เริ่มคำทักทายมาอย่างสบายๆ แล้วขอเข้าเรื่องเลยว่า... วันนี้พี่ซูมจะขอมาชวนทุกคนพูดคุยถึงหนังสือเรื่อง “A Monster Calls” ผลงานจากปลายปากกาของ แพทริค เนส (Patrick Ness) หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นน่าสนใจคือเป็นหนังสือเล่มแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนวนิยาย คาร์เนกี้ (Carnegie Medal) และรางวัลภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็ก เคทกรีนอเวย์ (Kate Greenaway) พร้อมๆ กัน หนังสือได้รับความนิยมมาก ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปขายในประเทศต่างๆ มากมาย รวมทั้งภาษาไทย ที่ใช้ชื่อว่า... “ผู้มาเยือนหลังเที่ยงคืน” แปลโดย วรรธนา วง์ฉัตร สำนักพิมพ์เวิร์ด วอนเดอร์ และล่าสุด หนังสือเรื่องนี้ ก็ได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายไปหลายประเทศด้วยนะคะ เรียกได้ว่าเป็นกระแสมาแรงมากในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทว่าแม้เนื้อหาอาจจะดูดาร์คๆ และเคร่งเครียด แต่ในความไม่สวยไม่งามนั้น ก็มีบางอย่างที่ส่งผลต่อความรู้สึก และทำให้พี่ซูมได้ข้อคิดดีๆ หลายอย่างมากค่ะ ซึ่งพี่ก็ได้สรุปมาให้น้องๆ ได้อ่านด้วยกันแล้วในวันนี้ หากว่าใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ พี่ซูมเชื่อว่า น้องๆ น่าจะเข้าใจประเด็นที่พี่ต้องการสื่อนะคะ
ลองไปดูกันค่ะว่าพี่ได้ประเด็นใดจากหนังสือเรื่องนี้บ้าง
ดังนั้น นิทานเรื่องแรกนี้จึงสอนให้เรารู้ว่า อย่าตัดสินทุกอย่างจากเพียงด้านเดียว จงมองให้ลึกและกว้าง รวมทั้งใช้เหตุผลในการตัดสินใจมากกว่าใช้อารมณ์และการคาดเดาจากประสบการณ์ของตนเอง
ข้อคิดที่ 3 : ความสงสารอาจเป็นดาบสองคมโดยเราไม่รู้ตัว
หลายครั้ง เราคิดว่าคนที่สงสารคนอื่น เห็นใจคนอื่น เป็นคนดี แต่เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง ความสงสารอาจจะทำร้ายคนอื่นได้โดยเราไม่รู้ตัวเช่นกัน คอเนอร์ ตัวละครในเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากค่ะ ใครๆ ก็สงสารเขา เป็นห่วงเขา แต่แทนที่จะทำให้เด็กน้อยอิ่มใจหรือรู้สึกดี กลับกลายเป็นเขามองว่าตัวเองไม่มีตัวตน เป็นคนไร้ค่า ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกคนก็คอยประคับประคองและเป็นห่วงเป็นใย กลายเป็นว่า ไอ้ความสงสาร ความหวังดีนี้ ทำให้เด็กชายอดไม่ได้ที่จะโทษตัวเอง เรื่องนี้ทำให้พี่ซูมอดคิดถึงปัญหาของคนพิการไม่ได้ค่ะ มีหลายๆ ครั้งที่คนพิการออกมาพูดว่า เขาก็แค่อยากให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้อยากเป็นคนพิเศษอะไรเลย แค่นั้นก็มีค่ามากพอแล้ว บางที คอเนอร์อาจไม่แตกต่างกัน เขาอาจจะแค่อยากทำอะไรที่เป็นตัวของตัวเอง โดยไม่ต้องมีใครมาคอยช่วยเหลือ ห่วงใย บางครั้ง ความสงสารนั้นก็ทำให้ผู้รับลำบากใจได้เหมือนกัน
เรื่องความรู้สึกของคนนั้น ละเอียดอ่อนมากจริงๆ ค่ะ และการจะเข้าใจใครสักคนก็ไม่ง่ายเลย บางครั้ง การที่คนคนหนึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์หรือเรื่องเลวร้าย อาจไม่ได้หมายความว่า เขาต้องการการประคบประหงม หรือได้รับความสงสารจากใคร เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาอาจจะอยากยืนหยัดด้วยตัวเอง และใช้ชีวิตไม่แตกต่างจากคนอื่นก็ได้
ข้อคิดที่ 4 : ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย หนีอย่างไรก็ไม่พ้น
ในเรื่องนี้ พฤติกรรมของคอเนอร์ทำให้เราได้เข้าใจธรรมชาติหลายๆ อย่างของมนุษย์อย่างชัดเจน นั่นคือ เมื่อเกิดปัญหา หลายๆ ครั้ง มนุษย์ไม่อยากรับรู้ความจริง ก็เลยหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ คุณยายของคอเนอร์พูดไว้น่าคิดและน่าฟังมากค่ะ นางบอกว่า พ่อแม่ของคอเนอร์เลือกที่จะปิดบังความจริงกับลูก ไม่ยอมให้ลูกเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน ในชีวิตจริง มันมีนะคะ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบนี้ แทนที่จะบอกความจริงก็ปิดบัง และมันทำให้ท้ายที่สุด ลูกก็ยืนหยัดในสังคมได้อย่างลำบาก คอเนอร์เองก็เช่นกัน เมื่อพ่อแม่ทำแบบนี้ ท้ายที่สุด เขาก็เลยเลือกที่จะไม่ยอมรับความจริง และบอกตัวเองว่า... เดี๋ยวแม่ก็หายแล้ว ทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติ และชีวิตก็จะกลับเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่เกิดขึ้นเลยกลายเป็นว่าเด็กชายหนีความจริงไปเรื่อยๆ ซึ่งท้ายที่สุด มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะสุดท้าย เขาก็ต้องรับรู้ความจริงอยู่ดี ชีวิตจริงก็เหมือนกัน ต่อให้เราพยายามหนีความจริงแค่ไหน มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และในที่สุดไม่ช้าไม่นานความจริงย่อมปรากฏออกมาอยู่ดี เพราะฉะนั้น จงกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริงเสมอค่ะ เพื่อตัวของเราเอง
ข้อคิดที่ 5 : ุทุกคนต้องหาทางออกของชีวิตด้วยตัวเอง
ปัญหาหลักของคอเนอร์คือ ปัจจัยรอบๆ ตัว ส่งผลให้เด็กชายไม่อาจค้นหาทางออกของชีวิตได้ ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่ ครอบครัว สังคม รวมไปถึงจิตใจที่อ่อนแอของเด็กชายเองด้วย ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นทางออกของชีวิตได้ ชีวิตของเราก็เป็นแบบนั้นค่ะ เคยไหมคะ ช่วงเวลาที่ชีวิตย่ำแย่มากๆ ปัญหาถาโถมมาพร้อมๆ กัน บางทีเราก็สับสนหาทางออกไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด เราก็ต้องหาทางออกให้ได้ และต้องยืนหยัด ตอนจบของหนังสือเรื่องนี้ ได้ทิ้งท้ายให้เราคิดหาคำตอบด้วยตัวเองว่า ชีวิตของคอเนอร์จะเป็นอย่างไร นักเขียนเลือกวิธีการนำเสนอได้ดีและน่าสนใจมากๆ ค่ะ เขาให้นักอ่านอย่างเราได้หาทางออกของชีวิต (ของคอเนอร์) ด้วยตัวเราเอง สำหรับพี่ซูมแล้ว มองว่าเขาต้องการให้เรารู้จักคิดและมองทุกอย่างผ่านสายตาของเราเอง... ซึ่งพี่ซูมเองก็มีคำตอบในใจแล้ว มันอาจจะแตกต่างจากน้องๆ คนอื่นๆ ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ มันก็คือทางออกที่เราค้นหาด้วยตัวเอง และนั่นแหละสำคัญที่สุดค่ะ
คอเนอร์กับคุณแม่ในฉบับคนแสดง
หลังจากอ่านหนังสือเรื่องนี้จบ สารภาพว่าพี่ซูมแอบน้ำตาหยดแหมะใส่หนังสือไปหลายหยดอยู่นะคะ หนังสือเล่มนี้ ทำให้พี่ได้ทบทวนตัวเอง และได้คิดว่า กว่าเราจะก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเดียวกับคอเนอร์มาได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ เราเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหลอกตัวเอง การฝืนตัวเอง การหลบหนีเข้าไปในโลกแห่งจินตนาการ ไม่ยอมรับรู้โลกความเป็นจริง ซึ่งเราก็ไม่แตกต่างจากคอเนอร์เลยค่ะ และทั้งหมดนี้ มันก็เกิดขึ้นได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ท้ายที่สุด การยืนหยัดเผชิญหน้าและแก้ไขปัญหานั่นต่างหากจะทำให้เราก้าวต่อไปและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้
ยังไงก็อย่าลืมนะคะว่าเราไม่ได้แบกโลกไว้ทั้งใบ ยังมีความรักมิตรภาพจากคนรอบตัวเราคอยเป็นกำลังใจให้อยู่เสมอ ขอเพียงแค่เปิดใจยอมรับ แล้วน้องๆ จะพบว่ามีอะไรดีๆ อีกหลายอย่างรอเราอยู่ค่ะ ^ ^
วันนี้ขอลาไปด้วยภาพโปสเตอร์จากฉบับคนแสดงนะคะ
แล้วยังไงพบกันใหม่โอกาสหน้าค่ะ
พี่ซูม
3 ความคิดเห็น
สุดยอม!!!
น้ำตาไหลทั้งเรื่องเลย