู้จักเซฟตัวเอง ไม่ก่อดราม่าให้ชาวบ้านนินทาว่าร้าย เขามีวิธีรับมือกับความเสี่ยงด้วยการไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่มีความเสี่ยง เขาสนใจการเรียนมากกว่าปาร์ตี้ และไม่มีความสัมพันธ์อย่างเปิดเผยกับผู้หญิงที่มีข่าวลือด้านลบ เช่น ฮันนาห์ เบเกอร์

เคลย์ ผู้ชายแสนดี - แล้วดีจริงเหรอ?

จะเห็นได้ว่าสิ่งดีๆ ที่คนอื่นพูดถึงเคลย์เป็นเรื่องจริง เราสามารถสัมผัสความดีของเคลย์ได้ทั้งตอนที่เคลย์ยอมให้แม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือการไม่ปาหินใส่หน้าต่างของไทเลอร์ มันทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นทั้งในด้านของความคิดและจิตใจ อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อฮันนาห์ เขาทำดีต่อเธอ แชทกับเธอตอนที่ว่าง และให้เวลาเธอในตอนที่เธอต้องการ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่มีปาร์ตี้ เขาก็พร้อมจะยืนอยู่ข้างฮันนาห์แม้ว่าเธอจะมีข่าวลือเสียๆ หายๆ แต่ฮันนาห์กลับปฏิเสธและเคลย์เองก็ไม่สามารถหาวิธีเปิดประตูใจของเธอได้ 

ถึงแม้เคลย์จะแสนดี๊แสนดีและรู้สึกผิดต่อการกระทำของเขา แต่ท้ายสุดมันก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาไม่ยอมก้าวไปเปิดประตูใจของฮันนาห์ในตอนที่มีโอกาส ถ้าหากเขาทำอะไรมากกว่านี้ ช่วยเหลือฮันนาห์ด้วยทัศนคติ การมองโลก และความแสนดีของเขาไว้ ทุกอย่างจะจบลงแบบเดิมหรือเปล่า? แต่ก็นั่นแหละ ถ้ามองอย่างชอบธรรม บางทีเคลย์อาจไม่จำเป็นต้องช่วยฮันนาห์ก็ได้ เพราะเขาเองก็มีสิทธิ์จะเลือกทางเดินของตัวเอง ใช่หรือไม่...? 

บทเรียนของเคลย์

ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดจะลงเอยแบบไหนอย่างไร แต่ท้ายที่สุด เคลย์ก็ได้รับบทเรียนของเขาเอง ในตอนจบของหนังสือเล่มนี้ เคลย์ได้พาตัวเองเข้าไปอยู่ในความเสี่ยงต่อชื่อเสียงของเขาด้วยการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับสกาย มิลเลอร์ คนที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะฆ่าตัวตาย ถึงแม้จะค่อนข้างยาก แต่เขาก็ได้นำประสบการณ์อันน่าเศร้าของฮันนาห์มาช่วยเหลือผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนได้สรุปเอาไว้ค่ะ แต่จะดีหรือไม่ดี เราคงไม่อาจตอบคำถามนี้ได้ เพราะคนแต่ละคนก็มีทางเลือกที่ไม่เหมือนกัน ขนาดเรื่องง่ายๆ ในชีวิตเรายังเลือกแล้วเลือกอีก คิดมากแล้วมากอีก จริงมั้ย


 



 

ฮันนาห์ เบเกอร์

พี่น้ำผึ้งรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฮันนาห์ตอนที่อ่านข้อความสุดท้ายของเธอซึ่งถูกบันทึกไว้ในเทปคาสเซ็ตทั้ง 7 ตลับก่อนที่เธอจะจบชีวิตลงเลยล่ะค่ะ (และได้ยินจริงๆ ในซีรี่ส์) แม้ว่าตัวละครตัวนี้จะทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ รู้สึกว่าช่วยอะไรได้ แต่เราก็สามารถทำความเข้าใจความรู้สึกของเธอ โดยเฉพาะในตอนที่ได้อ่านเรื่องราวทั้งหมดของเธอ มันเหมือนบันทึกของคนคนหนึ่ง ที่ต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้าย และไม่อาจก้าวข้ามผ่านมันไปได้... ซึ่งไม่แปลกอะไร ในสังคมเรามีเรื่องแบบนี้อยู่เสมอค่ะ 

เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?

ฮันนาห์คือเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอชอบลูกอม ช็อกโกแลตร้อน ยาทาเล็บสีน้ำเงิน การทำแบบสอบถาม การอ่านและเขียนบทกวี และลึกๆ แล้วเธอก็ต้องการความรักและความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เธอฉลาด มีเสน่ห์ และเฟรนด์ลี่ ในเมื่อเธอดูออกจะเป็นสาวน้อยแสนเพอร์เฟคท์ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะ? ทำไมชีวิตมัธยมปลายอันแสนหอมหวานกลับกลายเป็นฝันร้าย?

นั่นเป็นสิ่งที่เทปได้บอกเอาไว้ผ่านการเล่าเรื่องของเธอ ซึ่งเคลย์ เจนเซ่นได้ทำให้เรารู้จักเธอมากขึ้น เราได้ฟังเรื่องราวชีวิตของฮันนาห์ที่หมดหวังและถูกรังแกอยู่เสมอ มันทำให้นักอ่านลืมไปว่าเธอไม่ใช่คนแบบนี้เสมอไปหรอกค่ะ ในตอนจบของเรื่อง เราได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ แต่เราก็ยังไม่รู้จักเธอจริงๆ อยู่ดี เราไม่มีทางรู้เลยว่าเธอเคยเป็นยังไงก่อนที่ 13 เรื่องเลวร้ายจะเกิดขึ้นกับเธอ และแน่นอนค่ะ เราไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกและเป็นอย่างไรถ้าเธอได้รับความช่วยเหลือ เราไม่มีทางรู้เลย เสน่ห์ของหนังสือเรื่องนี้คือสิ่งนั้น “ความไม่รู้” นั่นเอง ในภาษาอังกฤษเขาใช้คำว่า ‘What if?’ ก็นั่นสิ ถ้าเราเลือกทำอีกทาง ผลจะลงเอยแบบไหนอย่างไร ไม่มีทางรู้ได้เลยจริงๆ 

13 ตลับ 13 บาป?

การอัดเทปตั้ง 13 อันไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่ใครก็ทำได้ ยิ่งการเล่าเรื่องให้ต่อเนื่องนั้นยิ่งยากเข้าไปอีก แถมยังยุ่งยากพอสมควรด้วย แผนการของฮันนาห์ดำเนินไปอย่างละเอียดรอบคอบ เธอมอบแผนที่ติดดาวให้กับคนฟังเพื่อให้เขาได้ไปยังที่ต่างๆ ตามเหตุการณ์ที่เธอเล่า ถ้าจะบอกว่าฮันนาห์สามารถโน้มน้าวจิตใจคนอื่นให้คล้อยตามได้ก็คงไม่ผิดนัก มันอาจจะฟังดูแง่ลบไปหน่อยนะคะ แต่ก็อย่างที่เคลย์บอก เราจะโกรธหรือจะว่าฮันนาห์ก็ได้ แต่ยังไงก็ควรให้เกียรติและนับถือเธอในฐานะเพื่อนมนุษย์ 
 
ถ้าลองมองดีๆ จะเห็นได้ว่าแผนการของฮันนาห์ไม่ได้มอบสิ่งดีๆ ให้เธอเลย เธอไม่ได้ใช้เทปเพื่อสะท้อนตัวเองและหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่กลับพยายามดึงให้ผู้ฟังเข้าร่วมกับความรู้สึกลบๆ ของเธอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกยังไงตอนที่กลายเป็นข่าวลือ ตอนที่ใครๆ ก็พากันพูดถึงเธอ จากการอ่าน ทำให้เรารู้สึกว่า... ฮันนาห์ไม่ได้ต้องการทำความเข้าใจคนอื่น แต่ต้องการสะท้อนความคิดของเธอให้คนอื่นฟัง และเธอต้องการตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่ออะไร...? เธอเองก็ไม่รู้ 
 
คำถามก็คือ... ปัญหาทั้งหมดที่ฮันนาห์พูดถึงมันแก้ไขไม่ได้จริงๆ เหรอ อ่านถึงตรงนี้ นักอ่านอย่างเราต้องตั้งคำถามสำคัญเลยว่า ถ้าเราเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราจะทำแบบฮันนาห์ไหม หรือเราจะใช้วิธีอื่น มองหาทางอื่นเพื่อหาทางให้ทุกอย่างจบลงในอีกแบบหนึ่ง...
 
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฮันนาห์จะวางแผนไว้อย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนสองมาตรฐาน (หรืออีกคำหนึ่งคือเลือกปฏิบัติ) เช่น ฮันนาห์เผยชื่ออาชญากรที่ถูกกล่าวหาอย่างเจนนี่ เคิทซ์ แต่กลับไม่ยอมบอกชื่อของไบรซ์ วอล์กเกอร์ ตรงๆ ทั้งๆ ที่เขาทำเรื่องเลวร้ายกับเธอไว้มากกว่าอีก นอกจากนี้เธอยังข่มขู่ผู้ฟังว่าถ้าไม่ยอมทำตามที่เธอบอก เทปพวกนี้จะทำให้รู้สึกสิ้นหวัง สัมผัสได้ถึงความโกรธและความวุ่นวายในชีวิตของเธอ มันจะกลายเป็นตราบาปที่ติดตัวตลอดชีวิต เพราะเราไม่สามารถช่วยเหลือฮันนาห์ได้เลย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฮันนาห์ก็คือมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ที่มีทั้งความดีและความเลว การอ่านหนังสือเรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจตัวตนของเธอได้มากขึ้นจริงๆ เมื่อเรามองดูเธอ เราเห็นมนุษย์คนหนึ่ง และหลายครั้ง เราเห็นตัวเองในนั้น...  

คณะลูกขุนของเหล่าจำเลย

แม้ว่าฮันนาห์จะเล่าเรื่องทั้งหมด 13 เรื่อง แต่ในลิสต์มีเพียง 12 คนเท่านั้น (เพราะเธอเล่าเรื่องของจัสตินไป 2 ตอน) ดังนั้นถ้าหากพูดในแง่ของกฎหมาย มันก็จะต้องมีคณะลูกขุนอย่างน้อย 12 คน ซึ่งก็คงจัดเป็นคณะลูกขุนที่แย่มาก เพราะบรรดาลูกขุนเหล่านั้นเผยแพร่และเชื่อถือข่าวลือเกี่ยวกับฮันนาห์ แต่ไม่พยายามที่จะยอมรับหลักฐานของเธอ พวกเขาไม่ให้โอกาสเธอได้พูดความจริงเลย

ถึงฮันนาห์จะได้แก้แค้นพวกเขาแล้วก็จริง แต่เธอก็กำลังกล่าวหาว่าเขาเป็นอาชญากรร้ายแรงและสมควรได้รับบทลงโทษเช่นกัน คนส่วนใหญ่ใน 12 คนนี้มีชีวิตที่ลำบากขึ้นหลังจากได้ฟังเทปของฮันนาห์ แต่มันก็ยังมีข้อแตกต่างเพียงข้อเดียวคือพวกเขาไม่ได้ตายและอาจถูกละเว้นโทษจากคณะลูกขุนถ้าหากมีการดำเนินคดี

จะดีมั้ยถ้าเราไม่ชอบฮันนาห์?

พี่น้ำผึ้งคิดว่าเป็นคำถามที่ยากพอสมควรเลยล่ะค่ะ แต่ก็เป็นการวิเคราะห์ที่สำคัญและน่าสนใจ ก่อนอื่นน้องๆ ต้องถามตัวเองว่า สำหรับเราแล้ว ฮันนาห์เป็นตัวละครที่ชอบมั้ย? เราเห็นด้วยกับเธอมั้ย? เธอสมควรถูกกล่าวหาแบบนั้นมั้ย? มันยุติธรรมมั้ยที่เธออัดเทปแบบนั้น? มันเป็นเรื่องยากนะคะที่จะอธิบายได้เป็นฉากๆ โดยไม่ต้องคิดแล้วคิดอีก แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เคยมีใครบอกว่าหนังสือเล่มนี้เข้าใจง่าย
 

12 คนบาป

เราไม่สามารถมองเห็นคาแรกเตอร์ที่แท้จริงของฮันนาห์ผ่านมุมมองของคนอื่นได้ชัดเจน จริงๆ แล้วมันสำคัญมากที่จะต้องนึกถึงบริบทความสัมพันธ์ของฮันนาห์กับคนทั้ง 12 คนในลิสต์ พูดง่ายๆ นักเขียนเล่าตัวตนของฮันนาห์ผ่านความสัมพันธ์ที่เธอมีต่อคนทั้ง 12 คนในเทป ถ้าอยากรู้จักฮันนาห์ เราก็ต้องทำความเข้าใจเธอผ่าน 12 คนบาปนี้ค่ะ 


ถ้าเพียงแต่เคลย์กล้าเปิดประตูหัวใจของเธอ...

 

พล็อต

การเขียนนิยายหรือเรื่องสักเรื่องให้ดีจะต้องมีส่วนผสมที่ลงตัว ได้แก่ จุดเริ่มต้น ความขัดแย้ง ความซับซ้อน จุดไคลแม็กซ์ ความน่าสนใจ ก่อนสรุป และบทสรุป ถ้าเทียบนักเขียนเป็นเชฟแล้วล่ะก็ นักเขียนที่ดีจะต้องมีการปรับเปลี่ยนสูตร เขย่าส่วนผสม และเพิ่มเครื่องปรุงลงไปให้กลมกล่อมใช่มั้ยล่ะคะ
 

จุดเริ่มต้น : บันทึกเสียงก่อนจบชีวิต

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเคลย์ เจนเซ่นได้รับพัสดุเป็นเทป 7 ตลับที่ฮันนาห์ เบเกอร์ เด็กสาวที่ฆ่าตัวตายได้บันทึกไว้ โดยรวมแล้วหนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยความซับซ้อน เรื่องราวอันแสนเศร้า และบาดแผลทางอารมณ์ ระหว่างที่อ่านอารมณ์ของเราขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา อยากรู้อยากเห็น เหมือนจะเข้าใจ เกือบจะเข้าใจ และเกือบจะไม่เข้าใจ อารมณ์มันปนๆ กันดีเหลือเกิน 

ความขัดแย้ง : สิ่งที่เคลย์ไม่ควรได้รับ

ตามที่ฮันนาห์บอกว่า 12 คนในเทปเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าตัวตาย ความจริงแล้ว เคลย์เองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่สิ่งที่เราแปลกใจคือ ทำไมฮันนาห์เลือกเคลย์ เธอต้องการให้เขารับรู้เรื่องนี้เพราะอะไร เพราะรักเขาหรือ...? หรือแท้จริงเธอเกลียดเขา หรือเธอก็แค่อยากระบาย มันคือคำถามที่เราไม่รู้คำตอบได้เลย 

ความซับซ้อน : หรือเป็นเขา?

หลังจากที่เคลย์ได้รับเทปและฟังจนจบ ฮันนาห์บอกว่าเธอไม่ได้กล่าวหาว่าเขาทำให้เธอฆ่าตัวตาย แต่เคลย์ทำให้เธอตระหนักว่าแม้เขาจะไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ กับเธอ แต่เขาก็ปล่อยให้ข่าวลือเกี่ยวกับเธอมาอยู่ในความสัมพันธ์ของทั้งสอง ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น มันอาจจะเปลี่ยนจุดจบของฮันนาห์ก็ได้ ความคิดนี้ทำให้มุมมองชีวิตของเคลย์ดูซับซ้อน ความไม่คิดอะไรของเขาได้เปลี่ยนไปหลังจากฟังเทปนี้ล่ะค่ะ

หลังจากที่เคลย์ได้รับเทปและฟังจนจบ ฮันนาห์บอกว่าเธอไม่ได้กล่าวหาว่าเขาทำให้เธอฆ่าตัวตาย แต่เคลย์ทำให้เธอตระหนักว่าแม้เขาจะไม่เคยทำเรื่องแย่ๆ กับเธอ แต่เขาก็ปล่อยให้ข่าวลือเกี่ยวกับเธอ และทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ซับซ้อนและสับสน ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น มันอาจจะเปลี่ยนจุดจบของฮันนาห์ก็ได้ และนี่แหละค่ะ จุดพีค ถ้าหากเราเป็นเคลย์ เราจะรู้สึกอย่างไร การถูกกล่าวหาแบบนี้ มันต้องกระทบต่อใจไม่น้อย แม้เราจะบอกว่าตัวเองเข้มแข็งมากเพียงใด แต่ถ้าหากเราโดนต่อว่าซึ่งๆ หน้าว่า ‘น่าจะ’ เป็นสาเหตุที่ทำให้ใครคนหนึ่งต้องฆ่าตัวตาย มันจะเป็นอย่างไร เคลย์จะต้องโทษตัวเองหรือไม่ และเขาจะอยู่ในสภาพเช่นใด 
จุดไคลแมกซ์ : อารมณ์
หลังจากฮันนาห์ตาย ส่งผลต่อเคลย์อย่างหนัก เขาสับสน และโกรธที่ไม่สามารถหยุดยั้งมันไว้ได้ ทุกอารมณ์ที่ก่อตัวขึ้นมาเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ระเบิดและต้องได้รับการปลดปล่อย นั่นล่ะค่ะจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องนี้ แม้เคลย์จะรู้ว่า ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของฮันนาห์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง นั่นแหละค่ะ ไคลแม็กซ์ ความซับซ้อนทางอารมณ์ที่ไม่มีคำตอบ นักเขียนทำให้เราสัมผัสอารมณ์ตรงนี้ได้ดีมากๆ 
  

ก่อนสรุป : Back to School

หลังจากฟังเทปจนจบ เคลย์ตัดสินใจกลับสู่ชีวิตจริงในโรงเรียนต่อไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องเสี่ยงที่ต้องเผชิญหน้ากับอีก 11 คนในลิสต์ รวมไปถึงครูพอร์เตอร์ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไปให้ได้ แม้จะเป็นเรื่องยากก็ตาม

บทสรุป : ชีวิตต้องก้าวต่อไป

บทสรุปของเล่มนี้ เราได้มองเห็นการเคลื่อนไหวของตัวละครอย่างแท้จริงค่ะ เคลย์ได้รับผลกระทบจากเทปของฮันนาห์อย่างมาก แต่แทนที่เขาจะหมกมุ่นและวิตกกังวลกับมัน เขากลับเลือกที่จะละทิ้งความหวาดกลัวและมอบความช่วยเหลือด้วยการใช้ประสบการณ์จากเรื่องราวของฮันนาห์ให้แก่สกาย มิลเลอร์ ซึ่งอาจจะฆ่าตัวตายได้ ซึ่งนักอ่านไม่รู้หรอกค่ะว่าเรื่องมันเป็นมายังไง (เพราะเราได้ยินแค่เขาพูดชื่อสกายเท่านั้น) แต่ก็กลายเป็นบทสรุปอันน่ายินดีที่การตายของฮันนาห์ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว มันยังคงส่งผลต่อกระบวนการคิดของคนคนหนึ่งและกลายเป็นบทเรียนในการใช้ชีวิตให้กับเขาคนนั้นด้วย 


 



 

สัญลักษณ์และการอุปมาอุปไมย

เล็บสีน้ำเงิน

เทปของฮันนาห์ถูกเขียนหมายเลขด้วยยาทาเล็บสีน้ำเงิน และเธอก็ยังทาเล็บสีน้ำเงินในครั้งสุดท้ายที่เคลย์เห็น ในวันสุดท้ายของชีวิตเธอ เคลย์จำได้ว่า “เราเกือบจะชนกัน แต่เธอหลุบตาลงทำให้ไม่รู้ว่าเป็นฉัน และเราก็พูดพร้อมกันว่าขอโทษ... สิ่งที่ฉายในแววตาของเธอมันคืออะไรกัน? ความโศกเศร้า? บาดแผล? เธอเดินผ่านไปและปัดเส้นผมออกจากใบหน้า เล็บของเธอเป็นสีน้ำเงินเข้ม”

เคลย์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบฮันนาห์ ซึ่งในตอนนั้นเธอได้จัดการอัดเสียงลงในเทปและส่งไปให้จัสติน โฟเลย์ แม้เธอจะรับรู้ถึงความรู้สึกที่เคลย์มีให้ แต่ดูเหมือนว่าเธอได้ตัดสินใจแล้วตั้งแต่เขียนหมายเลขลงบนเทปด้วยสีทาเล็บสีน้ำเงิน และเธอก็ทามันในวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นสัญลักษณ์ของการตัดสินใจจบชีวิตโดยการฆ่าตัวตายของเธอ

ยาทาเล็บอาจเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นสาวหวานสุดโรแมนติกของฮันนาห์อีกด้วย เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่อยากจะทาเล็บ แต่งตัวแต่งหน้า และมีประสบการณ์ความรักหวานชื่นแบบวัยรุ่นคนอื่นๆ แต่หลังจากเหตุการณ์เลวร้าย หัวใจและความเป็นตัวเองของฮันนาห์ก็กลายเป็นสีน้ำเงิน สีของความโศกเศร้าและหัวใจที่สลาย

เธอคือวาเลนไทน์ของฉัน

ในวันวาเลนไทน์ ใครหลายคนก็คงแอบหวังว่าจะได้ดอกไม้ ช็อกโกแลตจากคนที่ชอบ หรือมีคนมาบอกรัก? แต่พอสิ่งที่เราวาดฝันไว้ดันไม่เกิดขึ้นจริง รอจนพ้นวันก็ครองคานเหมือนเดิมก็คงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย หรือต่อให้ไม่หวังอะไร แต่อย่างน้อยเราก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น และเรื่องเลวร้ายที่สุดของวาเลนไทน์ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความรัก

สำหรับฮันนาห์ “เธอคือวันวาเลนไทน์ของฉัน” ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ที่เต็มไปด้วยเรื่องแย่ๆ เธอได้รับบทเรียนจากการเชื่อมั่นและพยายามวิ่งตามความรักมากเกินไป เธอแขวนหัวใจไว้บนเส้นด้ายจนแทบจะหล่นลงเหว แตกต่างจากในมุมของเคลย์ เขารู้สึกว่าวาเลนไทน์เป็นโอกาสที่จะเชื่อมสัมพันธ์กับฮันนาห์ก็จริง แต่ก็เป็นวันตลกๆ มีจุดประสงค์เพื่อความสนุกสนานบันเทิงเท่านั้น ตอนที่พูดถึงหญิงสาวในอุดมคติ เคลย์ไม่ได้เอ่ยชื่อฮันนาห์เลยสักนิด

แต่เมื่อเคลย์ได้ฟังเทป เขาถึงได้รู้ว่าฮันนาห์หมายถึงเขา ถ้าตอนนั้นเคลย์จริงจังขึ้นสักนิด มันก็อาจจะเปลี่ยนเรื่องราวได้ เคลย์คิดว่า “ถ้าฉันฉลาด ถ้าฉันซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าฉันจะพูดถึงฮันนาห์สักนิด ถ้าเป็นแบบนั้นเราอาจจะได้พูดคุยกัน พูดคุยอย่างจริงจัง” นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่เคลย์พลาดโอกาสทองไปอย่างฉิวเฉียด จนกระทั่งได้ฟังเทปของฮันนาห์นั่นล่ะถึงได้มองวาเลนไทน์ในมุมใหม่ วาเลนไทน์กลายเป็นต้นเหตุและสัญลักษณ์สำคัญของความสัมพันธ์ที่สวนทางของฮันนาห์และเคลย์ค่ะ 

เเผลเป็นที่ยังไม่หาย

รอยแผลเป็นของฮันนาห์ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงรอยรูปสายฟ้าบนหน้าผากหรอกนะคะ (อันนั้นมันแฮร์รี่ พอตเตอร์) แต่มันคือแผลเป็นข้างในจิตใจต่างหาก แผลนี้เกิดจากอารมณ์และเรื่องราวเลวร้ายต่างๆ ที่เธอพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจสสิกาตบฮันนาห์เพราะคิดว่าฮันนาห์แย่งแฟนเธอไป มิตรภาพของทั้งคู่จึงจบลง มันไม่ได้เจ็บที่หน้าอย่างเดียว แต่มันเจ็บที่ใจด้วย ไหนจะเรื่องนู่นนั่นนี่ที่เกิดในชีวิต มันส่งผลต่อจิตใจ ทำให้เธอไม่อาจก้าวข้ามผ่านความเจ็บปวดเหล่านี้ไปได้ แผลของฮันนาห์เป็นเรื่องน่าสนใจค่ะ ในชีวิตเชื่อว่าเราหลายๆ คนต้องเคยเจอเรื่องเลวร้ายกันทุกคน ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะใส่ใจกับแผลเป็นเหล่านั้นมากมายเพียงใด บางที เราอาจต้องเลือกที่จะมองผ่านมันไปบ้างก็ได้ เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและไม่เจ็บปวดมากจนเกินไป 

โรเมโอกับจูเลียต, เคลย์กับฮันนาห์

ตอนต้นเทป ฮันนาห์เปรียบเทียบว่าเคลย์คือโรเมโอของเธอ เธอเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าเคลย์จะเปลี่ยนชีวิตของเธอได้ อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าโชคดีที่เคลย์ไม่ได้เป็นแบบโรเมโอที่ฆ่าตัวตายตามคนรักของตัวเองไป เห็นได้ชัดว่าเจย์ แอชเชอร์ ผู้เขียน 13 บันทึกลับหัวใจสลายก็ได้ใช้แนวคิดหลักเป็นเรื่องของการฆ่าตัวตายและรักแท้แบบในโรเมโอกับจูเลียต

จูเลียตฆ่าตัวตายเพราะเธอไม่สามารถอยู่กับรักแท้ของเธอได้ แต่ในเรื่องนี้ เคลย์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของฮันนาห์มากกว่าที่เราคิดไว้ตอนแรกหรือไม่? ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องคิดหรอกค่ะ การอยู่โดยปราศจากความรักดูเหมือนจะตรงกับชีวิตของฮันนาห์มากกว่า เพราะนอกจากเคลย์ เธอก็ไม่เคยได้รับความรักจากครอบครัว เพื่อน หรือใครอีกเลย น่าเศร้าจริงๆ ค่ะ ในขณะที่เคลย์นั้นตรงกันข้าม แม้ไม่มีความรักแต่เขาก็ยังอยู่ได้ คนสองคนที่แตกต่างกัน คนหนึ่งใช้อารมณ์มากกว่า อีกคนใช้เหตุผล เป็นการเปรียบเทียบที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ

โรเมโอกับจูเลียต 

ไม่ว่าอะไรจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ฮันนาห์ฆ่าตัวตาย สิ่งสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ก็คือมันสะท้อนภาพสังคมวัยรุ่นอเมริกันยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าซีรี่ส์ชุดนี้ (หรือนิยายเรื่องนี้) กำลังแสดงภาพสังคมวัยรุ่นอเมริกันในแบบที่หนังหรือนิยายเรื่องไหนก็ทำเหมือนกัน คือ
 
- โรงเรียนมีการแบ่งชนชั้น เด็กป๊อบไม่ใช่เด็กที่เรียนเก่ง แต่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน
- สำหรับเด็กป๊อบฝั่งผู้หญิงก็คือ เชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งสุดท้ายก็ต้องคบกับนักกีฬาของโรงเรียน
- ส่วนพวกที่ไม่ป๊อบก็คือเด็กเนิร์ด หรือพวกที่เรียนเก่งมาก เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่ชอบเข้าสังคม
 
แน่นอนว่าด้วยความที่เด็กป๊อบพวกมาก ก็อาจจะทำให้ฮึกเหิม จนลามไปสู่การล้อเลียน หรือกลั่นแกล้งเด็กกลุ่มอื่นที่ไม่ได้เป็นที่รู้จัก บ้านไม่ได้รวย อะไรแบบนี้ 
 
แต่สิ่งที่น่าสนใจของหนังสือเรื่องนี้ก็คือ การนำเสนอปัญหาวัยรุ่นแบบครบวงจรกล่าวคือ หนังสือเรื่องนี้นำเสนอปัญหาเรื่องการกลั่นแกล้งนี้แบบครบทุกด้าน เพราะการแกล้งกันมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องระหว่างคนแกล้งกับคนถูกแกล้ง แต่มีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตั้งแต่คนถูกแกล้ง คนแกล้ง ครูอาจารย์ที่เพิกเฉยต่อปัญหา ผู้ปกครองของเด็กทั้งสองฝ่ายที่สร้างปมบางอย่างให้ลูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่คนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ และไม่เข้าไปช่วย ทุกอย่างเกี่ยวพันกันหมด อ่านจบ มันทำให้เราอดหวนคิดไม่ได้ว่า ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น เราเคยได้มีส่วนร่วมในกระบวนการกลั่นแกล้งนี้บ้างไหม และถ้ามี... เราคือใคร...??? และสิ่งที่เราเคยทำนั้นได้สร้างแผลใจหรือส่งผลกระทบต่อใครบ้างหรือเปล่า
นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่เราต้องถามตัวเอง...  
 

การอยู่โดยปราศจากความรักดูเหมือนจะตรงกับชีวิตฮันนาห์มากกว่า

 
ป็นอย่างไรบ้างคะกับบทวิเคราะห์ผลงานเรื่องนี้ ต้องขอโทษสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูซีรี่ส์หรืออ่านนิยายมาก่อนนะคะ อาจมีสปอยล์อยู่ในบางจุดของเรื่อง อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจมองว่า 12คนนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ฮันนาห์ฆ่าตัวตาย แต่สำหรับพี่น้ำผึ้ง... พี่มองว่าสาเหตุหลักเลยคือการที่เธอไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และความคิดตัวเองจนก่อให้เกิดการฆ่าตัวตาย อย่าลืมว่าคนที่กำหนดชีวิตเรา คือตัวเรา ไม่ใช่คนรอบข้างค่ะ เราต้องรับผิดชอบชีวิตของเราเอง แล้วน้องๆ  ล่ะคะ คิดเห็นยังไงอย่าลืมบอกเล่าให้พี่ฟังได้ รออ่านความเห็นน้องๆ อยู่ค่ะ 


พี่น้ำผึ้ง :)

ขอบคุณรูปภาพจาก
Netflix

ขอบคุณข้อมูลจาก 
http://www.shmoop.com
https://www.washingtonpost.com
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

kkfg 21 พ.ค. 60 19:57 น. 4

ไม่มีสติ? ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์?


คนที่วางแผนการตายของตัวเองเป็นขั้นเป็นตอาขนาดนั้นคือไม่มีสติ? นางมีสติค่ะ แต่นางเลือกที่จะทำแบบนั้น


ถ้าสภาพจิตใจคุณยับเยินมากๆเหมือนแก้วร้าว แค่จับนิดเดียวก็แตกได้แล้ว ลองไล่ลำดับสิ่งที่เธอเจอนะ จัสตินพูด อเล็กพูด เพื่อนทิ้งไม่มีใครคบ คอร์ทนี่ซ่ำอีก ทุกคนเชื่อว่านางแรด ผู้ชายมองหยาบคายและลวนลาม เข้าหาเพราะคิดแต่เซ็ก ผู้หญิงนินทารังเกียจ พระเอกเองที่รร.ก็ยังไม่อยากคุยด้วย ต้องเจอทั้งหมดหนึ่งเทอมเต็มๆ คุณคิดว่าเทอมสองเธอจะสตรองได้แค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา

0
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

เบื่อเบื่อมอนจา 19 พ.ค. 60 21:44 น. 1

เรื่องมันเริ่มต้นที่จิสตินเป็นคนแรกเลย จะบอกว่าดูเรื่องนี้เราเข้าใจที่ฮันนาเล่าทุกอย่าง เราเข้าใจฮันนานะ ฮันนาดูเหมือนเราและวัยรุ่นหลายๆคนที่แบบ... คือคนทำซีรีย์นี้ฉลาดดี ตัวละครมีอารมณ์เหมือนวัยรุ่นบนโลกนี้จริงๆ คือบางครั้งเราก็งงๆ โง่ๆ เพ้อๆ ปากไม่ตรงกับใจ นู่นนี่นั่น บางทีเราก็รำคาญฮันนานะ ฮันนาดูน่ารำคาญบางครั้ง(เหมือนเราเลย) คือมันเป็นซีรีย์ที่ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกจริงๆ อารมณ์มันเรียลมาก แตกต่างจากหนังทั่วไป แต่คือเราไม่เคยเรียนการแสดง ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าไง


เราเข้าใจว่าทำไมฮันนาถึงตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ...วิธีที่ดีที่สุดก็คือ เธอควรจะเล่นงาน-พวกที่ปล่อยภาพทันที เอาให้หนักๆ ฟ้องร้องไปเลย หมิ่นประมาทนู่นนี่

...แต่ถ้าเหตุการณ์มันยาวนานถึงขั้นนี้เราก็ไม่รู้จะทำยังไงและคงจบชีวิตเหมือนฮันนา เพราะเหมือนไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ฮันนาเองก็หาโอกาศเริ่มต้นใหม่หลายครั้ง พยายามมีเพื่อนใหม่ ...เธอโดนแกล้งหลายครั้ง แล้วครั้งสุดท้ายที่โดนพีคสุดๆ จะให้แบบ อยู่ในไฮสคูลต่อไปแบบนั้นอ่านะ ต่อไป-ตัวใหญ่คงพูดว่าได้ลองฮันนาแล้วแหงๆ แล้วถ้าให้ฟ้องครู เหมือนแบบ ให้ไปฟ้องว่าเราโดน-บอลห้อง3 ...เมื่อวานนี้ค่ะครู แล้วร้องไห้ ...เรื่องมันจะเงียบใช่ปะ ไม่มีใครรู้ใช่ปะ ฮันนาไม่มีใครเลยอ่ะ เธอสามารถสั่งให้เรื่องราวของเธอเงียบได้ใช่ไหม ...การตัดสินใจจบชีวิตเหมือนเป็นการระบายความเจ็บปวด ความแค้น แล้วหาทางออกจากเรื่องบ้าๆนี่ด้วย แล้วการที่จะให้คนอื่นรับฟังและเข้าใจสิ่งที่ตัวเองพบเจอมาตลอดขนาดนี้มันก็ต้องแลกด้วยชีวิต


// ถ้าใครมีทางออก ก็ไม่ต้องทำแบบฮันนานะ เธอโดนหนักจริงๆ

0
กำลังโหลด
Wildglass 19 พ.ค. 60 23:03 น. 2

เอาจริงๆ เรารู้สึกว่าเเฮนนาห์มีความเป็นloser มีความน่ารำคาญ ดราม่าหลายอย่างที่นางเจอมันเกิดขึ้นเพราะตัวนางเอง อย่างที่โดนไบรซ์ข่มขืนเงี้ย โอเคไบรซ์เลว สงสารเเฮนนาห์ ยอมรับ เเต่ฮันนาห์เองก็ไม่ระวังตัวรึเปล่า คือไบรซ์เคยจับตูดเเฮนนาห์ในร้านสะดวกซื้อ เเต่นางยังไปอยู่กับไบรซ์สองต่อสองอีก อันนี้เราว่าเเอบโง่นะ ตอนครูถามก็ไม่บอกอีก หล่อนจะยังไง? ส่วนเรื่องดราม่าของนางเราว่ามันก็เเทบจะเป็นเรื่องปกติของชีวิตมัธยมอะ โดนปล่อยรูป ทะเลาะกับเพื่อน โดนเเอนตี้ เราเคยโดนเรื่องพวกนี้เยอะ เคยโดนเอารูปหลุดไปประจาน เคยโดนเพื่อนทั้งชั้นเเอนตี้ เคยโดนด่าเเรดร่าน เราเชื่อว่าเราเข้าใจเเฮนนาห์ เราเข้าใจสิ่งที่เธอโดน(ยกเว้นเรื่องข่มขืน) การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออก มีวิธีอื่นเยอะเเยะ เเฮนนาห์คือคนคิดสั้นจริงๆ เหมือนคนที่รอให้คนอื่นมาเข้าใจตัวเอง เเต่เสื_กไม่บอกว่าเป็นอะไร นังบ้า ดูเเล้วลำใย

2
ก็แค่อากาศไม่มีตัวตน 20 พ.ค. 60 14:01 น. 2-1

คนเราไม่เหมือนกันนะคะ บางคนถูกเลี้ยงมาอย่างดี เจอแบบนี้ก็รับไม่ได้

คุณไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน เราก็ไม่โดนแบบฮันนาหรอก แต่เราไม่รู้จะอยู่เผชิญหน้าคุณไบรซ์ตัวใหญ่ยังไงต่อ แล้วก็เป็นการระบายความเจ็บปวดที่เจอมาทั้งหมด เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้สะใจว่า คุณมิงๆเข้าใจตรูกันแล้วใช่ไหม

0
กำลังโหลด
Wildglass 19 พ.ค. 60 23:04 น. 3

เอาจริงๆ เรารู้สึกว่าเเฮนนาห์มีความเป็นloser มีความน่ารำคาญ ดราม่าหลายอย่างที่นางเจอมันเกิดขึ้นเพราะตัวนางเอง อย่างที่โดนไบรซ์ข่มขืนเงี้ย โอเคไบรซ์เลว สงสารเเฮนนาห์ ยอมรับ เเต่ฮันนาห์เองก็ไม่ระวังตัวรึเปล่า คือไบรซ์เคยจับตูดเเฮนนาห์ในร้านสะดวกซื้อ เเต่นางยังไปอยู่กับไบรซ์สองต่อสองอีก อันนี้เราว่าเเอบโง่นะ ตอนครูถามก็ไม่บอกอีก หล่อนจะยังไง? ส่วนเรื่องดราม่าของนางเราว่ามันก็เเทบจะเป็นเรื่องปกติของชีวิตมัธยมอะ โดนปล่อยรูป ทะเลาะกับเพื่อน โดนเเอนตี้ เราเคยโดนเรื่องพวกนี้เยอะ เคยโดนเอารูปหลุดไปประจาน เคยโดนเพื่อนทั้งชั้นเเอนตี้ เคยโดนด่าเเรดร่าน เราเชื่อว่าเราเข้าใจเเฮนนาห์ เราเข้าใจสิ่งที่เธอโดน(ยกเว้นเรื่องข่มขืน) การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออก มีวิธีอื่นเยอะเเยะ เเฮนนาห์คือคนคิดสั้นจริงๆ เหมือนคนที่รอให้คนอื่นมาเข้าใจตัวเอง เเต่เสื_กไม่บอกว่าเป็นอะไร นังบ้า ดูเเล้วลำใย

1
กำลังโหลด
kkfg 21 พ.ค. 60 19:57 น. 4

ไม่มีสติ? ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์?


คนที่วางแผนการตายของตัวเองเป็นขั้นเป็นตอาขนาดนั้นคือไม่มีสติ? นางมีสติค่ะ แต่นางเลือกที่จะทำแบบนั้น


ถ้าสภาพจิตใจคุณยับเยินมากๆเหมือนแก้วร้าว แค่จับนิดเดียวก็แตกได้แล้ว ลองไล่ลำดับสิ่งที่เธอเจอนะ จัสตินพูด อเล็กพูด เพื่อนทิ้งไม่มีใครคบ คอร์ทนี่ซ่ำอีก ทุกคนเชื่อว่านางแรด ผู้ชายมองหยาบคายและลวนลาม เข้าหาเพราะคิดแต่เซ็ก ผู้หญิงนินทารังเกียจ พระเอกเองที่รร.ก็ยังไม่อยากคุยด้วย ต้องเจอทั้งหมดหนึ่งเทอมเต็มๆ คุณคิดว่าเทอมสองเธอจะสตรองได้แค่ไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา

0
กำลังโหลด
DDI 30 ม.ค. 61 11:29 น. 5

ถ้าดูเป็นซีรี่ย์บอกได้เลยว่า รู้สึกตัวละครทุกตัวมีดีเลว แต่ไม่มีใครสมควรถูกกระทำอย่างไม่ให้เกียรติเรื่องนี้ ถ้าศึกษาวิถีเด็กของอเมริกาจะรู้เลยว่า เด็กๆ พยายามสร้างตัวตนของตัวเองจากการทำให้ตัวเองดูมีอำนาจและความดี การฆ่าตัวตายของแฮนนา กำลังจะบอกว่า อย่าเมินเฉย กับความรู้สึกคน ซึ่งเคลย์ไม่ได้พยายามเข้าใจและขี้ขลาดในตอนแรกๆ ขี้ขลาดที่จะสนใจคนอื่น เห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่มีใครรักกันจริงเลยนอกจากตัวเอง

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด