ตามรอยสถานที่เกิดเหตุ! 7 จุดทั่วพระนครในกาหลมหรทึก นิยายรางวัลที่กลายมาเป็นละครดัง!


ร่วมเดินทางย้อนอดีต
ไปยังสถานที่เกิดเหตุ 
7 จุดทั่วพระนคร 
กับกิจกรรม
"ตามรอยกาหลมหรทึก"

       
สวัสดีนักอ่านนักเขียนชาวเด็กดีทุกคนจ้า กลับมาพบกับพี่นัทตี้กันอีกแล้ว ซึ่งในวันนี้พี่นัทตี้จะพาเพื่อนๆ ทุกคนมาร่วมชมบรรยากาศของกิจกรรม "ตามรอยกาหลมหรทึก 7 จุดทั่วพระนครและธนบุรีไปกับปราปต์" ที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บอกเลยว่างานนี้ Exclusive สุดๆ เพราะ "ปราปต์" เจ้าของผลงานได้พาทัวร์กันแบบจุดต่อจุด! แถมยังมี คุณองอาจ จิระอร ที่ปรึกษาสายงานสำนักพิมพ์ในเครืออมรินทร์ฯ มาร่วมเป็นหนึ่งในวิทยากรกิตติมศักดิ์อีกคนนึงด้วย ซึ่งงานนี้พี่นัทตี้ก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพบรรยากาศมาฝากเพื่อนๆ กัน จะเป็นยังไงกันบ้างนั้น ไปติดตามอ่านต่อกันได้เลย…

 


 
       
เหย้า เจ้า แพะ ทิ้ง พงส์
เจ่า กิ่ง แล้ง แตก เกาะ
สงค์ ผาก มา โจน รา
หล้อง ลิ ไห้ จับ เกิด
ต่อ ขัง ลง พา โหน

 
         คำปริศนาต่างๆ เหล่านี้เป็นที่มาของเรื่องราวอันลือลั่นไปทั่วพระนคร เมื่อมีเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญเกิดขึ้น 5 จุดใหญ่ใจกลางกรุง กับ 5 ศพ และ 5 คำปริศนาที่ปรากฎอยู่บนศพอย่างมีนัยยะสำคัญบางอย่าง ซึ่งจากหลักฐานทั้งหมดนี้ถูกหลอมรวมจนเกิดเป็นนวนิยายอันมีเอกลักษณ์ที่มีใช้กลโคลงมาเป็นหัวใจหลักของเรื่องอย่าง “กาหลมหรทึก”

 

 
       “กาหลมหรทึก” เป็นผลงานการเขียนของปราปต์ เจ้าของฉายา "แดน บราวน์ แห่งสยามประเทศ" โดยงานเขียนเรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนสอบสวนที่กวาดรางวัลมาแล้วจากหลายเวที อาทิ รางวัลนวนิยายยอดเยี่ยม ประเภทนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน จากนายอินทร์ อะวอร์ด รางวัลชมเชย ประเภทหนังสือนวนิยาย จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ประเภทนวนิยาย จากเวทีการประกวดหนังสือดีเด่น SEVEN BOOK AWARDS แถมยังขึ้น อันดับ 1 ใน Top 10 นิยายสืบสวนของเด็กดี และล่าสุดกับการถูกนำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ครั้งแรกทางช่อง ONE!

 

 
        กำหนดการตามรอยได้เริ่มต้นขึ้นในเวลา 7 โมงเช้าที่ บมจ.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง (ตลิ่งชัน) โดยมีสื่อมวลชนรวมถึงผู้โชคดีจำนวน 10 ท่าน ที่ทยอยมารายงานตัวกันตั้งแต่เช้าตรู่ ก่อนจะออกเดินทางกันในเวลา 8 โมงโดยประมาณ โดยจุดหมายปลายทางแรกที่เราจะไปนั่นก็คือ ชุมชนศาลาต้นจันทร์, ตำหนักแดง และวัดระฆังโฆสิตาราม

 

 
        เริ่มตามรอยสถานที่แรกกันที่ ชุมชนศาลาต้นจันทร์ โดยปราปต์ได้เล่าว่าปัจจุบันบ้านเรือนถูกปรับเปลี่ยนไปบ้างแล้วจากเมื่อครั้งตอนที่มาเก็บข้อมูล ถึงแม้จะเป็นระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปีเองเท่านั้น แต่โชคดีที่กลิ่นอายรวมถึงบรรยากาศเก่าๆ ยังคงมีหลงเหลือให้ได้เห็นกันอยู่ ซึ่งในสมัยก่อนชุมชนในลักษณะนี้มักจะสร้างให้อยู่ติดกับรั้ววัง เพราะเป็นการบ่งบอกถึงความเจริญ รวมถึงคนในวังก็จะสามารถเดินออกมาเที่ยวตลาดหรือจะออกมาเข้าวัดทำบุญก็ทำได้อย่างสะดวก

 

 
        จากนั้นเราพากันเดินเท้าต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึง ตำหนักแดง ปราปต์ได้เล่าว่าเวลาที่เขาทำงาน เขาจะพยายามหาจุดที่มี Story ซึ่งจุดที่เขาอยากได้หลักๆ คือเยาวราช, วัดประยุร และสามแพร่ง เพราะมี Story ให้เล่าอยู่แล้ว ส่วนปัญหาของจุดนี้คือ ตำหนักแดงในสมัยก่อนนั้นเป็นที่พักเก่าของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งเขาไม่สามารถใช้ข้อมูลนี้ในการนำมาเขียนเป็นนิยายได้ ปราปต์เลยเลือกที่จะใช้เป็นบ้านที่อยู่ในละแวกนี้เป็นจุดปักหมุดแทน โดยคุณองอาจได้เสริมข้อมูลที่น่าสนใจให้เราฟังคือ ในสมัยก่อนตำหนักจะเป็นที่ออกว่าราชการ ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย เพราะที่อยู่อาศัยจะเป็นเพียงบ้านไม้ธรรมดาเท่านั้น ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์ที่พระมหากษัตริย์สิ้นพระชนม์ไป ตำหนักก็จะถูกนำไปถวายวัดในทันที อย่างเช่นพระตำหนักแดงนี้เป็นต้น

 

 
          วัดระฆังโฆสิตาราม อยู่ในละแวกเดียวกันกับจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในหนังสือ เพราะเป็นจุดที่ เด็กหญิงวาด เด็กสาวผู้เคราะห์ร้ายได้ถูกฆาตกรรมภายในบ้านที่อยู่แถววังหลังใกล้ตำหนักแดงและวัดระฆัง ซึ่งในจุดนี้ทางทีมงานก็ได้ปล่อยให้ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนไปกราบสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นศิริมงคลเป็นเวลา 10 นาที ก่อนจะออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ต่อไป

 

 
         ซึ่งในระหว่างทางเราก็ได้นั่งรถผ่านชุมชนวังเดิมสถานที่ที่เป็นเนื้อหาสำคัญในเรื่อง “นิราศมหรรณพ” ผลงานอีกเล่มของปราปต์ซึ่งเป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวนเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่มีตัวละครหลักเป็นหญิงสาวชื่อว่า "จุลเกตุ" ที่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม แถมยังมีเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวของภูมิสถาปัตยกรรมอีกหลายเรื่องตามมา พี่นัทตี้บอกเลยว่าฟังจากความเห็นของแฟนหนังสือที่มาในวันนี้แล้ว ทุกคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า นิราศมหรรณพสนุกไม่แพ้กาหลมหรทึกเลย!

 

 
         หลังจากเดินทางมาสักพัก เราก็ได้มาลงรถกันที่วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คุณองอาจได้เล่าว่า วัดโบราณส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เพราะเป็นช่องทางที่ผู้คนสัญจรไป-มาได้สะดวก และวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหารแห่งนี้ คาดว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 เพราะสังเกตได้ว่าที่วัดไม่มีช่อฟ้าและกระเบื้องก็ทำมาจากชามที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ ก่อนที่จะนำมาประกอบกัน ซึ่งเป็นลักษณะอันโดดเด่นของวัฒนธรรมจีน เป็นความรู้ที่เรียกความสนใจจากผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้เป็นอย่างดี และก่อนที่สภาพอากาศจะร้อนไปมากกว่านี้เราก็รีบเดินทางสู่จุดหมายปลายทางที่ต่อไป

 

 
        ศาลเจ้าเกียนอันเกง เป็นฉากสุดท้ายในเรื่องกาหลมหรทึก ปราปต์ได้เล่าว่าที่มาของสถานที่นี้เป็นการเดินตามเส้นทางมาเรื่อยๆ แล้วเจอ ตอนแรกที่เห็นเจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าจะเขียนถึงยังไง แต่รู้สึกว่าชอบและคิดว่ามันสวยดี โดยในเรื่องกาหลมหรทึกศาลเจ้าเกียนอันเกงนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับศาลเจ้าร้างในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเรื่อง
        ซึ่งศิลปะของสถาปัตยกรรมนี้ถูกให้ความรู้โดยคุณองอาจว่า เป็นการแกะสลักแบบลอยตัว โดยได้รับวัฒนธรรมมาจากจีนและอินเดีย นอกจากนี้ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีสิงโตจีนแกะไม้ที่งดงามมาก หากเพื่อนๆ คนไหนมีโอกาสผ่านมาแถวนี้ก็อย่าลืมแวะเวียนไปเยี่ยมชมได้นะจ๊ะ พี่นัทตี้รับประกันเลยว่าสวยจริงๆ

 

 
         ชุมชนกุฎีจีน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่ผสมผสานวัฒนธรรม 3 ศาสนา 4 ความเชื่อมารวมกัน นั่นก็คือ ศาสนาคริสต์, อิสลาม, พุทธศาสนาลัทธิหินยาน และพุทธศาสนาลัทธิมหายาน โดยการเดินทางไปที่ชุมชนกุฎีจีนนี้เราก็ได้ไปสัมผัสประสบการณ์การทำขนมกุฎีจีนเป็นครั้งแรก โดยเตากุฎีจีนเป็นอีกหนึ่งในฉากสำคัญของเรื่อง เพราะเป็นจุดพบศพของนายผดุงศักดิ์ที่ถูกฆ่าหั่นศพก่อนจะนำไปวางไว้ในเตาทำขนม ปราปต์ได้เล่าว่า ความจริงแล้วเหตุการณ์ในเรื่องนั้นตั้งอยู่อีกที่หนึ่ง แต่เตาทำขนมหลงเหลืออยู่แค่ที่นี่ที่เดียวเลยพาทุกคนมาที่ชุมชนกุฎีจีนนี้ แถมก่อนออกเดินทางไปยังสถานที่ต่อไป ปราปต์ก็ได้พาทุกคนมาซื้อขนมกุฎีจีนเป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ กันอีกด้วย

 

 
          กุฏิ 11 วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ซึ่งในเรื่องเป็นที่อยู่ของพระมหาสุชีพ โดยจากเหตุการณ์ในเรื่องเราจะเห็นว่าพระมหาสุชีพเป็นหนึ่งในเหยื่อทั้ง 5 รายของคนร้าย ซึ่งบรรยากาศในตอนนั้นกำลังอยู่ในจังหวะที่ร่มรื่นพอดี ทุกคนเลยถือโอกาสแวะพักไปในตัว โดยระหว่างพักคุณองอาจก็ได้เสริมความรู้ให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ซึ่งข้อมูลที่พี่นัทตี้คิดว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจคือ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารแห่งนี้เป็นวัดที่มีการผ่าตัดเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ผู้ถูกผ่าตัดเป็นพระ เป็นฝีมือการผ่าตัดของหมอบรัดเลย์ นายแพทย์ชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือว่าเป็นวัดที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญมากอีกที่หนึ่ง จากข้อมูลหลายๆ เรื่องที่ได้ฟังระหว่างพักก็ยิ่งทำให้คนอ่านนิยายอย่างพี่นัทตี้อินมากขึ้นไปอีก

 

 
          เขามอ หนึ่งในสถานที่ที่ปรากฎอยู่ในเรื่องนิราศมหรรณพ ซึ่งเป็นจุดที่มีการพบศพลอยอยู่ในน้ำ ซึ่งเขามอเป็นภูเขาจำลองที่ตั้งอยู่กลางสระน้ำ แวดล้อมไปด้วยพรรณไม้หายากนานาชนิด คุณองอาจได้เล่าว่า เขามอเป็นการจำลองแบบมาจากเขาพระสุเมรุและเขาหิมพานต์ โดยในประเทศไทยมีเขามอหลงเหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ที่ ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 เพราะมีกลิ่นอายแบบจีนๆ อยู่
          หลังจากนั้นทางคณะก็ได้พักผ่อนรับประทานอาหารกลางวันกัน ก่อนจะเดินทางไปวัดมหรรณพารามกันต่อ โดยในระหว่างทางเราก็ได้นั่งรถผ่าน สะพานภาณุพันธ์ สถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในกาหลมหรทึก เพราะเป็นสถานที่ที่พบศพของนายลุที่เสียชีวิตเพราะจมน้ำตาย โดยฉากนั้นได้ตั้งอยู่ที่คลองโอ่งอ่างหรือคลองที่อยู่ใต้สะพานภาณุพันธ์แห่งนี้นี่เอง

 

 
          โรงเรียนวัดมหรรณพ์ เป็นโรงเรียนประถมแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งในเรื่องกาหลมหรทึก โรงเรียนวัดมหรรณพ์แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับตัวของนายผดุงศักดิ์เหยื่อที่ถูกฆ่าหั่นศพในเรื่อง เพราะเป็นโรงเรียนที่นายพงษ์ศรีตัวละครที่เกี่ยวข้องกับผดุงศักดิ์ทำงานอยู่ 

 

 
          จากนั้นเราก็เดินทางไปจุดต่อไปที่อยู่ใกล้กันนั่นก็คือ สามแพร่ง อันประกอบไปด้วยแพร่งภูธร แพร่งนรา และแพร่งสรรพศาสตร์ สามแพร่งถือว่าเป็นย่านชุมชนเก่าแก่ที่เจริญมากที่สุดในแถบพระนคร เดิมทีนั้นเป็นที่ประทับของโอรสทั้งสามพระองค์ในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ดังนั้นชื่อแพร่งทั้ง 3 นี้จึงมาจากพระนามของโอรสทั้ง 3 พระองค์นั่นเอง 
          โดยในเรื่องกาหลมหรทึก ย่านสามแพร่งแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านขนมเนื่องนวล ร้านขายขนมกุฏีจีนที่เป็นจุดพบศพของนายผดุงศักดิ์ โดยบรรยากาศตามคำบอกเล่าของปราปต์ก็คือ สมัยก่อนสามแพร่งเป็นศูนย์รวมของความเจริญ มีตลาดขายของ ขายขนม แถมยังเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยในลักษณะชุมชนดั้งเดิม และเป็นย่านที่มีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้า ดังนั้นเขาจึงเลือกจุดนี้ให้เป็นหนึ่งในสถานที่ระทึกขวัญในเรื่อง

 

 
          หลังจากนั้นเราก็ได้เดินผ่านกระทรวงกลาโหม โดยคุณองอาจได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับเราว่า กระทรวงกลาโหมเป็นกระทรวงสุดท้ายที่ก่อสร้างโดยใช้สัตว์เร่ (วัว,ควาย)  และเป็นอาคารหลังแรกที่มีไฟฟ้าใช้ในประเทศไทย

