วิจารณ์หนังสือ : The Maze Runner ภาพยนตร์ VS หนังสือ แตกต่างหรือเหมือนกันตรงไหน อย่างไร!


วิจารณ์หนังสือ : The Maze Runner
ภาพยนตร์ VS หนังสือ

แตกต่างหรือเหมือนกันตรงไหน อย่างไร



          สวัสดีชาวเด็กดีทุกคนจ้ะ กลับมาพบกับพี่นัทตี้กันอีกแล้ว ตามที่ได้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้ว่าพี่นัทตี้จะกลับมาพร้อมกับการวิเคราะห์จุดที่น่าสนใจในหนังสือชุด “เกมล่าปริศนา” บอกเลยว่างานนี้มีสปอยล์เต็มที่! ถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนยังไม่ได้อ่าน หรือยังอ่านไม่จบ แล้วกลัวว่าจะเสียอรรถรสในการอ่าน พี่นัทตี้ขอบอกเลยว่าไม่เสียแน่นอนจ้ะ แต่มันจะยิ่งทำให้เราอยากอ่านมากขึ้นไปอีก เอาล่ะๆ พี่นัทตี้คิดว่าทุกคนคงจะอยากอ่านบทความนี้กันแล้ว ถ้างั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็เลื่อนลงไปอ่านต่อกันได้เลย…

 


 
          The Maze Runner เป็นผลงานการเขียนของ Jame Dashner นักเขียนมากความสามารถชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในหนังสือชุด “เกมล่าปริศนา” ที่ประกอบไปด้วยหนังสือจำนวน 5 เล่ม ได้แก่ The Maze Runner, The Scorch Trials, The Death Cure, The Kill Order และ The Fever Code ซึ่งเพื่อนๆ น่าจะคุ้นเคยกันกับ 3 เล่มแรก เพราะได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อย ส่วน 2 เล่มหลังนั้นยังไม่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แต่ความสนุกก็ทำให้เราอดที่จะพูดถึงกันไม่ได้ The Kill Order เป็นเรื่องราวการย้อนเหตุการณ์ไปในสมัยก่อนที่จะมีการลุกวาบของดวงอาทิตย์ที่เป็นที่มาของโรคร้าย The Fever Code นั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของตัวละครว่าพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในเขาวงกตนี้ได้อย่างไร ถ้าให้เรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนและหลังจะสามารถเรียงได้ดังนี้ The Kill Order, The Fever Code, The Maze Runner, The Scorch Trials และบทสรุปของเรื่องกับ The Death Cure

 

 


เรื่องที่นักอ่านควรรู้เกี่ยวกับเขาวงกต

            1. เขาวงกตมีกฎสำคัญอยู่ไม่กี่อย่าง ซึ่งพี่นัทตี้เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนที่ดูหนังอาจจะยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีกฎแบบนี้อยู่ด้วย พี่นัทตี้ขอเริ่มกันที่กฎข้อแรกที่ทุกคนน่าจะรู้กันดีอยู่นั่นก็คือ ทุกๆ เดือนจะมีสมาชิกใหม่ถูกส่งเข้ามายังเขาวงกต  ข้อที่สอง ทุกๆ สัปดาห์จะมีข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า และอาหารถูกส่งมาทางกล่อง จะเห็นได้ว่าทางวิคเค็ดไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาลำบาก หรืออดอยากเลย และข้อสาม กล่องจะไม่มีวันลงไปถ้าหากไม่ได้รับคำสั่ง ดังนั้นต่อให้เราอยากหลบหนีออกจากเขาวงกตแค่ไหน ขอให้รู้เอาไว้ว่ากล่องไม่สามารถช่วยชีวิตคุณได้ 
 
            2. เขาวงกตถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน มีตั้งแต่สวน โรงเลือด บ้านพัก และมรณา สวน คือพื้นที่ที่มีไว้สำหรับเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์, โรงเลือด คือโรงฆ่าสัตว์ขนาดย่อม ซึ่งสัตว์เหล่านั้นจะมาจากไหนไปไม่ได้นอกจากที่พวกเขาเลี้ยงเอาไว้, บ้านพัก เป็นอาคารขนาดใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันถึงจะไม่ดีมาก แต่ก็มีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการ และส่วนสุดท้ายคือ มรณา หรือสุสานฝังศพ ซึ่งในหนังสือบอกว่ามีจำนวนแค่ 2-3 คนซึ่งล้วนแต่เป็นคนที่อยู่มาก่อนอัลบีทั้งนั้น 
 
            3. วงกตแท้จริงแล้วไม่ได้มีแค่วงเดียว แต่ยังมีวงกต B ที่เป็นกลุ่มทดสอบที่มีแต่ผู้หญิงอยู่ด้วย ซึ่งก็คล้ายๆ กับวงกต A ของโทมัสที่มีแต่ผู้ชาย แถมก่อนจะเกิดเหตุการณ์ภายในเขาวงกตขึ้น วงกต B ก็ได้มีสมาชิกรายใหม่ถูกส่งตัวเข้าไปนั่นก็คือ อริส ซึ่งอยู่ในจังหวะเดียวกับที่ เทเรซา ถูกส่งตัวมายังกลุ่มของโทมัส เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เหมือนจะบังเอิญ แต่ความจริงแล้วไม่ได้บังเอิญเลย

 

 


นักวิ่ง กับภารกิจประจำวัน


“เราเปรียบเทียบวันต่อวัน อาทิตย์ต่ออาทิตย์ เดือนต่อเดือน 
อย่างที่ฉันบอก นักวิ่งแต่ละคนรับผิดชอบแผนที่ส่วนของตัว”
                                                                            มินโฮ

 
          อย่างที่เรารู้กันว่าในแต่ละวันนักวิ่งจะออกไปวิ่งกันในเขาวงกต เราอาจจะคิดว่าพวกเขาแค่ออกวิ่งไปเรื่อยๆ แล้วก็กลับมา แต่ความจริงแล้วพวกเขาต่างถือแผนที่กันไปคนละแผ่น วาดเส้นทางที่พวกเขาวิ่ง แล้วค่อยนำกลับมาสรุปเปรียบเทียบกันในทุกวัน ทุกอาทิตย์ และทุกเดือน เพราะในแต่ละวันวงกตพยายามจะบอกอะไรบางอย่างกับเราด้วยการขยับของมัน ซึ่งในตอนท้ายของหนังสือเล่มแรกนั้น ทุกคนจะได้มาร่วมกันหาคำตอบของปริศนา ซึ่งพี่นัทตี้บอกเลยว่า มัน ล้ำ มาก… ถึงมากที่สุดเลย! คนเขียนเขาคิดได้ไงนะนับถือจริงๆ

 

ปริศนาการเคลื่อนที่ของเขาวงกต

          สำหรับในข้อนี้พี่นัทตี้คิดว่าคนที่อ่านหนังสือชุดนี้เท่านั้นที่จะรู้ เพราะในหนังไม่มีฉากอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของเขาวงกตมากเท่ากับในหนังสือ อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าในทุกๆ วัน เหล่านักวิ่งจะออกไปวิ่งกันในเขาวงกตโดยแต่ละคนจะถือแผนที่ไปกันคนละแผ่น เพื่อเขียนทิศทางที่พวกเขาได้วิ่งไป เจอทางตันไหม หรือเจอทางออกไหม ซึ่งสุดท้ายพอเกิดเหตุการณ์ที่เขาวงกตไม่ยอมปิด ทุกคนจึงมาล้อมวงกันเพื่อหาคำตอบของเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ด้วยกัน โดยการนำแผนที่ของทุกๆ วันมาเปรียบเทียบการเคลื่อนตัวของมัน เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบว่าแท้จริงแล้วเขาวงกตกำลังบอกอะไรกับเราอยู่ 


FLOAT CATCH BLEED DEATH STIFF PUSH

         คำต่างๆ เหล่านี้เกิดจากการเคลื่อนที่ของเขาวงกตในทุกๆ วัน โดยในแต่ละวันเขาวงกตจะเคลื่อนที่เป็นตัวอักษรวันละ 1 ตัว จนเกิดเป็นคำทั้งหมดนี้ โดยหลังจากที่เขาวงกตเคลื่อนที่ครบตามจำนวนอักษรทุกตัวแล้ว เขาวงกตจะหยุดการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก่อนจะกลับมาเคลื่อนที่อีกครั้งโดยเรียงลำดับจากตัวอักษร F ตัวแรกไล่ไปจน H ตัวสุดท้าย โห...รู้กันขนาดนี้แล้วพี่นัทตี้อยากจะขอคารวะนักเขียนเขาจริงๆ บอกแล้วใช่ไหมว่า มัน ล้ำ มาก...

 

โศกา แท้จริงแล้วคือตัวอะไร?

         ในหนังสือชุดนี้ผู้เขียนอย่าง Jame Dashner ได้ให้คำอธิบายลักษณะของ “โศกา” เอาไว้ดังนี้
 
“โศกา เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อ้วนกลม ขนาดเท่าวัว ไม่มีรูปร่างชัดเจน 
มีหนามสีเงินวูบวาบ ผิวเนื้อเป็นประกาย แขนมีใบเลื่อย กรรไกรใบยาว และโลหะแท่งยาวๆ 
เป็นส่วนผสมระหว่างสัตว์กับเครื่องจักร”


 

 

“โศกา เป็นเหมือนทากขนาดยักษ์ มีเมือกเป็นประกาย มันไม่มีหัวหรือหาง 
ความยาวอย่างน้อย 6 ฟุต หนา 4 ฟุต”
                                                                               โทมัส

 
         ดังนั้นจากข้อสังเกตนี้ทำให้พี่นัทตี้สามารถตีความออกมาได้ว่า โศกา เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างไม่ตายตัว โดยสามารถเปลี่ยนรูปร่างเป็นอะไรก็ได้ ตามแต่ “ผู้สร้าง” โดยในหนังโศกาจะมีลักษณะคล้ายกับแมงมุมขนาดยักษ์ มีขาที่ทำมาจากเหล็ก เป็นการประกอบสร้างขึ้นมาระหว่างสัตว์กับเครื่องจักร ส่วนในหนังสือมีส่วนที่ต่างอยู่คือ โศกา จะมีขนาดใหญ่มาก มีหนามสีเงิน ใบเลื่อย กรรไกร และโลหะแท่งยาว โดยจะไม่มีรูปร่างที่ตายตัว สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
 


วิคเค็ด เป็นใคร?



 
           วิคเค็ด หรือ WICKED มีความหมายแปลว่าชั่วร้าย โดยวิคเค็ดเป็นการรวมตัวของรัฐบาลที่ยังหลงเหลืออยู่กับภารกิจต่อสู้กับโรคร้าย โดยมีเป้าหมายคือการรับใช้และปกป้องมนุษยชาติ แต่เราจะเห็นได้จากหนังและหนังสือว่า ในตอนแรกนั้นจุดประสงค์ของวิคเค็ดดูเหมือนจะดี แต่พอมีผู้นำที่ไม่ดีมาปกครอง วิคเค็ดก็เลยดูเลวร้ายในสายตาของคนอื่นไปในทันที ทั้งๆ ที่ตอนแรกก่อตั้งมาเพื่อจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากโรคร้ายแท้ๆ ดังนั้นจากประเด็นนี้จึงทำให้พี่นัทตี้สามารถสรุปได้ว่า ปัญหาของประเทศชาติจะได้รับการแก้ไขหรือไม่ขึ้นอยู่กับ "ผู้นำ" จริงๆ
 


ไข้วาบ น่ากลัวจริงไหม?

          ไข้วาบ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อฟลาเรไวรัส ที่ส่งผลทำให้สมองถูกทำลาย อาการเบื้องต้นของไข้วาบนั้นเริ่มแรกจะเหยื่อจะรู้สึกเหมือนมีภาพลวงตาเกิดขึ้น ถัดมาสัญชาตญาณของสัตว์จะเข้าครอบงำ ก่อนที่สุดท้ายจะกลืนกินเหยื่อจนหมดสิ้นความเป็นมนุษย์ไป เหยื่อที่ติดไข้วาบในระยะแรกนั้นจะถูกเรียกว่าเป็น “แคร้งในนาม” คือยังไม่อันตรายเท่าไหร่ หากรักษาได้ทัน แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานกว่านั้นเซลล์สมองจะถูกทำลาย จนสูญเสียการควบคุมการเคลื่อนไหว ส่งผลให้เหยื่ออารมณ์แปรปรวน ก่อนสติปัญหาจะค่อยๆ เสื่อมลง
 


ตำหนักแคร้ง สถานที่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแคร้ง

           ตำหนักแคร้ง เป็นหมู่บ้านสำหรับคนติดเชื้อ มีลักษณะเป็นวงแหวนซ้อนกันหลายชั้น มีพื้นที่สาธารณะทุกอย่าง ทั้งโรงอาหาร ห้องพยาบาล พื้นที่นันทนาการ โดยผู้สร้างมีความคิดที่ว่า อยากให้คนที่ติดเชื้อมีชีวิตที่ดีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถึงจุดจบของชีวิต ซึ่งแคร้งที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้จะเป็นแคร้งที่มีอาการในระยะเริ่มต้น สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าหากมีแคร้งคนไหนอยู่ในขีดที่อันตรายมาก แคร้งคนนั้นจะถูกนำไปปล่อยไว้ในสถานที่ที่ห่างไกล ไม่ให้กลับมาที่ตำหนักแคร้งได้อีก
 


สิ่งที่เหมือนกันระหว่างโทมัสกับเทเรซา



           พี่นัทตี้เชื่อว่าใครที่ดูมาแค่หนังคงจะไม่รู้กันแน่ๆ ว่าโทมัสกับเทเรซาเขาสามารถสื่อสารกันโดยการใช้พลังจิตได้ มีอยู่หลายฉากเลยทีเดียวที่พวกเขาทั้งสองคนเลือกที่จะไม่พูดคุยกัน แต่ใช้ “สมอง” ในการสื่อสารความคิดพวกนั้นออกไปแทน ซึ่งความพิเศษนี้โทมัสเองก็ได้รู้สึกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเธอแล้ว เขาสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างในตัวของเทเรซาที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับเธอมาก่อน แต่ความทรงจำที่สูญหายไปทำให้เขาจำอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ได้เลย แต่สิ่งที่เขารู้มีเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ เขารู้สึกผูกพันกับเธอมาก
 


“อริส” ตัวละครสำคัญที่ห้ามมองข้าม



 
        บทบาทของอริสเป็นอะไรที่เราห้ามมองข้ามโดยเด็ดขาด จากที่เราเห็นในหนังว่าอริสเป็นตัวละครที่เปิดตัวออกมาได้อย่างน่าสนใจ เพราะเป็นตัวละครที่ดูมีความคิด และความเฉลียวฉลาดอยู่พอสมควร แถมอริสก็ยังเป็นคนที่พาโทมัสไปตามหาเทเรซาที่ถูกวิคเค็ดจับตัวไปอีก แต่พี่นัทตี้จะบอกเลยว่าจริงๆ แล้วบทบาทของอริสมีอะไรที่ทำให้เราทึ่งอีกเยอะเลย ใครจะไปรู้ล่ะว่านอกจากพลังจิตที่โทมัสกับเทเรซาสามารถสื่อสารกันได้แล้ว ยังมี “อริส” อีกคนหนึ่งที่สามารถสื่อสารภายในหัวได้เหมือนพวกเขา แถมในหนังสือยังมีฉากที่อริสสื่อสารกับโทมัสด้วย! พี่นัทตี้จะบอกอีกว่าถ้าเกิดเพื่อนๆ คิดว่าเรื่องพลังจิตเป็นเรื่องที่น่าทึ่งสำหรับอริสแล้ว บอกเลยว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่น่าทึ่งที่รอให้เราไปค้นพบอยู่ ก็อย่างที่พี่นัทตี้ได้บอกไปนั่นแหละว่า “อริส” เป็นตัวละครสำคัญที่เพื่อนๆ ไม่ควรมองข้ามกันเลย
 


เบรนดา หญิงสาวผู้กล้าหาญ



 
        พี่นัทตี้เชื่อว่าทุกคนคงพอจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าเบรนดาเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญขนาดไหน เพราะเธอสามารถทำอะไรได้เหมือนผู้ชาย แถมมีความคล่องแคล่วว่องไวและมีมันสมองที่หลักแหลมอีกต่างหาก แต่คำว่า “กล้าหาญ” ที่พี่นัทตี้หมายถึง ไม่ใช่ความกล้าหาญอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้หรอกนะ แต่เป็นความกล้าหาญในการแสดงความรู้สึกกับโทมัสต่างหาก 
 
        ทุกคนรู้กันหรือไม่ว่าเบรนดาเคยสารภาพรักกับโทมัสมาแล้วครั้งนึง ถึงแม้ตอนนั้นโทมัสจะปฎิเสธไป แต่เธอก็ยังคงแสดงออกให้เขารับรู้อยู่เรื่อยๆ อย่างในหนังสือจะมีอยู่หลายฉากเลยทีเดียวที่เป็นฉากแสดงความรู้สึกระหว่างเบรนดากับโทมัส และจะบอกเลยว่าในหนังสือนั้นบุคลิกของเบรนดาไม่ได้ห้าวเหมือนในหนังเท่าไหร่ เพราะเธอยังมีอารมณ์ของความเป็นเด็กสาวที่โหยหาความรัก อยากมีคนดูแล ซึ่งโทมัสก็เป็นเป้าหมายในเรื่องความรักของเธอ
 

 
       ซึ่งการแสดงออกของเบรนดาที่มีต่อโทมัสไม่ได้น่าผิดหวังไปซะทีเดียวนะ เพราะมันก็มีฉากที่โทมัสแอบหวั่นไหวให้กับเบรนดาอยู่เหมือนกัน ซึ่งพี่นัทตี้ได้หยิบเอาฉากที่ว่านั้นมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้ฟินกันด้วย
 
เบรนดาคลำพบมือเขาแล้วบีบ อีกครั้งแล้วที่โทมัสรู้สึกผิดวูบขึ้นมาอย่างน่าหัวเราะ
เหมือนเขากำลังนอกใจเทเรซา เขาจนปัญญาจริงๆ ที่เด็กสาวคนนี้ช่างชอบแตะเนื้อต้องตัว

       และเมื่อไรก็ตามที่เธอแสดงออกไปแล้วโทมัสปฎิเสธ เธอก็มักจะตัดพ้อเขาอย่างน่ารักแบบนี้…
 
“อะไรกัน นี่นายคิดว่าฉันหลงรักนายรึไง
รอวันที่นายขอให้ฉันเป็นเจ้าสาวแคร้งของนายแทบขาดใจหรือไง
อย่าหลงตัวเองนักเลย”

       แต่ก็อย่างว่าละนะ ความรักของหนุ่มสาวก็เป็นอะไรที่ทำให้คนอ่านและคนดูหนังอย่างเราฟินได้อยู่เหมือนกัน ถ้ามีใครสนใจแต่งแฟนฟิคระหว่างเบรนดากับโทมัส อย่าลืมแวะมาบอกพี่นัทตี้กันด้วย เพราะพี่นัทตี้แอบจิ้นสองคนนี้อยู่จ้ะ


 
            และประเด็นทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นจุดที่พี่นัทตี้คิดว่าน่าสนใจ และเป็นเรื่องที่หลายคนควรรู้ แต่บอกตามตรงว่าถ้าจะให้อธิบายรายละเอียดทุกอย่าง พี่นัทตี้อาจจะใช้เวลาในการเล่าเป็นเดือนๆ อันนี้ก็ถือว่าเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ น้อยๆ กระตุ้นความอยากรู้ให้กับเพื่อนๆ ก็แล้วกัน เพราะพี่นัทตี้คิดว่าถ้าเพื่อนๆ อยากอินกันจริงๆ ก็แนะนำให้ไปหาหนังสือชุดนี้มาอ่านกันดีกว่า และพี่นัทตี้ก็เชื่อว่าคงมีเพื่อนๆ หลายคนที่อ่านบทความนี้แล้วย้อนกลับไปหาหนังหรือหนังสือมาอ่านกันใหม่อีกรอบ ส่วนถ้าใครที่ไม่เคยอ่านพี่นัทตี้ขอแนะนำให้ไปหามาอ่านกัน เพราะในหนังสือนั้นมีอะไรแตกต่างจากหนังอยู่เพียบเลย!
 
            ก่อนจากกันพี่นัทตี้ก็มีเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจมาฝากกันสั้นๆ กระตุ้นความอยากอ่านให้กับเพื่อนๆ กันอีกสักรอบ กับหัวข้อ “รู้หรือไม่?”

 

รู้หรือไม่?



 
            1. บทบาทของกัลลี่ในหนังสือนั้นแตกต่างจากในหนังเอามากๆ เพราะในหนังสือตัวละครกัลลี่จะต้องมีฟันหน้าที่หายไปสองสามซี่ แถมยังมีสีที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าขาวเลย (พี่นัทตี้คิดว่าพวกเราโชคดีแล้วนะที่ได้อิมเมจกัลลี่เป็นหนุ่มวิลล์ พัลเตอร์)
 

 
            2. ตัวละครของนิวท์ในหนังสือแท้จริงแล้วเป็นเด็กชายขาเป๋ ซึ่งสาเหตุนั้นก็มาจากการพยายามฆ่าตัวตายในเขาวงกตของนิวท์นั่นเอง
 
            3. โทมัสเคยร้องไห้มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ชัคตาย และครั้งที่สองคือตอนที่เทเรซาหายตัวไป
 
            4. โทมัสกับเทเรซาเคยจูบกันด้วยนะ แถมยังเป็นจูบแรกของทั้งคู่ด้วย!

            5. ความจริงแล้วตัวละครเบรนดาไม่ได้ผมสั้น แถมยังมีหน้าตาน่ารักอีกด้วย

            6. “ทอม” ชื่อเรียกของโทมัสอีกชื่อ ซึ่งชื่อนี้โทมัสอนุญาตให้เทเรซาเรียกได้คนเดียวเท่านั้น

            7. การผจญภัยในบททดสอบที่ 2 โทมัสเคยเกือบจะไม่รอดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากวิคเค็ด ซึ่งวิคเค็ดได้พาตัวของเขาขึ้นเบิร์ก (ยานบินขนาดยักษ์) เพื่อไปรักษา ก่อนจะพาเขากลับลงสนามทดสอบอีกครั้ง 


            8. ในหนังสือไม่มีการบรรยายถึงเอวา เพจอย่างละเอียดเลยสักครั้ง แต่น่าแปลกที่ตัวละครตัวนี้มีบทบาทมากในหนัง

            9. แท้จริงแล้ววงกต A และ B อยู่ที่ใต้สำนักงานใหญ่ของวิคเค็ดลงไป ไม่ได้อยู่ห่างไกลเหมือนที่เราเห็นในหนัง
 

           10. เทเรซาไม่ได้ตายเพราะตกเครื่องบิน แต่ตายเพราะโดนเพดานตกใส่ (แบบนี้ก็ได้หรอ?)

 
-------------------------------------------

           เป็นยังไงกันบ้างจ๊ะ สำหรับภาคสุดท้ายสำหรับบทความ The Maze Runner นี้ พี่นัทตี้ก็หวังว่าเพื่อนๆ คงจะชอบกันน้า ถ้าเกิดใครมีเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้มาแบ่งปันกัน ก็สามารถคอมเมนต์กันเข้ามาได้ที่ด้านล่างนี้เลย พี่นัทตี้รออ่านอยู่นะจ๊ะ สำหรับวันนี้พี่นัทตี้ต้องไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีจ้ะ :)
 
พี่นัทตี้


พี่นัทตี้
พี่นัทตี้ - Columnist บุคคลผู้เสพติดการดูหนังแนวสยองขวัญ ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักเขียน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น