​เคยได้ยินกันบ้างมั้ย 10 เทพนิยายหายากของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน!


เคยได้ยินกันบ้างมั้ย
10 เทพนิยายหายากของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน! 

 
สวัสดีค่ะชาวนักอ่านนักเขียนเด็กดีทุกคน ที่ผ่านมา แอดมินได้หยิบยกเทพนิยายหลายๆ เรื่องมาพูดถึงในบทความต่างๆ ของเรา และถ้าคนอ่านคนไหนจำได้ ก็จะได้เห็นชื่อของนักเขียนเจ้าประจำ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์สัน เจ้าของผลงานเทพนิยายที่ติดหู เป็นที่รู้จักกันดี อย่างลูกเป็ดขี้เหร่ ธัมเบลิน่า เจ้าหญิงกับเมล็ดถั่ว เงือกน้อย ฉลองพระองค์ชุดใหม่ของพระราชา ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เทพนิยายของแอนเดอร์สัน ไม่ได้มีแค่เรื่องดังๆ เหล่านี้ แต่ยังมีอีกมากมายเป็นร้อยๆ เรื่อง และวันนี้ เราได้หยิบเอา 10 เรื่องที่แปลกประหลาดมากๆ มาแนะนำให้ได้รู้จักกัน เผื่อว่าใครอยากไปหาอ่านต่อ ก็ลองดูได้นะ 
 
ผู้ทรงปัญญาต้องการรู้ว่า ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร
 
หินวิเศษของผู้ทรงปัญญา 
(The Stone Of The Wise Men)
บนต้นไม้ที่สูงที่สุดในอินเดีย เป็นที่ตั้งของปราสาทที่สร้างจากคริสตัล ผู้ที่อยู่ที่นั่นคือผู้ทรงปัญญา ท่านสามารถมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก ผู้ทรงปัญญาครอบครองหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ เขาพยายามค้นหาคำตอบที่ว่า ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร ทว่าบันทึกนั้นไม่สามารถอ่านได้ ยกเว้นแต่ว่า จะต้องได้แสงสว่างจากหินวิเศษที่สร้างจากวัตถุดิบทรงคุณค่า ที่ทำให้โลกทั้งโลกดำรงอยู่ได้ ผู้ทรงปัญญามีบุตรห้าคน แต่ละคนต่างก็มีความสามารถในทางต่างๆ คนหนึ่งสามารถมองเห็นได้ลึกกว่าใคร ทั้งใต้ผืนแผ่นดินหรือแม้แต่จิตใจของมนุษย์ คนหนึ่งสามารถได้ยินเสียงต้นไม้ใบหญ้าพูดคุยกัน คนหนึ่งสามารถได้กลิ่นทุกสิ่งทุกอย่าง คนหนึ่งสามารถเข้าใจรสชาติของทุกๆ สิ่งได้ ส่วนคนที่ห้านั้น คือบุตรสาวตาบอด แต่กลับสัมผัสถึงแสงสว่างได้มากกว่าผู้อื่น เพราะเธอใช้ปลายนิ้วแทนดวงตา และใช้หัวใจแทนหู
 
ผู้ทรงปัญญาได้ส่งลูกแต่ละคนออกไปตามหาหินวิเศษ บุตรชายที่มองเห็นได้ทุกอย่าง ถูกปีศาจทำให้ตาบอดไป ส่วนลูกชายที่ได้ยินทุกอย่าง ก็เป็นบ้าเพราะได้ยินแต่เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของผู้คน สุดท้าย เขาก็เลยทำลายแก้วหูของตัวเองซะ ส่วนลูกชายที่ดมกลิ่นได้ทุกอย่าง ก็เสียประสาทสัมผัสนี้ไปเพราะปีศาจแกล้งรมควันใส่ และลูกชายอีกคนที่ชิมทุกอย่างได้ ก็ไปค้างอยู่ที่โบสถ์ ลงมาไม่ได้ ดังนั้น จึงเหลือแค่ลูกสาวคนสุดท้าย ที่ต้องออกไปตามหาหินวิเศษ เจ้าปีศาจพยายามทำร้ายเธอด้วยวิธีการต่างๆ นานา ทั้งพยายามดลใจให้เธออิจฉาริษยาผู้อื่น และวิธีอื่นๆ อีกมากมาย น่าเสียดายที่ปีศาจทำไม่สำเร็จ เพราะเด็กสาวมองไม่เห็น และเธอเป็นคนที่มองทุกอย่างด้วยหัวใจ ในที่สุด เธอก็ได้หินวิเศษมา และคำตอบที่ปรากฏบนหนังสือหน้าสุดท้ายก็คือ “ศรัทธา” นั่นเอง คนเราขอเพียงมีศรัทธา จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น บุตรสาวคนสุดท้ายได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้ว... 
 
คนเลี้ยงหมู 
(The Swineherd) 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าชายองค์หนึ่ง ประสงค์จะอภิเษกสมรสกับธิดาของพระราชาผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าชายได้ส่งของกำนัลไปให้เจ้าหญิงสองชิ้น ชิ้นแรกคือ ดอกกุหลาบที่จะบานทุกๆ ห้าปี กลิ่นหอมของมันจะทำให้ผู้ดมหลงลืมปัญหาและความเศร้าเสียใจทั้งหมด ส่วนของกำนัลชิ้นที่สอง คือนกไนติงเกลที่ร้องเพลงได้ทุกเพลงบนโลก พระราชาประทับใจกับของกำนัลมาก แต่เจ้าหญิงกลับขว้างมันออกจากหน้าต่างอย่างไม่แยแส 
 
เจ้าชายหาทางเข้ามาในพระราชวังด้วยการปลอมตัวเป็นคนเลี้ยงหมูของพระราชา และอาศัยอยู่ในกระท่อมอันซอมซ่อ ต่อมาเจ้าชายได้ประดิษฐ์หม้อวิเศษ ที่เจ้าหญิงเห็นแล้วอยากได้ แต่คนเลี้ยงหมูเจ้าเล่ห์ ทำข้อแลกเปลี่ยนเป็นจุมพิตสิบครั้ง ด้วยความอยากได้หม้อ เจ้าหญิงจึงยอมแลกจูบด้วย ต่อมา คนเลี้ยงหมูก็ประดิษฐ์เครื่องดนตรีวิเศษขึ้นมาอีก เจ้าหญิงเห็นก็อยากได้อีก คราวนี้ขอแลกจูบ 100 ครั้ง และเมื่อมาถึงจูบครั้งที่ 86 พระราชาก็แอบเห็นเข้า ด้วยความไม่พอใจว่าลูกสาวไปคบหากับคนเลี้ยงหมูชั้นต่ำ พระราชาจึงขับไล่ทั้งคู่ออกไปจากอาณาจักร 
 
เจ้าหญิงยืนร้องไห้เสียใจอยู่กลางสายฝน คนเลี้ยงหมูจึงล้างโคลนสกปรกออกจากใบหน้า และถอดเสื้อคลุมซอมซ่อของเขาออกไป กลายเป็นชุดเจ้าชายตามเดิม เจ้าหญิงเห็นเข้าก็ตื่นเต้นยินดี แต่เจ้าชายกลับประกาศอย่างชัดเจนว่า... ตอนที่เขาเป็นเจ้าชายและมอบของขวัญล้ำค่าให้กับเธอ เธอกลับเลือกที่จะทิ้งของขวัญจากเขา แต่กลับไปจูบกับคนเลี้ยงหมูเพื่อแลกของต่ำต้อย และปิดประตูวังใส่หน้าเจ้าหญิงที่ยืนตะลึงอยู่ เรื่องก็จบลงอย่างเลือดเย็นและไม่แฮปปี้แม้แต่น้อย เจ้าหญิงถูกทอดทิ้งเพราะความไม่รู้คิดของเธอเอง 
 
สวนวิเศษ 
(The Garden Of Paradise)
เจ้าชายองค์หนึ่งหลงเข้าไปในพายุ เมื่อพายุสงบ พระองค์ทรงได้รับการช่วยเหลือจากหญิงชราผู้มีรูปร่างใหญ่โตและแข็งแรงเหมือนผู้ชาย นางมีลูกชาย 4 คน ซึ่งทยอยกลับมาบ้านทีละคน ลูกชายของนางคือ สายลมทั้ง 4 ทิศ สายลมเหนือได้จมร่างของคนล่าแมวน้ำในทะเล สายลมตะวันตกได้เฝ้าดูวัวควายกระเสือกระสนข้ามแม่น้ำ และได้ฆ่ามันก่อนที่มันจะไปถึงน้ำตก สายลมใต้ ได้ฆ่ากลุ่มคนเดินทางในทะเลทราย ผู้มีความหวังว่าสักวันจะได้สัมผัสกับอย่างอื่นนอกจากทรายเหล่านี้ แน่นอนว่ามารดาแห่งสายลมไม่พอใจเรื่องเล่าของลูกทั้งสาม จนกระทั่งสายลมตะวันออกกลับมาบ้าน และเล่าเรื่องที่เขาได้เดินทางไปที่ประเทศจีน และได้พบกับสวนวิเศษ ที่ซึ่งแม้แต่อดัมกับอีฟยังต้องตะลึง สายลมตะวันออก เดินทางไปที่นี่ทุกๆ ร้อยปี แต่เมื่อเจ้าชายร้องขอ สายลมตะวันออกก็ยินดีจะพาพระองค์ไปที่นั่น 
 
เจ้าชายได้พบกับราชินีแห่งแฟรี่ ผู้อาศัยอยู่ใต้ต้นไม้แห่งปัญญา ต้นไม้นี้มีน้ำตาเป็นสายเลือดด้วยบาปของมนุษย์ แฟรี่อยากให้เจ้าชายอยู่กับนางที่นั่นและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปตลอด 100 ปี เจ้าชายต้องพยายามห้ามตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้เผลอจูบนางเข้า เมื่อเจ้าชายไม่ตกลง แฟรี่จึงขอร้องให้เขาถอดเสื้อผ้าและนอนใต้ต้นไม้แห่งปัญญา เจ้าชายหลงใหลแฟรี่จึงทำตามคำขอ และ ณ ตอนนั้นเอง พระองค์ได้มองเห็นถึงบาปมากมายของผู้คนบนโลก จนเกิดความท้อแท้ใจ และเผลอปล่อยให้แฟรี่จุมพิตอย่างอ่อนโยน ทันใดนั้น สวนวิเศษก็หายวับไป เจ้าชายตื่นมาบนโลกอีกครั้ง และต้องใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ เพื่อหาทางไถ่บาปของตัวเองให้ได้ : เป็นเทพนิยายที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกว่า... ไม่ว่าเนิ่นนานเท่าไหร่ มนุษย์ก็ยังคงว่ายวนอยู่กับบาปของตน และต้องคงไม่อาจจะขึ้นสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย บางที โลกนี้อาจเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์ก็ได้นะ 
 
วันสุดท้าย 
(On The Last Day)
เรื่องเล่าแสนแปลกประหลาดที่พูดถึงชายหนุ่มผู้ได้สัมผัสชีวิตหลังความตาย ระหว่างการเดินทางไปกับความตาย เขาได้พบเห็นผู้คนจำนวนมาก บ้างก็สวมหน้ากาก บ้างก็สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ บ้างก็เคยร่ำรวย และร่ำร้องถึงอดีตอันรุ่งเรืองของตน ความตายได้อธิบายให้ชายหนุ่มฟังว่า ชีวิตของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยหน้ากาก มนุษย์พยายามปกปิดตัวตนของตนไว้ด้วยหน้ากาก ขณะเดียวกันก็พยายามหาทางต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองได้พบอิสระ เขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่ได้แตกต่างกันเลย เมื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มได้พบกลุ่มนกดำตัวใหญ่ที่บินตามและร้องเสียงดังใส่เขาว่า “นักเดินทางผู้มากับความตาย จำข้าได้หรือไม่” เจ้านกดำไล่ตามชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ ความตายอธิบายให้ฟังว่า นกดำเหล่านี้คือความคิดร้ายๆ และความต้องการของเขาในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ชายหนุ่มพยายามหลบหนีนก จนรองเท้าขาดเป็นรู เมื่อต้องเดินเท้าเปล่า เท้าของเขาก็ครูดกับหินจนแสบร้อน ความตายได้อธิบายต่อว่า หินเหล่านี้คือ คำพูดต่างๆ ที่เขาเคยใช้ทำร้ายผู้อื่น คำพูดร้ายๆ ของเขาก็บาดหัวใจคนฟังพอๆ กับที่หินบาดเท้านั่นแหละ ในที่สุด ชายหนุ่มก็เข้าใจทุกอย่าง และสำนึกผิดในสิ่งที่ทำไว้ สุดท้าย เขาได้รับอนุญาตให้ขึ้นสวรรค์  
 
เทพนิยายเรื่องนี้ ให้ข้อคิดเกี่ยวกับศาสนา และทำให้ผู้ที่อ่านได้ระลึกไว้ว่า การทำสิ่งดีๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก คนเราไม่ควรประพฤติชั่ว ไม่ควรทำแต่เรื่องเลวร้าย เพราะมันจะส่งผลทำให้ชีวิตหลังความตายของเราไม่สงบ ถ้าอยากให้ชีวิตหลังความตายเป็นไปอย่างราบรื่น ก็รีบทำวันนี้ให้เป็นวันที่ดีๆ ของเรา แอดมินคิดว่าแอนเดอร์สันคงเขียนเรื่องนี้ เพื่อเป็นข้อคิดเตือนใจให้กับผู้อ่านนั่นเอง เพราะยุคนั้น ศาสนามีบทบาทสำคัญต่อผู้คน นักเขียนก็เลยต้องรับอิทธิพลเหล่านี้ไปด้วย 
 
เจ้าชายผู้ละโมบโลภมาก อยากครอบครองแม้สวรรค์
 
เจ้าชายผู้โหดเหี้ยม 
(The Wicked Prince)
เรื่องเล่าของเจ้าชายที่ปรารถนาจะครอบครองโลก จนกระทั่งยอมกลายเป็นปีศาจร้าย เพื่อให้ความฝันเป็นจริง กองทัพของพระองค์รุกรานทุกที่ เผาทำลายทุกทางที่ผ่าน บรรดามารดาพยายามซ่อนตัวในหมอกควันเพื่อปกป้องลูกๆ ที่ถูกทหารตามล่า และถ้าหากจับตัวผู้หญิงได้ พวกนางก็จะถูกฆ่าไปปรุงอาหาร แต่ถึงกระนั้น เจ้าชายก็ยังไม่พอใจในอำนาจที่มี พระองค์ยังวาดหวังว่าจะเอาชนะได้ครอบครองสวรรค์ เจ้าชายจับเหยี่ยวหลายร้อยหลายพันตัว มาสร้างเป็นพาหนะ เรือบนฟ้าของพระองค์ประกอบด้วยปืนจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อพร้อมแล้ว เจ้าชายก็ขึ้นเรือเหยี่ยว เดินทางไปสวรรค์ ทันใดนั้นเอง เทวดาก็ปรากฏตัวขึ้น เจ้าชายสั่งให้กองทัพยิงปืนใส่เทวดา กระสุนเข้าเป้า แต่เมื่อเลือดของเทวดาสัมผัสเรือเหยี่ยวเข้า เรือนั้นก็กลายเป็นรอยรั่ว และร่วงหล่นทีละลำๆๆๆ สุดท้าย เจ้าชายก็ตกลงมาด้วย แต่พระองค์รอดชีวิตไปได้ และยังคงวางแผนที่จะครอบครองสวรรค์ต่อไป
 
เจ้าชายใช้เวลานานถึง 7 ปี สร้างเรือลำใหม่ และรวบรวมทหารจากทั่วโลก ครั้งนี้ สวรรค์ได้ส่งกองทัพมาสู้กับเจ้าชายด้วย มันคือกองทัพริ้น ระหว่างเจ้าชายบินอยู่บนท้องฟ้า เจ้าริ้นเหล่านี้ก็คลานเข้าไปในหูของพระองค์ และกัดแก้วหูของพระองค์ ทำให้เจ้าชายเป็นบ้า กรีดร้องและฉีกทึ้งเสื้อผ้า สุดท้ายก็ตกลงมาตาย... และนี่คือบทเรียนของเจ้าชายผู้ไม่รู้จักพอ พยายามจะเอาชนะบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง ทว่าในที่สุด ก็ต้องมาตายด้วยฝีมือริ้นเล็กๆ แค่ตัวเดียว... 
 
เรื่องเล่าของแม่ 
(The Story Of A Mother) 
ในคืนที่เหน็บหนาวคืนหนึ่ง ความตายได้พรากทารกที่กำลังป่วยไป ผู้เป็นแม่ได้วิ่งออกจากบ้านเพื่อตามล่าหาความตาย นางได้พบกับหญิงชุดดำ จึงถามว่าความตายไปทางไหน หญิงชุดดำหรือตัวแทนของกลางคืน ได้ร้องขอข้อแลกเปลี่ยน ให้ผู้เป็นแม่ร้องเพลงทุกเพลงที่ร้องให้ลูกของตนฟัง ก่อนจะเฉลยว่า ความตายพาเด็กน้อยไปที่ไหน กลางคืนพาผู้เป็นแม่เข้าไปในป่าลึก เพื่อหาคำตอบจากต้นไม้ ไม่ยอมบอกว่าความตายไปทางไหน จนกว่าผู้เป็นแม่จะทำให้กิ่งไม้ของตนออกดอกได้ ผู้เป็นแม่จึงนำกิ่งไม้เข้าไปซุกไว้ในอก ให้มันได้สัมผัสไออุ่น ใช้เลือดของตนหล่อเลี้ยงจนดอกไม้ผุดขึ้นมาทีละดอกๆ ต้นไม้ทั้งหลายจึงยอมให้ผู้เป็นแม่ผ่านไป ต่อมา ผู้เป็นแม่ได้พบทะเลสาบ ความเหนื่อยล้าทำให้นางก้มลงดื่มน้ำ ทะเลสาบไม่ยอมให้ผู้เป็นแม่ผ่านไปได้ นอกจากนางจะแลกเปลี่ยนด้วยดวงตาของนาง ผู้เป็นแม่ไม่มีทางเลือก นางร้องไห้จนดวงตาหลุดออกมาจากเบ้าและยกให้ทะเลสาบตามคำขอ ทะเลสาบรักษาสัญญาและพานางมายังสถานที่ที่ความตายใช้เก็บดอกไม้และต้นไม้ อันเป็นใจกลางโลก และเป็นวิญญาณของบรรดาคนตายทั้งหลาย หญิงชราผู้เฝ้าอยู่ที่นั่น ได้อนุญาตให้ผู้เป็นแม่ตามหาดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของลูกตน ท่ามกลางดอกไม้นับล้านดอกในเรือนกระจก เพื่อแลกเปลี่ยนกับเส้นผมอันงดงามของนาง และได้ให้คำแนะนำว่า เมื่อความตายกลับมา ให้นางขู่ไปว่า จะทำลายดอกไม้ทุกดอกในสวน ถ้าความตายไม่ยอมมอบลูกคืนนาง 
 
เมื่อความตายกลับมา เขาได้มอบดวงตาคืนให้กับผู้เป็นแม่ เพื่อให้นางได้มองเห็นสองชีวิตพร้อมกัน ชีวิตแรกเต็มไปด้วยความสุข ชีวิตหลังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ยากจน และลำบาก ตรอมตรมอย่างหนัก ความตายบอกว่า ถ้าต้องการชีวิตของลูกคืน ลูกของนางจะต้องใช้ชีวิตอย่างหลัง คือทุกข์เศร้าอย่างหนัก ไม่มีความสุขในชีวิต ผู้เป็นแม่กลัวว่าลูกจะต้องลำบาก จึงยอมเข้าใจ มอบชีวิตของลูกให้กับความตายในที่สุด นางได้อธิษฐานสำนึกผิดต่อพระเจ้า ที่กล้าขัดพระประสงค์ของพระองค์ ความตายเห็นว่าผู้เป็นแม่เข้าใจแล้ว ก็จากไปพร้อมกับดวงวิญญาณของเด็กน้อย 
 
นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าคนเราต่อให้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่สามารถฝืนชะตาได้ และเราไม่ควรทำอะไรให้เหนืออำนาจของธรรมชาติ... เป็นนิทานที่สอนใจผู้อ่าน ทำให้ทุกคนยอมรับในชะตากรรมของตน... 
 
ภูผาเทวดา 
(The Elfin Hill)
ได้มีการจัดงานเลี้ยงขึ้นที่ภูผาเทวดา เพื่อให้บรรดาก็อบลินผู้สูงศักดิ์ได้เลือกเจ้าสาวจากบุตรสาวของราชาเอลฟ์ หญิงสาวเหล่านี้แม้จะงดงาม แต่กลับโหดร้ายเป็นที่สุด ม้าประจำสุสานก็ได้รับเชิญไปงานเต้นรำด้วย เจ้าม้าเหล่านี้ ถูกฝังเป็นๆ ใต้พื้นโบสถ์ ทุกๆ คืน เจ้าม้าก็จะขุดหลุมขึ้นมา และไปเคาะประตูบ้านของคนที่กำลังจะตาย โดยมีอีกาแห่งราตรีเป็นผู้ชี้ทางให้ อีกาแห่งราตรีถือกำเนิดเมื่อบาทหลวงฝังผีร้ายลงในดิน เมื่อถึงเที่ยงคืน อีกาเหล่านี้ก็จะกระพือปีกบินอย่างเสรี บรรยากาศในงานเลี้ยงเต็มไปด้วยความน่ากลัวและหวาดผวา อาหารการกินได้แก่ นิ้วเด็กห่อด้วยหนังหอยทาก และไวน์จากห้องเก็บศพ กบทอดและสลัดพืชมีพิษร้ายแรง เนื้อหนูแฉะๆ เห็ดพิษผัดกุ้ง ส่วนของหวานเป็นตะปูสกปรกกับเศษแก้วจากหน้าต่างโบสถ์ (กินทำไม...?) 
 
ราชาเอลฟ์ได้ให้บุตรสาวออกมาโชว์ความแปลกให้ราชาก็อบลินและบุตรชายได้เห็น ทว่าบุตรชายของราชาก็อบลินไม่ถูกตาต้องใจ จึงปฏิเสธที่จะรับหญิงสาวเหล่านั้นเป็นภรรยา ราชาก็อบลินจึงเป็นผู้เลือกนางมาแต่งงานเสียเอง เพื่อให้พิธีดำเนินไปอย่างสุขสงบ และนี่แหละ คืองานเลี้ยงที่เกิดขึ้น ณ ภูผาเทวดา 
 
กล่องเชื้อจุดไฟ 
(The Tinderbox)
นายทหารคนหนึ่งกลับจากสงคราม และได้พบกับแม่มดแก่หน้าตาน่าเกลียด ผู้บอกกับเขาว่า เขาจะร่ำรวยถ้าหากปีนเข้าไปในต้นไม้ และนำกล่องเชื้อจุดไฟมาให้กับนาง ภายใต้โพรงไม้นั่นเอง นายทหารได้พบกล่องที่เต็มไปด้วยเงินทองมากมาย ใบหนึ่งถูกเฝ้าโดยหมาที่มีตาใหญ่เท่าถ้วยชา อีกใบถูกเฝ้าโดยหมาที่มีตาใหญ่เท่ากังหันลม และอีกใบถูกเฝ้าโดยหมาที่ตาใหญ่เท่าหอคอยแห่งโคเปนเฮเกน แม่มดแก่บอกเคล็ดลับให้กับนายทหาร ให้เขาอุ้มหมาวางไว้บนพรมของนาง แล้วเขาก็จะผ่านเข้าไปได้โดยง่าย จะเอาเงินเอาทองไปสักเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่างเดียวที่นางต้องการคือ กล่องจุดเชื้อไฟเท่านั้น 
 
เมื่อนายทหารกลับมาพร้อมเงินทองเต็มกระเป๋าทุกใบ เขาไม่ยอมให้กล่องจุดเชื้อไฟกับนาง และยังฆ่านางเสียด้วย ทองคำที่ได้มาทำให้นายทหารมีชีวิตรุ่งเรืองอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งเงินหมด เขาก็หมดตัว คนหนึ่ง เขาต้องนอนอยู่เดียวดาย จึงนำกล่องจุดเชื้อไฟมาลองจุดแก้หนาว ผลคือ เจ้าหมาตาเท่าถ้วยชาโผล่มาและถามว่า “เจ้านายต้องการอะไร” นายทหารเรียนรู้ว่า เมื่อขีดไฟหนึ่งครั้ง เขาจะได้พบเจ้าหมาตาถ้วยชา เมื่อขีดไฟสองครั้ง จะได้พบหมาตากังหัน และถ้าขีดไฟสามครั้ง จะได้พบหมาตาหอคอย บรรดาหมาทั้งสาม พร้อมทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง 
 
นายทหารกลับมาร่ำรวยอีกครั้ง และฮึกเหิมถึงกับอยากได้เจ้าหญิงมาเป็นภรรยา คืนหนึ่ง เขาออกคำสั่งให้เจ้าหมาพาไปดูเธอในห้องบรรทม และอดใจไม่ไหว เผลอจุมพิตนาง เจ้าหญิงนำเรื่องนี้ไปบอกราชินี นางจึงรู้ว่า มีคนบุกรุกเข้ามาหาบุตรสาวและได้บอกเรื่องนี้กับพระราชา นายทหารได้สั่งให้เจ้าหมาพามาพบเจ้าหญิงอีกสองคืนติด เขาตกหลุมรักนางเสียแล้ว ในคืนที่สอง ราชินีได้วางกลลวงและรู้ว่าบ้านของเขาอยู่ที่ไหน จากนั้นก็ส่งกองทัพมาจับเขาไปประหาร เมื่อยืนอยู่หน้าตะแลงแกงพร้อมคำขอข้อสุดท้าย นายทหารได้ร้องขอกล่องจุดเชื้อไฟของเขา และเจ้าหมาก็ได้ออกมาช่วยเหลือ ฆ่าทั้งพระราชาและพระราราชินี นายทหารจึงกลายเป็นพระราชาองค์ใหม่ แต่งงานกับเจ้าหญิง และมีเจ้าหมาทั้งสามเป็นบริวารส่วนตัว 
 
เรื่องนี้ออกจะคล้ายๆ กับอาละดินกับตะเกียงวิเศษอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเป็นเทพนิยายมันจึงจบลงแบบง่ายๆ และไร้ข้อคิดใดๆ นายทหารก็ดูจะได้ทุกอย่างมาง่ายๆ โดยไม่ได้ทำอะไร เจ้าหญิงก็เช่นกัน หลงรักคนที่ฆ่าพ่อแม่ของตนได้อย่างไร เป็นเทพนิยายแปลกๆ ที่เหมาะจะอ่านไปไม่ต้องคิดอะไรมาก
 
เงา
(The Shadow) 
ชายหนุ่มคนหนึ่ง มองเห็นสาวสวยยืนอยู่ที่บัลโคนี่และตกหลุมรักนาง คืนนหนึ่ง เขาได้สั่งให้เงาของตนแอบเข้าไปหานางในห้อง จะได้ทำความรู้จักนาง วันต่อมา ชายหนุ่มพบว่าเงาหนีไปเสียแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก ชายหนุ่มหวนกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างสงบ หลายปีต่อมา ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าในเครื่องแต่งกายหรูหราแวะมาเยี่ยมเยียนเขา คนแปลกหน้าอ้างว่า เป็นเงาเก่าของชายหนุ่มที่หายไป และได้ไปผจญภัยหลายๆ อย่าง แถมได้เรียนรู้ความลับต่างๆ ของมนุษย์มามากมาย เงาได้สัญญาว่า จะมอบความลับนี้ให้กับนายเก่า เพื่อให้เขาได้นำไปใช้แบล็คเมล์ จะได้ร่ำรวยและมีเงินทองมากมาย แต่ชายหนุ่มปฏิเสธไป 
 
หลายปีต่อมา ชายหนุ่มยากจนข้นแค้น ตกระกำลำบาก เจ้าเงาก็กลับมาในชีวิตและชวนเขาให้ออกเดินทางไปด้วย ชายหนุ่มเห็นว่าไม่มีอะไรจะเสียก็เลยยอมตามเงาไป ไม่รู้เลยว่าเงามีแผนจะครอบครองร่างของเขา ที่โรงอาบน้ำ เงาได้หลอกล่อจนองค์หญิงหลงรัก และบอกเจ้าหญิงว่าตนมีฝาแฝดอีกคน ที่หน้าเหมือนกันมากๆ แต่เป็นแค่เงาเท่านั้น เจ้าหญิงเข้าพิธีแต่งงานกับเงา แต่ชายหนุ่มเจ้าของเงามาห้ามไว้ และประกาศความจริงว่า คนที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิงเป็นแค่เงา แต่เงาบอกว่า ไม่ต้องไปสนใจคำโกหก เจ้าหญิงไม่เชื่อคำพูดของชายหนุ่มและเข้าพิธีแต่งงานกับเงา วันต่อมา... ชายหนุ่มก็พบว่าตัวเองได้กลายเป็นเงาไปเสียแล้ว เขาถูกเงาของตัวเองยึดร่างไปอย่างแนบเนียน... 
 
เพื่อนร่วมทางตอบแทนบุญคุณหนุ่มน้อยจอห์น
 
เพื่อนร่วมทาง
(The Traveling Companion)
หนุ่มน้อยชื่อจอห์นต้องเคว้งคว้างหลังบิดาเสียชีวิต ระหว่างสงบจิตใจในโบสถ์ จอห์นได้พบผู้ชายสองคนที่พยายามจะทำลายศพของคนที่ติดหนี้สินเขาอยู่ จอห์นจ่ายหนี้ให้ศพ เพื่อให้ศพปลอดภัย และจากมาอย่างสบายใจ ระหว่างการเดินทางนั้นเอง จอห์นได้พบคนแปลกหน้าที่ขอมาเป็นเพื่อนร่วมทางของเขา เพื่อนร่วมทางได้ช่วยเหลือจอห์นหลายอย่างจนกระทั่งเขากลายเป็นคนร่ำรวย และได้ครอบครองสมบัติสุดวิเศษอย่าง ไม้วิเศษสามอัน ดาบ และปีกหงส์  
 
แม้จะได้สมบัติมากมายแต่จอห์นก็ยังไม่พอใจ เขาตกหลุมรักเจ้าหญิงผู้งดงาม ทั้งๆ นางเป็นคนใจดำอำมหิต เจ้าหญิงบอกจอห์นว่า ถ้าเขาไม่สามารถเดาความคิดของนางได้ภายในสามวัน จอห์นจะต้องตายกลายเป็นศพ เช่นเดียวกับศพของเจ้าชายคนอื่นๆ ก่อนหน้า และนางจะแขวนศพกับเก็บกระดูกของเขาไว้ที่สวนของนาง คืนนั้น เพื่อนร่วมทางของจอห์นได้ลักลอบตามเจ้าหญิงไปโดยสวมปีกหงส์วิเศษไว้ ทำให้สามารถบินได้ เพื่อนร่วมงานของจอห์นได้เห็นสิ่งเลวร้ายต่างๆ นานาที่เจ้าหญิงได้ทำ นางลอบไปพบปะกับผู้วิเศษ ซึ่งบอกเจ้าหญิงว่าจะแนะนำความคิดให้และเปลี่ยนกับการที่เจ้าหญิงนำดวงตาของจอห์นมาให้กับเขา เพื่อนร่วมทางตามเจ้าหญิงไปจนเจ้าหญิงกลับสู่สวนของนาง และใช้ไม้วิเศษตีนางจนเลือดออก วันต่อมา เขาก็บอกความคิดของนางกับจอห์น สองคืนต่อมา เพื่อนร่วมทางก็ติดตามเจ้าหญิงไปอีก และตีนางแรงขึ้นในทุกครั้ง ในคืนที่สาม ผู้วิเศษได้บอกให้เจ้าหญิงนึกถึงศีรษะของเขา เพื่อนร่วมงานรอให้เจ้าหญิงกลับออกไป ก็จัดการตัดศีรษะของผู้วิเศษและนำมาให้จอห์น วันต่อมาเมื่อเจ้าหญิงถามว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จอห์นจึงโยนศีรษะของผู้วิเศษออกมาตรงหน้า และนางกลายเป็นภรรยาของเขา 
 
จอห์นถามว่าเขาจะตอบแทนอะไรเพื่อนร่วมทางได้บ้าง เพื่อนร่วมทางจึงบอกความจริงว่า เขากำลังใช้หนี้ที่จอห์นใช้ให้เขาต่างหาก และทุกอย่างได้จบลงแล้ว จอห์นขอร้องไม่ให้เพื่อนร่วมทางจากไป แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ สุดท้าย จอห์นก็ได้ใช้ชีวิตกับเจ้าหญิงอย่างผาสุก และเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะความเมตตาของเขาที่มีต่อคนอื่น โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
 
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
 
ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 
http://hca.gilead.org.il/travelng.html
http://hca.gilead.org.il/tinderbx.html 
https://www.theguardian.com/books/2006/jan/18/theatre.classics 
https://blog.bookstellyouwhy.com/4-hans-christian-andersen-stories-that-are-way-stranger-than-you-think 
http://listverse.com/2017/12/22/10-obscure-and-deeply-odd-fairy-tales-written-by-hans-christian-andersen/ 
https://en.wikipedia.org/wiki/Hans_Christian_Andersen
 
 
ทีมงาน writer

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

แบมแบม 3 พ.ค. 61 17:00 น. 1

เรื่องกล่องเชื้อจุดไฟ... คือมัน...

ทำไมมันจบแบบไร้แก่นสารขนาดนี้ การกระทำของตัวละครก็ดูไม่มีเหตุผลเลยอ่ะ

1
กำลังโหลด
กำลังโหลด