 

 
          เดินฝ่าความร้อนจนมาถึงสถานที่สุดท้ายของการเดินทางในวันนี้นั่นก็คือ วัดโพธิ์ โดยทางทีมงานมีกิจกรรมให้ผู้โชคดีทั้ง 10 ท่านมาร่วมกันหา “กลโคลง” ที่เป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องกาหลมหรทึก โดยระหว่างทางก็ได้มีการพูดคุยกันถึงที่มาที่ไปว่าทำไมปราปต์ถึงเลือกใช้กลโคลงมาเป็นประเด็นสำคัญของเรื่อง โดยปราปต์ได้เล่าว่า เขาเริ่มมาจากความสนใจในเรื่องกลโคลง สนใจในคำอ่านที่น่าทึ่งของมัน หลังจากนั้นก็คิดออกมาเป็นภาพว่าอยากจะทำออกมายังไง จะทำให้มันเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันได้ยังไง ซึ่งโคลงแต่ละบทจะมีคำเฉลยอยู่ เราก็เลือกอันที่เราคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เราจะเขียนมากที่สุด โดยตอนที่เขามาหากลโคลงบทนี้เขาได้ใช้เวลาหาอยู่ 2 วันกว่าจะหาเจอ ซึ่งพี่นัทตี้บอกเลยว่าหลังจากที่ทีมงานปล่อยให้ทุกคนไปตามหากลโคลงกันแฟนหนังสือรวมถึงสื่อมวลชนทุกคนต่างพากันตามหากลโคลงบทนี้กันอย่างขะมักเขม้นเลยจ้า

 

 
         หลังจากตามหากลโคลงกันอยู่ยกใหญ่ ทางเราก็ได้เสร็จสิ้นภารกิจของวันกันที่หน้าแผ่นป้ายกลโคลงกันเลย โดยปราปต์ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ได้สอนวิธีการอ่านกลโคลงที่ถูกต้องทิ้งท้ายกันอีกด้วย และหลังจบกิจกรรมทั้งปราปต์และคุณองอาจก็ได้ทำการกล่าวขอบคุณผู้ที่มาร่วมกิจกรรมทุกคนรวมถึงสื่อมวลชนที่มาร่วมกันตามรอยกาหลมหรทึกกันในวันนี้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น หลังจากนั้นทุกคนต่างพากันแยกย้ายกันกลับ ถือว่าเป็นการจบทริปของวันนี้อย่างสวยงาม

 

 

ความรู้สึกหลังจากได้ไปตามรอยในวันนี้

         สิ่งแรกที่พี่นัทตี้รู้สึกประทับใจมากคือทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นทั้งตัวของปราปต์, คุณองอาจ หรือว่าจะเป็นผู้โชคดีทั้ง 10 คน คือทุกคนล้วนมีใจรักในการตามรอยในวันนี้มากๆ เพราะเราเดินทางกันตั้งแต่เช้า กว่าจะเสร็จกิจกรรมก็ล่วงเลยไปจนถึงเย็น แถมอากาศก็ยังร้อนอีก แต่ทุกคนก็ยังสนุกสนาน ยังกระปรี้กระเปร่ากัน ซึ่งมันทำให้พี่นัทตี้สัมผัสได้เลยว่าทุกคนที่มาในวันนี้ล้วนรักนิยายเรื่องนี้กันจริงๆ นอกจากนี้พี่นัทตี้ยังอยากจะชื่นชมความสามารถของปราปต์ที่รังสรรค์นิยายเรื่องนี้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เพราะพี่นัทตี้เองก็ได้มีโอกาสอ่านนิยายเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องไม่มีตอนไหนเลยที่พี่นัทตี้ไม่รู้สึก Wow  ยิ่งช่วงหลังๆ ทำให้พี่นัทตี้ฉุกคิดกับตัวเองอยู่หลายครั้งว่าคนแต่งเขาแต่งออกมาได้ยังไง เขาคิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้ได้ยังไงกันนะ เพราะเรื่องราวมันมีรายละเอียดยิบย่อยสอดแทรกอยู่ในทุกเหตุการณ์จริงๆ นับถือในความสามารถเลย :)

   
          และก่อนจะจากกันพี่นัทตี้ก็มีบทสัมภาษณ์สั้นๆ ที่พี่นัทตี้มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณปราปต์มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน โดยปราปต์ได้ฝากอะไรบางอย่างมาถึงนักเขียนชาวเด็กดีกันด้วย อยากรู้กันแล้วใช่ไหมว่าคืออะไร ถ้างั้นก็เลื่อนลงไปอ่านกันได้เลย!

 

 

จบกิจกรรมแล้วเป็นยังไงบ้าง

           "ก็เหนื่อย ร้อน แต่ว่าก็ดีใจนะ เพราะขนาดตัวเราเองยังร้อนแล้วก็เหนื่อยเลย แต่คนอื่นเขามาด้วยใจจริงๆ เลยทำให้เรารู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่ผลงานที่เราได้ทำออกมามันสามารถต่อยอดออกมาได้ขนาดนี้ และที่สำคัญคือมันทำให้คนมีความสุข และชอบจนถึงขนาดมาตามรอยกัน ถึงแม้ว่าจะร้อนแต่ทุกคนก็ยังอยู่ด้วยกันจนจบ คือเราไม่รู้หรอกนะว่าเขาชอบไหม เขาเบื่อไหม คือถ้าเขาไม่ชอบหรือเบื่อเขาก็คงไม่อยากเดินกันต่อ แต่นี่เขาอยู่ด้วยกันจนจบขนาดนี้ผมยอมเลยจริงๆ"

 

ฝากอะไรถึงนักเขียน DEK-D หน่อย

          อย่าไปกลัว อย่ามัวแต่กังวล เขียนเลย แล้วก็อ่านเยอะๆ ทุกวันนี้มันมีรูปแบบการเขียนที่เยอะมาก ไม่จำเป็นต้องเขียนนิยายหรือเขียนเรื่องสั้นอย่างเดียว เพราะเราสามารถเขียนลงในเฟซบุ๊ก เขียนลงนู้น นี่ นั่น โอกาสเกิดมีทั้งนั้น คนอ่านชอบทั้งนั้นถ้าเราเขียนได้ถึง เพราะฉะนั้นเราเป็นคนเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไม่ใช่มีใครมาเปิดโอกาสให้เรา

 

 

สุดท้ายฝากผลงานได้เลย

          ฝากผลงานละครเรื่องกาหลมหรทึกด้วยนะครับ กำลังจะออนแอร์วันแรกในวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ทางช่อง ONE เวลา 21.20 น. และก็ขอฝากนิยายกาหลมหรทึก, นิราศมหรรณพ และเรื่องอื่นๆ ของปราปต์ด้วยนะครับ
 
         สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ยังไม่เคยอ่านผลงานของปราปต์มาก่อน ก็เข้าไปอ่านกันได้ที่ กาหลมหรทึก และถ้าอ่านแล้วถูกใจอย่าลืมไปอุดหนุนหนังสือกันด้วยนะ ส่วนใครที่อ่านแล้วอย่าลืมมาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้กันด้วยนะ และสำหรับวันนี้พี่นัทตี้ต้องขอตัวลาไปก่อน หวังว่าเพื่อนๆ จะชอบการตามรอยครั้งในนี้กันน้า ไว้เจอกันใหม่ครั้งน้า สวัสดีจ้ะ :)

 
พี่นัทตี้



พี่นัทตี้
พี่นัทตี้ - Columnist บุคคลผู้เสพติดการดูหนังแนวสยองขวัญ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด

5 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด