Writer's Life: เผย 23 เรื่องเจ็บปวดที่ “นักเขียน” เท่านั้นที่รู้!

Writer's Life: เผย 23 เรื่องเจ็บปวด
ที่นักเขียนเท่านั้นที่รู้!

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาวนักเขียนเด็กดีทุกคน การเป็นนักเขียนเปรียบเสมือนของขวัญและคำสาปในเวลาเดียวกัน พวกเรามีพรสวรรค์ในเรื่องการใช้คำและสามารถเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นเรื่องราวได้ ไม่ว่าเราพร้อมจะเขียนนิยายหรือไม่พร้อมก็ตาม ไอเดียก็มักแล่นเข้ามาหาเราเสมอ นั่นเป็นผลให้เราต้องรีบลงมือเขียนก่อนที่ไอเดียจะหายไป เมื่อเราหลวมตัวเป็นนักเขียนแล้ว กฎข้อเดียวที่ต้องปฏิบัติคือ “เขียน เขียน และเขียนเท่านั้น!” เขียนแม้ว่านี่จะเป็นวันหยุดของเราและเขียนแม้ว่าเราจะตันก็ตาม เห็นมั้ยว่านี่เป็นคำสาป! แต่ข่าวดีก็คือการเขียนนี่แหละที่ต่อลมหายใจของพวกเรา

อย่างที่บอก การเขียนคือความสุข แต่บางครั้งมันก็สร้างความเจ็บปวดให้เรา ในฐานะที่พี่น้ำผึ้งเป็นนักเขียนเช่นเดียวกับน้องๆ พี่จึงรู้เลยว่าการเป็นนักเขียนไม่ใช่เรื่องง่าย และในวันนี้ก็ได้รวบรวม 23 เรื่องเจ็บปวดที่พวกเราชาวนักเขียนเท่านั้นที่เข้าใจมาฝากค่ะ 
 


(via: shutterstock)
 

ความเจ็บปวด #1 เมื่อโทมัส มันน์อธิบายนักเขียนว่าเป็น “คนเขียนที่ไม่ได้เขียนง่ายๆ” พวกเราพยักหน้าอย่างสนับสนุน ใช่สิ กว่าจะเขียนได้แต่ละที ลำบากมากๆ แล้วพวกเราก็ยังสนับสนุนคำพูดของวอล์คเกอร์ เพอร์ซี่ย์ที่บอกว่า “การเขียนนั้นเหมือนกับความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นเมื่อคุณเขียนมันจบสมบูรณ์ คุณก็จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นอีกครั้ง” ด้วย ก็แหม...กว่าจะเขียนให้จบนี่เหนื่อยแทบเป็นสายเลือด แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ทำต่อไปนะ เพราะพวกเรารักการเขียน 
 

ความเจ็บปวด #2 การเขียนนิยายให้จบสักเรื่องเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก เหมือนอย่างที่แคทลิน มอแรนตอกใส่หน้าพวกเราเต็มๆ ว่า “การเขียนหนังสือเลวร้ายยิ่งกว่าการคลอดลูกซะอีก” นั่นแหละ แถมจอร์จ ออร์เวลล์ยังเคยบอกด้วยว่า “คนเราจะไม่ทำอะไรแบบนั้นถ้าไม่ถูกปีศาจร้ายที่เราไม่สามารถต้านทานหรือเข้าใจได้ควบคุม” ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ต่อให้ปีศาจจะควบคุมเรา หรือการเขียนจะเลวร้ายยิ่งกว่าการคลอดลูก แต่เราก็มีความสุขตอนเห็นหน้าลูก (หนังสือ) ของเรานะ

ความเจ็บปวด #3 อาการตันไม่มีอยู่จริง มันเป็นแค่ข้ออ้างของพวกเราเท่านั้น เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์เคยกล่าวไว้ว่า “อาการตันน่ะเหรอ? หลอกลวงทั้งนั้น มันเป็นแค่ข้อแก้ตัวแหลๆ ของคนที่ไม่ยอมทำงานตัวเองเท่านั้น!” เจ็บจัง...เลิกอู้แล้วกลับไปเขียนนิยายต่อก็ได้

ความเจ็บปวด #4 การรีไรต์งานเป็นอะไรที่เจ็บปวดมาก กว่าจะเขียนจบก็เหนื่อยแล้ว ทำไมต้องมานั่งรีไรต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วย พวกเราบางคนรีไรต์ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง! แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะทำให้เรา เพราะงั้นถึงเราจะบ่นโอดโอยมากแค่ไหน เราก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตารีไรต์ต่อไป ก็เราอยากให้นิยายของเราออกมาดีที่สุดนี่นา

ความเจ็บปวด #5 พวกเราซาบซึ้งมากที่คุณวิจารณ์งานเขียนของเรา แต่บางครั้งคำวิจารณ์ของบางคนก็ดูไม่เหมือนคำวิจารณ์ซะเลย มันเหมือนคำด่าแรงๆ มากกว่า พวกคุณบางคนเอาแต่ติโดยไม่ยอมบอกว่าเราจะปรับปรุงมันยังไง แล้วแบบนี้พวกเราจะพัฒนาได้ยังไงล่ะ? แต่เราก็ขอขอบคุณกับคำวิจารณ์ที่มีประโยชน์มากๆ นะ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้งานเขียนของเราดีขึ้น พวกเราคงไม่มีวันนี้ได้หากปราศจากคุณ!

ความเจ็บปวด #6 พวกเรารู้ว่าจะจัดการกับอาการวิตกกังวลยังไง พวกเราบางคนเขียนนิยายมากๆ ก็เครียด กดดนตัวเองมากเกินไป ดังนั้นมันเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องจัดการกับความเครียดของเราให้ได้ โดยเฉพาะความวิตกกังวล ไม่อย่างนั้นเราจะเขียนนิยายไม่ได้เลย ส่วนวิธีที่เรารับมือน่ะเหรอ? ก็แค่ระบายมันออกมาในรูปแบบการเขียนไงจ๊ะ 

ความเจ็บปวด #7 ความสุขที่ยิ่งใหญ่ของพวกเราคือวลีที่สมบูรณ์แบบ! เราจะฟินมากหากเราสามารถคิดวลีเด็ดๆ แล้วใส่ลงไปในนิยายของเรา คำทุกคำ วรรคทุกวรรค ประโยคทุกประโยคเป็นสิ่งที่เราเขียนออกมาอย่างตั้งใจ แล้วพวกเราจะนอยด์มากถ้ามีคนก๊อปปี้วลีของเราไปใช้โดยไม่ใส่เครดิตหรือไม่ได้รับอนุญาต 

ความเจ็บปวด #8 พวกเรารู้ว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไงและงานของพวกเราต้องเป็นเช่นไร พวกเรารู้นะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เบน แฟรงคลินบอกกับนักเขียนรุ่นใหม่เสมอว่า “เขียนสิ่งที่ควรค่าแก่การอ่านหรือทำในสิ่งที่ควรค่าแก่การเขียน” ใช่...เราทำสองอย่างนะ เชื่อเราสิ

ความเจ็บปวด #9 พวกเราต้องมีก้าวแรกก่อนที่จะมีก้าวถัดไป ในตอนท้ายของหนังสือเรื่อง Dreams From Bunker Hill ของ John Fante ตัวละคร ไม่สิ ตัวนักเขียนน่ะหยิบบทกลอนสี่บรรทัดที่เขาชื่นชอบมาใส่ แล้วรู้อะไรมั้ย? หนึ่งในประโยคนั้นคือ “คนต้องเริ่มจากที่ไหนสักแห่ง” ดังนั้นถ้าเราไม่เริ่มเขียนตอนนี้ เราก็จะไม่มีวันได้เป็นนักเขียน ถึงก้าวแรกจะยากแค่ไหน แต่เราก็ต้องเขียน!

ความเจ็บปวด #10 อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเราไม่ใช่นักวิจารณ์ ไม่ใช่ บ.ก. ไม่ใช่สำนักพิมพ์ ไม่ใช่การตลาด ไม่ใช่การถูกแบนหรืออะไรทำนองนั้น แต่นักเขียนจริงจะกลัวสิ่งที่สตีเฟ่น เพรสฟิลด์เรียกว่า “ความต้านทาน” ต่างหาก คุณรู้มั้ยศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของพวกเราคือตัวเราเอง เราต่างหากที่เป็นคนเลือกว่าจะกลัว ขี้เกียจ หรือไม่ยอมเขียน อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้น 

ความเจ็บปวด #11 พวกเราต้องเขียนทุกอย่างที่คิดได้หรือเลือกไม่เขียนเลยก็ได้ แต่อย่าลืมนะว่ามันเสี่ยงมาก เสี่ยงที่ความคิดนั้นจะหายไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราพกสมุดกับปากกาไปทุกที่ หรือบางทีเราก็ขลุกอยู่แต่กับมือถือ เราไม่ได้ส่องใคร แต่เราเขียนนิยาย อย่าเข้าใจเราผิด!

ความเจ็บปวด #12 พวกเรามองหาแรงบันดาลใจเสมอ ไม่ว่าเราจะไปไหน ทุกสิ่งที่เราพบ ทุกคำพูดที่ได้ยินล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เราและเป็นทรัพยากรอันทรงคุณค่าของเรา โรเบิร์ต กรีนน์บอกว่า “มันเกี่ยวกับทรัพยากร” จริงๆ นะ เราสามารถหยิบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรามาใช้ในงานเขียนของเราได้หมด เจอร์รี่ ไซน์เฟลด์คนเดิมเคยพูดไว้ว่า “ทุกๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิต ผมจะคิดเสมอว่า ‘นี่ผมสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง?’” ดังนั้นนอกจากจะมีเครื่องมือเเล้ว พวกเรายังต้องหาวิธีหยิบมันไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะใช่ว่าเครื่องมือทุกอันจะเหมาะกับเรา

 


(via: stocksnap)
 

ความเจ็บปวด #13 การอ่านเป็นเชื้อเพลิงในการทำงานของพวกเรา เราอ่านตลอด อ่าน อ่าน และอ่าน แม้เราจะขี้เกียจแต่เราก็อ่าน เพราะมันจุดไฟให้เราอยากเขียนนิยาย เงินของพวกเราหมดไปกับหนังสือทั้งนั้น แต่ถ้าเงินเราเหลือ เราถึงค่อยซื้ออาหารกับเสื้อผ้า เพราะงั้นสิ้นเดือนทีพวกเราจะแฮปปี้ มีเงินซื้อหนังสือ แต่หลังจากนั้นก็กินมาม่าเเทน เจ็บปวดจริงๆ

ความเจ็บปวด #14 พวกเรารู้ว่าบรรณาธิการทำงานอย่างไร พวกเขาไม่ใช่พ่อมด ไม่ใช่นักมายากล พวกเขาแค่เป็นอาจารย์ “รอบรู้” ที่บอกว่าเราควรทำยังไง อย่างที่แม็กซ์เวลล์ เพอร์คกินส์ บรรณาธิการของ Fitzgerald กล่าวไว้นั่นแหละ “บรรณาธิการไม่ได้เป็นคนเขียนหนังสือ ที่ดีที่สุดที่เขาทำได้คือแนะนำว่าเราควรทำยังไงให้ผลงานของเราสมบูรณ์แบบ” ดังนั้นพวกเราจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด และถึงเราจะต้องแก้นิยาย...เราก็จะแก้นะ แต่จะแก้ตามสมเหตุสมผลเท่านั้น 

ความเจ็บปวด #15 การเขียนกับการตีพิมพ์ต่างกัน อันหนึ่งนั้นน่าผิดหวัง แต่อีกหนึ่งนั้นเปี่ยมไปด้วยความรื่นรมย์ แอนน์ ลาม็อตต์เคยกล่าวว่า “การตีพิมพ์อาจไม่เหมือนกับที่เราคิดไว้ แต่การเขียน...มันเหมือนกับการค้นหาว่าความคิดของเราเป็นยังไง จริงๆ แล้วเราต้องการอะไร ซึ่งมันทำให้เรามีความสุข” เพราะงั้นแม้เราจะเจ็บปวดที่นิยายของเราไม่ได้ตีพิมพ์ แต่เราก็มีความสุขที่ได้เขียนนิยาย

ความเจ็บปวด #16 พวกเรารู้นะว่า “หนังสือ” กับ “หนังสือลดราคา” ต่างกันยังไง เชอร์ สเตรย์พูดว่า “หนังสือคือสิ่งที่เราสร้างขึ้นโดยการเขียนมันเป็นเวลานาน แต่อีกอันคือสิ่งที่ตลาดตัดสินใจทำกับสิ่งที่คุณสร้าง!” ฟังแล้วเจ็บปวดนะที่เห็นหนังสือของเราอยู่ในกองลดราคา 90 เปอร์เซ็นต์!

ความเจ็บปวด #17 แรงบันดาลใจนั้นมีความสำคัญและเราต้องรวมมันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อผลงานที่ดีที่สุด วิธีเดียวที่จะรวมแรงบันดาลใจให้เป็นหนึ่งเดียวได้คือ “การเขียน” มันออกมา แต่ปัญหาก็คือพวกเรามีแรงบันดาลใจแต่ไม่มีอารมณ์เขียนนิยาย เพราะงั้นเราจึงต้องกระตุ้นตัวเราอยู่ตลอดเวลา พวกเรารู้ว่าหากเราไม่เขียน พวกเราก็จะไม่มีทางกลายเป็นนักเขียนได้เลย

ความเจ็บปวด #18 พวกเราตั้งใจเขียนนิยายมากๆ และในบางครั้งเวลาเราอัปลงเว็บอย่างภาคภูมิใจ เราก็แค่หวังว่าจะมี “ใครสักคน” มาคอมเมนต์ให้กำลังใจเรา แต่ทุกครั้งที่เราเปิดเข้ามาดูหน้านิยายของเราก็เจอแต่ความว่างเปล่า นี่แหละคือความเจ็บปวดดีๆ ของพวกเรา ความรู้สึกเหมือนกับคนที่แอบชอบอ่านแชทแล้วไม่ตอบไม่มีผิด

ความเจ็บปวด #19 อุบัติเหตุเกิดขึ้นเสมอ ช้าก่อน อย่าเพิ่งคิดไปไกล จริงๆ แล้วเราหมายถึงว่า บ่อยครั้งขณะที่เราเขียนนิยายดีๆ แต่แล้วอยู่ๆ ไฟดับ คอมพ์ดันชัตดาวน์เองโดยที่เรายังไม่เซฟ เล่นเอาร้องไห้น้ำตาตกเลยทีเดียว เพราะงั้นเราจึงต้องเตือนตัวเองให้เซฟบ่อยๆ เราไม่อยากที่จะต้องมาเขียนใหม่ ลืมหมดแล้วจ้า ปวดร้าวเหมือนใครเอามีดมากรีดอก

ความเจ็บปวด #20 พวกเราต้องรู้ว่าทำไมเราถึงทำในสิ่งที่เรากำลังทำ และท้ายที่สุดเรารู้ว่าเราทำมันเพราะมันคือ “ความสุข” ของเรา ถ้าเราไม่รู้ว่าเรากำลังเขียนอะไร มันก็อาจสามารถสร้างความทุกข์ให้เราได้ทีหลัง ดังนั้นเรามักจะตั้งเป้าหมายและเขียนมัน การเขียนนิยายคือความสุขที่สุดในชีวิตเรานะ

ความเจ็บปวด #21 เราเขียนนิยายตามใจตัวเอง แต่พอเริ่มมีคนอ่านงานเขียนของเรามากขึ้น มีคนแนะนำนู่นนั่นนี่ เราก็เริ่มจะเขว เราเริ่มพยายามเขียนเพื่อให้ทุกคนพอใจ แต่ดูเหมือนทุกคนจะยังไม่พอใจกับมันเท่าไหร่ เราเหนื่อยที่ต้องฝืนตัวเองเพื่อสร้างความสุขให้พวกเขา แต่ตัวพวกเรากลับทุกข์เอง เพราะงั้นเราจึงต้องดึงตัวเองให้มาอยู่จุดพอดีที่เราและนักอ่านมีความสุขเท่าๆ กัน เราไม่สามารถเอาใจนักอ่านทุกคนได้ แต่เราจะทำให้ดีที่สุดนะ อย่างน้อยนิยายของเราก็ออกมาจากใจของเรา โปรดรู้ไว้เลย

ความเจ็บปวด #22 คนชอบคิดว่าเราโลกส่วนตัวสูง จริงๆ เราก็ไม่ได้โลกส่วนตัวสูงขนาดนั้น เราไม่ได้เงียบ เราไม่ได้ไม่เข้าสังคม เราก็เหมือนคนปกติทั่วไปนั่นแหละ เรามีความเหงา เราโหยหาความรัก เรามีเพื่อนที่น่ารัก เราชอบเผือกเรื่องชาวบ้าน เราชอบเล่นกับเด็กและสัตว์ โลกของเราสดใสไม่มืดมน แล้วสิ่งที่เติมเต็มเราได้ดีสุดๆ ก็คือการอ่านหนังสือกับเขียนนิยาย คนเขียนนิยายไม่จำเป็นต้องเงียบเสมอไป

ความเจ็บปวด #23 เวลาพวกเราออกเดตแล้วอีกฝ่ายถามว่าเราทำงานอะไร พวกเรามักตอบอย่างภาคภูมิใจว่าเป็น “นักเขียน” คู่เดตของเราก็มักจะถามเราอยู่เสมอว่า “วางแผนจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องของเรามั้ย?” ได้โปรดอย่าถามแบบนี้เลย มันทำให้พวกเราเขิน เกิดอาการพูดติดอ่าง มือไม้สั่น พวกเราจะหาวิธีที่สุภาพที่สุดในการปฏิเสธพวกเขา ไม่มีทางหรอก เราไม่เขียนเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด มันทำให้เรารู้สึกแปลกๆ นะ! (เพราะคุณจะทำให้เราไม่มีสมาธิ)

 


(via: tenor)
 

พูดตามตรงเลยนะการเป็นนักเขียนไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตแบบนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอก คนรอบข้างไม่ค่อยเข้าใจพวกเราเท่าไหร่ แต่ถ้าเราคิดว่านี่แหละเป็นชีวิตที่ใช่และเรารับมือกับความเจ็บปวดเหล่านี้ได้ เราก็สามารถกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเรานี่แหละคือ “นักเขียน”

เอาล่ะ...ถึงแม้คนรอบข้างจะไม่ค่อยเข้าใจพวกเรา แต่ถ้าเราเข้าใจตัวเราว่าทำอะไรและต้องการอะไร เราก็จะภาคภูมิใจที่เราได้สร้างชีวิตจากความคิด และความสุขของเราก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แม้เป็นเพียงแค่ตัวอักษร จำไว้นักนักเขียนทุกคน แค่เริ่มเขียน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะมีชีวิตแล้ว

พี่น้ำผึ้ง :)

 

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

ChapterSp Member 3 ธ.ค. 61 12:51 น. 1

555 ขอเถียงเรื่องตันได้มั้ยคะ

อาการที่ว่าไปต่อไม่ถูกแม้จะพยายามเขียนพยายามนึกยังไง ก็ยังต้องการพักความคิดเเล้วค่อยเริ่มใหม่

เพราะเราจะเป็นพวกถ้าดันทุรังทำโดยที่่ ...."ทำเพื่อให้มี".... งานกจะยิ่งออกมาแย่

1
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 4 ธ.ค. 61 19:46 น. 1-1

เห็นด้วยๆ

มันไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนๆๆๆๆ เรื่องคุณภาพก็สำคัญ ได้แก่ความแปลกใหม่ ความสำคัญกับสังคมส่วนรวม อะไรงี้ด้วย

แล้วเมื่ออ่านจากข้อความในบทความ "ความเจ็บปวด #9...ดังนั้นถ้าเราไม่เริ่มเขียนตอนนี้ เราก็จะไม่มีวันได้เป็นนักเขียน ถึงก้าวแรกจะยากแค่ไหน แต่เราก็ต้องเขียน"

ทำให้เราเกิดความสงสัยว่าทำไมบทความที่อ้างว่าเล่าเรื่องชีวิตนักเขียนกลับพูดถึงก้าวแรกของการเป็นนักเขียน???? คือคนที่จะได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนน่าจะต้องเขียนงานออกมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งชิ้นงานนะ จากจุดนี้เราจับนัยความได้ว่าบทความนี้เหมือนกำลังเล็งหาใครซักคนที่ยังไม่เริ่มเขียนงานอะไรเลยและยังไม่ได้เป็นนักเขียน อืมมมม เราว่าคนที่อยากจะเป็นนักเขียนมาเห็นแล้วคงไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า เกลียดคนเขียนบทความนี้ว่ะ

0
กำลังโหลด

8 ความคิดเห็น

ChapterSp Member 3 ธ.ค. 61 12:51 น. 1

555 ขอเถียงเรื่องตันได้มั้ยคะ

อาการที่ว่าไปต่อไม่ถูกแม้จะพยายามเขียนพยายามนึกยังไง ก็ยังต้องการพักความคิดเเล้วค่อยเริ่มใหม่

เพราะเราจะเป็นพวกถ้าดันทุรังทำโดยที่่ ...."ทำเพื่อให้มี".... งานกจะยิ่งออกมาแย่

1
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 4 ธ.ค. 61 19:46 น. 1-1

เห็นด้วยๆ

มันไม่ใช่สักแต่ว่าเขียนๆๆๆๆ เรื่องคุณภาพก็สำคัญ ได้แก่ความแปลกใหม่ ความสำคัญกับสังคมส่วนรวม อะไรงี้ด้วย

แล้วเมื่ออ่านจากข้อความในบทความ "ความเจ็บปวด #9...ดังนั้นถ้าเราไม่เริ่มเขียนตอนนี้ เราก็จะไม่มีวันได้เป็นนักเขียน ถึงก้าวแรกจะยากแค่ไหน แต่เราก็ต้องเขียน"

ทำให้เราเกิดความสงสัยว่าทำไมบทความที่อ้างว่าเล่าเรื่องชีวิตนักเขียนกลับพูดถึงก้าวแรกของการเป็นนักเขียน???? คือคนที่จะได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนน่าจะต้องเขียนงานออกมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งชิ้นงานนะ จากจุดนี้เราจับนัยความได้ว่าบทความนี้เหมือนกำลังเล็งหาใครซักคนที่ยังไม่เริ่มเขียนงานอะไรเลยและยังไม่ได้เป็นนักเขียน อืมมมม เราว่าคนที่อยากจะเป็นนักเขียนมาเห็นแล้วคงไปทำงานอย่างอื่นดีกว่า เกลียดคนเขียนบทความนี้ว่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
ExpertKak Member 10 ธ.ค. 61 12:13 น. 5

ผมก็ท้อเหมือนกันครับ5555แตตบ่ก็อย่างว่าล่ะผมไม่เหมาะจะเป็นนักเขียนจริงๆเพราะแต่งครั้งแรกผมพยายามปรับปรุงให้นักอ่านไม่เบื่อไม่ขี้เกียจอ่านเพราะตอนปัจจุบันนั้นผมกลัวคนอ่านจะขี้เกียจอ่านเอาเลยต้องรวบรัดไปเลยแต่ก็ยังมีคนบอกว่า"เนื้อเรื่องดำเนินเร็วไปใหม?" "นิยายไรเนี่ยไม่อธิบายไรเลย ไม่ได้เรื่องขอลาละกันบาย"คือผมท้อมากอ่ะครับผมคิดว่าผมไม่เหมาะกับการแต่งเลยแต่เอาจริงๆผมอยากแต่งมาหลายปีละครับแต่ด้วยตอนนั้นอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผมเลยเพิ่งแต่งปีนี้ครับ ตอนนี้มีอยู่25ตอน

0
กำลังโหลด
Yukino Hana Member 12 ธ.ค. 61 00:43 น. 6

เราตันเราเห็นด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าจะเขียนได้เลย ถ้าไม่มีแนวที่ต้องเขียนต่อ อีกอย่างบางทีที่ตัน ก็เพราะคอมเม้นนี่แหละค่ะ พอได้อ่านแล้วบางทีมันมีความคิดที่ว่า ถ้าเรายังแต่งให้เรื่องดำเนินแบบนี้ต่อไป คงจะไม่ถูกใจคนอ่านอีกแน่เลย แต่ก็ต้องเก็บส่วนนี้ไว้ในใจต่อไป เพราะมาคิดดูแล้วเราแต่งเพราะเราอยากแต่งในแบบที่เราเป็นดีกว่า ไม่อยากเปลี่ยนบทไปแต่งเพราะคนอื่นไม่ชอบ

0
กำลังโหลด
SweirFeng Member 13 ธ.ค. 61 22:51 น. 7

เป็นบทความที่ดีมากเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆนะคะ อ่านไปขำไป โดยเฉพาะเรื่องอาการตันที่ไม่มีอยู่จริง 55 :)

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด