โทนี่ สตาร์ค ฮีโร่เห็นแก่ตัวจาก Marvel สู่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่เพื่อจักรวาล

โทนี่ สตาร์ค ฮีโร่เห็นแก่ตัวจาก Marvel
สู่การเสียสละเพื่อจักรวาล
 

แด่โทนี่ สตาร์ค, คุณจะอยู่ในใจพวกเราตลอดกาล :)


 

“ฉันคือไอรอนแมน” ดูจะเป็นประโยคที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาลมาร์เวล ณ เวลานี้ เชื่อว่าน้องๆ ชาวเด็กดีที่ได้ดูภาพยนตร์ Avengers: Endgame ภาคล่าสุดเองก็คงพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่พี่พูดใช่มั้ยล่ะ ตลอดช่วงระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลายคนรวมทั้งพี่เติบโตมาพร้อมกับโทนี่ สตาร์ค หรือมนุษย์เกราะเหล็กไอรอนแมน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาช่างเป็นตัวละครที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่เพราะสตาร์คคือมนุษย์กระจ้อยร่อยที่พิสูจน์ให้โลกเห็นว่า “คนธรรมดาก็สามารถกลายฮีโร่ที่เจ๋งสุดยอดได้” แต่ยังเป็นเพราะตัวละครนี้มีพัฒนาการ มีการเปลี่ยนแปลงตลอดในทุกๆ ภาพยนตร์ที่เขาปรากฎ ตั้งแต่ Iron Man ไปจนถึง Avengers ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สตาร์คจะกลายเป็นตัวละครที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ และคนทั่วโลกตกหลุมรักเขา!
 

** spoiler alert **
ขอเตือนไว้ก่อน บทความนี้สปอยล์หนักมาก ไม่ใช่แค่ Avengers เท่านั้น!!

 


 

โทนี่ สตาร์คหรือไอรอนแมน รับบทโดยโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ไม่เพียงแต่เป็นตัวละครที่โดดเด่นที่สุดในจักรวาลมาร์เวล ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าผู้พิทักษ์โลกและมีบทบาทสำคัญอยู่ตลอด เขายังเป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุด   อาจเป็นเพราะแง่มุมที่เป็นธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา ตัวเลือกของผู้สร้างภาพยนตร์ และการแสดงอันซับซ้อนของดาวนี่ย์

ในขณะที่ตัวละครอื่นๆ มีบุคลิกคงที่ตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ (Static Character) สตีฟ โรเจอร์เป็นวีรบุรุษทั้งก่อนและหลังกลายเป็นกัปตันอเมริกา บรูซ แบนเนอร์เป็นผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งก่อนและหลังกลายเป็นฮัลค์ ธอร์เป็นเทพเจ้าขั้นเทพตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง ส่วนนาตาชา โรมานอฟ เราแค่ได้ยินคนพูดอดีตอันมืดมนของเธอเฉยๆ เพราะหลังจากนั้นเธอก็มุ่งมั่นอุทิศตัวให้กับการพิทักษ์โลก และคลิ้นท์ บาร์ตัน ฮอว์คอายของเราก็มั่นคงมาแต่ไหนแต่ไร ยกเว้นตอนถูกโลกิควบคุมจิตนั่นแหละ เหลือก็แต่สตาร์คซึ่งเป็นตัวละครที่ปรับเปลี่ยนนิสัย บุคลิกลักษณะ และทัศนคติไปเรื่อยๆ ตามประสบการณ์หรือสภาพจิตใจของตัวเอง (dynamic character) จะเรียกว่าเขาเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการก็ไม่แปลกเท่าไหร่นัก

 


 

ไอรอนแมน เศรษฐี ผู้ใจบุญ นักรักและอัจฉริยะที่ถูกบังคับให้เปลี่ยแปลง

ต้นกำเนิดของโทนี่ สตาร์คในไอรอนแมนกลายเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยในมาร์เวล และมันไม่เคยน่าเบื่อเลย ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายของนักอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยและเปี่ยมไปความคิดสร้างสรรค์ โทนี่ สตาร์คพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย สตาร์คเข้าเรียนที่ MIT เมื่ออายุ 15 ปีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในเวลาไม่กี่ปี หลังจากพ่อแม่เขาถูกฆ่าตายในรถ เขาก็รับช่วงต่อจากพ่อ ด้วยการดูแล “Stark Industries” บริษัทที่ผลิตอาวุธสงครามทั่วโลก ที่นี่แหละที่ทำให้เขาได้ใช้ทักษะของตัวเองในการทำงาน เช่นเดียวกับการรักษาความมั่งคั่งของเขาให้ร่ำรวยต่อไป จนกระทั่งเขาไปเยือนตะวันออกกลางก่อนเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ “บังคับ” ให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตตลอดกาล ความเชื่อและความโอหังของชายผู้มีอำนาจคนนี้ถูกทำลาย บังคับให้ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและเรียนรู้ที่จะเป็นคนดีมีคุณธรรม ทั้งหมดทำให้โทนี่ สตาร์คกลายเป็นคนที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่โลกใบนี้มากมาย

อย่างที่กล่าวไปตอนต้น ในจักรวาลมาร์เวล ฮีโร่คนอื่นๆ ไม่ได้ถูกบังคับให้เปลี่ยนแปลงมากเท่ากับโทนี่ สตาร์ค ธอร์ได้เรียนรู้ถึงความนอบน้อม แต่ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ กัปตันอเมริกาเกือบจะเป็นขั้วตรงข้าม จิตวิญญาณอันสูงส่งที่ได้รับการชื่นชมจากผู้คนถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการทำหน้าที่เป็นฮีโร่ของเขานั้นมีมาตั้งแต่ก่อนถูกแช่แข็งใต้ทะเลลึก 70 ปีซะอีก ไม่ว่ายังไงกัปตันก็ยังเป็นสุภาพบุรุษผู้ซื่อตรงและโลกสวยตลอด ส่วนบรูซ แบนเนอร์ ชายผู้ปฏิเสธคำสาปจากพลังที่ควบคุมไม่ได้จนกลายร่างเป็นฮัลค์ตลอดเวลาน่ะเหรอ คาแร็กเตอร์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ต้องการให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลง

(จุดที่ใกล้เคียงที่สุดของการเปรียบเทียบก็คือ ดร.สเตรนจ์ ชายยอดเยี่ยมและเย่อหยิ่งที่ถูกบังคับโดยสถานการณ์ให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เนื่องจากอุบัติเหตุรถพุ่งชนต้นไม้เปลี่ยนชีวิตเขาตลอดกาล)
 


 

ก่อนหน้านี้โทนี่ สตาร์คเป็นคนเห็นแก่ตัว บริษัทของเขาผลิตอาวุธสงคราม ซึ่งเท่ากับว่าสตาร์คเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดสงครามขึ้นในโลก เมื่อเขาเดินทางไปดูการสาธิตอาวุธในตะวันออกกลาง โทนี่ สตาร์คถูกจับโดยผู้ก่อการร้าย เขาถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีตัวประกันคนอื่นๆ และถูกบังคับให้ผลิตอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูงสำหรับองค์กร อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาถูกจับ กระสุนชิ้นหนึ่งถูกเสียบเข้าที่หน้าอกและเริ่มคืบคลานเข้าสู่หัวใจของเขา เพื่อนร่วมห้องผู้เป็นนักฟิสิกส์ได้ช่วยชีวิตเขาด้วยการสร้างโลหะแม่เหล็กเพื่อปกป้องหัวใจของโทนี่ 

หลังจากรอดชีวิตมาได้...โทนี่ สตาร์คกลายเป็นไอรอนแมน แถมยังสาบานว่าบริษัท Stark Industries ของเขาจะเลิกการผลิตอาวุธสงครามถาวรด้วย เขาได้ใช้เจ้าเกราะเหล็กนี้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรทั่วโลก ปฏิเสธความคิดที่มุ่งหวังผลกำไร สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่ลดละ มันค่อนข้างจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ จากนักประดิษฐ์และมหาเศรษฐีผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สู่ผู้ใจบุญและพร้อมช่วยเหลือคนอื่น สตาร์คแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และในตอนท้าย เขาประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจเลยว่า “ฉันคือไอรอนแมน (I am Iron Man)”

 


 

จากคนเย่อหยิ่งสู่การเป็นคนเจียมตัว

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่กล้าหาญนี้ทำให้เขาเย่อหยิ่งมากขึ้นกว่าเดิมดังที่เห็นในไอรอนแมน 2 และการเผชิญหน้ากับความตายของเขาจะกลายเป็นวิวัฒนาการถัดไปของเขา โทนี่ สตาร์ค ชายผู้ชอกช้ำกับการถูกจับขัง สร้างเกราะเหล็กเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย แถมยังช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากอาชญากรด้วย ความภาคภูมิใจในตัวเอง (ที่บางครั้งก็มากเกินไป) ของเขาเปรียบเสมือนยาพิษกำลังที่คร่าชีวิตแบบช้าๆ สตาร์คใช้เวลาส่วนใหญ่ในภาพยนตร์ไปกับการจัดการปัญหาในแบบที่เขาเคยรับมือกับความขัดแย้งและความสงสัยทางจิตวิทยา   วิธีที่เขารับมือคือการผลักมันออกไป แยกตัวกลายเป็นคนโดดเดี่ยว เลือกที่จะเมินเฉยและขวางโลกอย่างช่วยไม่ได้ ทัศนคติ “อะไรนะ? ฉันกังวลหรอ?” ของสตาร์คเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะต้องการป้องกันอีโก้ในตัวเอง

การเดินทางที่หนักหน่วงของโทนี่ สตาร์คตลอดทั้งเรื่อง Iron Man 2 ทำให้เขาต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เขาต่อสู้กับมรดกของพ่อเขา ไปจนถึงความรู้สึกไม่มั่นคงและไม่ปลอดภัยของตัวเอง เขายอมจำนนต่อความต้องการของคนอื่นๆ ร่วมมือกับเจมส์ โรดส์เพื่อต่อสู้กับการคุกคามของอีวาน แวนโก และเริ่มเผยความรู้สึกต่อเพพเพอร์ พ็อตต์มากขึ้น ในตอนท้ายเขายังเป็นส่วนหนึ่งของการริเริ่มโครงการอเวนเจอร์ส (Avengers) ด้วยความเห็นแก่ตัวของตัวเอง

“ทุกอย่างก็แค่เกี่ยวกับฉัน” สตาร์คกล่าว 
 


 

นี่คือโทนี่ สตาร์คที่เรารู้จักในช่วงแรกของ The Avengers เขาถูกนิกตำหนิเรื่องที่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ แต่เมื่อโลกิมาถึง สตาร์คตระหนักรู้ถึงภัยและสัญญาณความช่วยเหลือ แต่ก็เช่นเดิม หนึ่งสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยในตัวเขาคือ “อีโก้” ที่มันเยอะจนกลบความสามารถสุดวิเศษของตัวเอง เขาเชื่อว่าตัวเองเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในห้อง นำไปสู่การสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเป็นผู้นำที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม สตาร์คคิดผิด เขาไม่ใช่ผู้นำทีมอเวนเจอร์สและไม่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ด้วยซ้ำ   (ในเวลานั้น)   นอกจากนี้โทนี่ สตาร์คยังชอบสร้างความปวดหัวให้สตีฟ โรเจอร์หรือกัปตันอเมริกันหลายครั้งด้วยการพูดจาแขวะ เขารู้ว่าเมื่อมันเป็นเรื่องของการประลองกันด้วยสมอง โรเจอร์ตามไม่ทันแน่นอน เขาชนะชัวร์ๆ (สตาร์คขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะไง) 

ถึงอย่างนั้นการเผชิญหน้ากับศัตรูทำให้เขาได้เรียนรู้บางอย่าง ข้อแรก นี่คือสงครามจริงๆ และการรับบทเป็นคนขี่ม้านอกรีตเพื่อกอบกู้โลกเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะมันกำลังทำให้ทั้งทีมและทั้งโลกตกอยู่ในอันตราย สอง เขายอมรับให้กัปตันอเมริกันรับหน้าที่เป็นหัวหน้าที่แท้จริงของทีมอเวนเจอร์แทน

ฉาก “Call it, Captain” ที่ไอรอนแมนยอมรับอย่างเปิดเผยว่า เขายอมจำนนต่อโรเจอร์และให้กัปตันอเมริกันเป็นผู้นำการต่อสู้ เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญของพัฒนาการของตัวละครโทนี่ สตาร์คที่ก้าวข้ามผ่านอีโก้ของตัวเองไปสู่การยอมรับผู้อื่นและเจียมตน อีกทั้งก่อนหน้านี้เขายังเย้ยหยันเรื่องการเสียสละตัวเองเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าของกัปตันอเมริกา แต่ในตอนจบของภาพยนตร์ โทนี่ สตาร์คทำแบบนั้นไม่มีผิด เขานำนิวเคลียร์ที่พร้อมระเบิดส่งไปยังยานเอเลี่ยนที่อยู่นอกโลก โชคดีที่กลับมาโลกได้ทันก่อนประตูมิติจะปิด เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่โทนี่ สตาร์คคนเดิมที่เราเห็นในภาพยนตร์ เขาเปลี่ยนไป

 


 

การเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของโทนี่ สตาร์ค

หลังจากที่เขารอดชีวิตจากการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของตัวเองใน The Avengers ได้ ความโศกเศร้า หวาดระแวงและวิตกกังวลได้ตามติดชีวิตโทนี่ สตาร์คเป็นเงา แม้บุคลิกภาพของเขาในไอรอนแมน 3 แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ แต่ภาคนี้ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญสำหรับเขา สตาร์คต้องต่อสู้กับกับดักภายในจิตใจ อาการแพนิคทำให้เขาลุกขึ้นสร้างกองทัพชุดเกราะมหาศาลเพราะเชื่อว่ามันทำให้ตัวเองปลอดภัย แต่ในท้ายที่สุด เมื่อโทนี่ สตาร์คถูกบังให้กอบกู้สถานการณ์โดยปราศจากชุดเกราะ เขาก็ตระหนักว่าตัวเขาต่างหากที่เป็นฮีโร่ ไม่ใช่ชุดสูท ประโยค “ฉันคือไอรอนแมน” จึงมีความหมายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในภาพยนตร์ Avengers: Age of Ultrong โทนี่ สตาร์คเรียนรู้การเสียสละเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่ที่เห็นเด่นชัดถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่นี้ คงหนีไม่พ้นในภาพยนตร์ Avengers: Infinity War และ Avengers: Endgame ภาคล่าสุดที่เรียกน้ำตาจากแฟนๆ เกราะเหล็กแดง เริ่มตั้งแต่ใน Infinitity War สตาร์คเลื่อนดินเนอร์กับพ็อตต์ แฟนสาวที่เขาตั้งใจจะเซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน แล้วบินไปช่วยดร.สเตรนจ์ ผู้ครอบครองอัญมณีแห่งเวลาที่ถูกเอเลี่ยนชิงตัวไปนอกโลก เพื่อไม่ให้ธานอส วายร้ายบ้าระห่ำในจักรวาลมาร์เวลได้อัญมณีนี้ไปได้ สตาร์คติดแหง็กอยู่บนดาวเคราะห์แห่งหนึ่งในจักรวาลหลังจากการดีดนิ้วของธานอส เป็นผลให้ไม่สามารถกลับคืนสู่โลกได้ ราวกับว่ารอวันตายอยู่อย่างเดียว 
 


 

พอมาถึง Avengers: Endgame เราได้เห็นการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของโทนี่ สตาร์คอีกครั้ง หากไม่นับการสร้างเครื่องเดินทางข้ามเวลาเพื่อให้เหล่าฮีโร่ย้อนกลับไปนำอัญมณีมารวมกันเพื่อฟื้นคืนชีพคนนับล้านที่หายกลายเป็นฝุ่น “ฉันคือไอรอนแมน” คงเป็นวลีเด็ดที่แสดงให้เห็นถึงความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเขา โทนี่ สตาร์คแย่งชิงถุงมืออัญมณี (ที่เขาสร้าง) จากธานอสได้ก่อนสวมมันและดีดนิ้ว! หลังจากนั้นสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็เกิดขึ้น พวกธานอสแพ้และหายกลายเป็นฝุ่น จักรวาลกลับมาสงบสุขอีกครั้ง  

ในขณะที่ทุกคนดีใจเหมือนถูกหวย อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเสมอ และนี่นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในโลก เมื่อมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถต้านทานอานุภาพมหาศาลของอัญมณีทั้งหกได้ โทนี่ สตาร์คจึงเสียชีวิตที่นั่น ในสนามรบ ต่อหน้าต่อหน้าทุกคน รวมทั้งพ็อตต์ ภรรยาของเขา (แต่ไม่มีลูกสาวตัวน้อยที่รออยู่) เป็นอันว่าปิดตำนาน “ไอรอนแมน” ฮีโร่เกราะเหล็กขวัญใจคนทั่วโลก   ไม่มีการเสียสละใดจะยิ่งใหญ่เท่าการเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อประโยชน์ของทั้งจักรวาลอีกแล้ว

 


 

ใครจะไปคาดคิดล่ะคะว่าตัวละครธรรมดาๆ อย่างโทนี่ สตาร์คที่มีความเห็นแก่ตัว เพลย์บอย และไม่เคยนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเลยจะเปลี่ยนไปจนถึงสละชีพได้ขนาดนี้ เป็นเพราะประสบการณ์เฉียดตายแท้ๆ เลยที่ทำให้เขาได้ตระหนักรู้บางอย่างและเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น

โทนี่ สตาร์คไม่ใช่ตัวละครสีขาวหรือสีดำ แต่เขาคือตัวละครสีเทาที่มีการพัฒนาในแต่ละภาพยนตร์ที่เราเห็น จากคนเห็นแก่ตัวสู่การเป็นคนที่ทำเพื่อคนอื่น จากคนมีอีโก้สู่การเป็นคนที่ยอมอ่อนน้อมถ่อมตน และจากคนที่ไม่เคยเสียสละเลยสู่การเสียสละอันยิ่งใหญ่ สตาร์คไม่ได้ทำเพื่อโลกเท่านั้น แต่ทำเพื่อจักรวาลเลยทีเดียว! ซึ่งนี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ไอรอนแมนจับใจคนทั้งโลก พัฒนาการของเขานี่แหละที่ทำให้โทนี่ สตาร์คกลายเป็นฮีโร่ที่แท้จริง

ในท้ายที่สุดเขาเต็มใจที่จะเสียสละตัวเองเพื่อประโยชน์สุขของคนทั่วทั้งจักรวาล แม้ว่าเขาจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังวิเศษเหนือธรรมชาติเลยก็ตาม ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้รับการยกย่องหรือชื่อเสียงมากมาย   เขาแค่ต้องการเห็นจักรวาลสงบสุข   และเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ทำอย่างเต็มที่แล้ว  ดังนั้นพี่จึงดีใจที่จะสรุปการกระทำอันยิ่งใหญ่ของโทนี่ สตาร์คตามแถลงการณ์ของเขาเลยว่า

“ฉันคือไอรอนแมน”

พี่น้ำผึ้ง :)

 

ขอบคุณข้อมูลจาก 
www.businessinsider.com
film.avclub.com
www.breadforbeggars.com
www.forbes.com

ขอบคุณรูปภาพจากภาพยนตร์
 

Deep Sound แสดงความรู้สึก

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Nalisia Member 10 พ.ค. 62 21:16 น. 2

"หนึ่งในห้าผู้พิทักษ์โลก"


กัปตันอเมริกา ธอร์ บรูซ(ฮัลค์) คลิ้นท์(ฮอว์คอาย) นาตาชา


ครบห้าแล้ว แล้วโทนี่ไปอยู่ตำแหน่งไหนดีคะ ช่างเครื่อง วิศวกร /หัวเราะ


อันนี้แค่ช่วยตรวจทานเนอะ


แต่การที่บอกว่ามีเฉพาะโทนี่ที่เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการนี่ เรียกได้ว่าเหยียบหน้าแฟนคลับและผู้กำกับ คนเขียนบทของคนอื่น โดยเฉพาะกัปตันอเมริกาและธอร์ที่มีภาพยนตร์ของตัวเองถึง 3 ภาค และเป็นไตรภาคที่เรียกได้ว่ามีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดเจน


กัปตันอเมริกา จากคนที่ยึดมั่นในกฏเกณฑ์ ในระบบทหาร พอเจอว่าชิลด์มีหนอนเป็นไฮดร้าก็ตัดสินใจปกครองด้วยตัวเอง จนนำไปสู่ซิวิลวอร์ที่ทำให้เขาไม่เชื่อใจ และเลือกไม่เซ็นสัญญา (อาจจะไม่ละเอียดเท่าไรนะคะ ขออภัยแฟนคลับกัปตันด้วย)


ธอร์ จากเทพเจ้าที่มุ่งใช้แต่กำลังแก้ปัญหากลายเป็นเจ้าเล่ห์มารยาเพื่อที่จะได้ชนะน้องชายผู้เจ้าเล่ห์ แล้วจากคนที่ชนะศึกมาตลอดพันห้าร้อยปีจนกลายเป็นคนที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมด เคว้งคว้างไม่เหลืออะไร สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวไว้คือการล้างแค้น และเป็นไปตามที่เราเห็นในเอนด์เกม ว่าเขาแตกสลายขนาดไหน (อีกครั้งที่ต้องขออภัยแฟนคลับธอร์ค่ะ ไม่ค่อยรู้รายละเอียดจริงๆ)


นี่บุคลิกไม่เปลี่ยนไปจริงๆ หรอคะ


คือ ตรงจุดนี้ เราเข้าใจได้ว่าคุณอาจจะอยากให้ท้ายโทนี่ เพราะเป็นกระทู้โทนี่ แต่เราไม่จำเป็นต้องเหยียบคนอื่นเพื่ออวยคนๆ นึงเลยค่ะ เราโมโหแทนตัวละครอื่นมาก แทนผู้สร้างคนเขียนบท


คุณดูไม่ออก หรือจะตั้งใจอวย มันกลายเป็นคุณมองว่าเรื่องอื่นๆ มันไม่มีการพัฒนาบุคลิก ซึ่งไม่ว่าจะข้อไหน คุณก็ผิดพลาดในการเขียนข้อความแล้วล่ะค่ะ


"โทนี่ สตาร์คพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย สตาร์คเข้าเรียนที่ MIT เมื่ออายุ 15 ปีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในเวลาไม่กี่ปี"


อันนี้แค่ขอเสริมค่ะ 4 ขวบต่อวงจรไฟฟ้าได้ 6 ขวบต่อเครื่องยนต์ได้


"ความเชื่อและความโอหังของชายผู้มีอำนาจคนนี้ถูกทำลาย บังคับให้ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและเรียนรู้ที่จะเป็นคนดีมีคุณธรรม ทั้งหมดทำให้โทนี่ สตาร์คกลายเป็นคนที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่โลกใบนี้มากมาย"


ความเชื่อ และความโอหังถูกทำร้าย กลายเป็นคนอ่อนน้อม และมีคุณธรรม


ความเชื่อนี่ถูกค่ะ โทนี่เชื่อมาตลอดว่าอาวุธที่ตนผลิดเกิดมาเพื่อปกป้องอเมริกา ในช่วงที่โทนี่ไปนำเสนอผลงานใหม่ที่อัฟกานิสถาน ในรูปที่ใช้นั่นแหละค่ะ โทนี่ได้พูดว่า


https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822892 https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822893

จากประโยคนี้ อาจจะดูเหมือนการค้า เปล่าค่ะ แค่โทนี่เชื่อแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งถูกลักพาตัวไปและได้รู้ว่าอาวุธที่ตัวเองขายมันตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้ายเขาถึงได้รู้ว่า อาวุธที่เขาขายไม่ได้ปกป้องอเมริกา แต่ย้อนกลับมาทำร้ายอเมริกาด้วยเหมือนกัน ซึ่งทำให้เขาปิดบริษัทผลิดอาวุธทันที


อาจจะดูเหมือนว่า นี้ไง หลักฐานที่ว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนดี ก็ได้ค่ะ อันนี้นานาจิตตังเนอะ ดีร้ายอยู่ที่คนนิยาม


แต่จากคนโอหังเป็นคนอ่อนน้อม ขอโทษค่ะ เราอาจจะไม่ใช่แฟนคลับที่ดี ถึงได้อ่านแล้วรู้สึกขนลุกซู่ แบบ โทนี่เป็นคนอ่อนน้อม? หรือจะมองว่าไอรอนแมนเป็นคนอ่อนน้อม? เอ่อ ขอโทษค่ะ จินตนาการแล้วขนลุกเลยค่ะ


จริงอยู่เขาเป็นคนอวดดี แต่ก็ทำไงได้ล่ะคะ ในเมื่อเขาดันมี(สมองและงบประมาณ)ดีให้อวด


"ส่วนบรูซ แบนเนอร์ ชายผู้ปฏิเสธคำสาปจากพลังที่ควบคุมไม่ได้จนกลายร่างเป็นฮัลค์ตลอดเวลาน่ะเหรอ คาแร็กเตอร์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ต้องการให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลง"


อีกครั้งที่คุณเหยียบย่ำตัวละครอื่น ฮัลค์ ถ้าไม่นับเอนด์เกมอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรพัฒนา ยิ่งถ้าไม่ดูฮัลค์1-2ด้วย แต่อันที่จริง ถ้าเราดู อเวนเจอร์ 1-2 และธอร์ 3 จะเห็นว่า เขาค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ค่อยๆ ทำความรู้จักกับฮัลค์ แต่นี่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับคุณ เราจะพยายามเข้าใจค่ะ


"ก่อนหน้านี้โทนี่ สตาร์คเป็นคนเห็นแก่ตัว บริษัทของเขาผลิตอาวุธสงคราม ซึ่งเท่ากับว่าสตาร์คเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดสงครามขึ้นในโลก เมื่อเขาเดินทางไปดูการสาธิตอาวุธในตะวันออกกลาง โทนี่ สตาร์คถูกจับโดยผู้ก่อการร้าย เขาถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีตัวประกันคนอื่นๆ"


ก็ได้ค่ะ คุณมองว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้ค่ะ แต่การบอกว่าสนับสนุนให้เกิดสงครามนี้คือเดี๋ยวก่อน ไปพักก่อน เหมือนที่กล่าวข้างบนค่ะ โทนี่เชื่อว่าอาวุธคือตัวหยุดผู้ก่อการร้าย เมื่อไม่มีผู้ก่อการร้ายก็ไม่ต้องรบ แต่ก็ได้ค่ะ คุณอาจจะบอกว่าเราเข้าข้างโทนี่มากเกินไป มองว่าเขามีความสุขบนกองเงินกองทองของสงครามก็ได้ค่ะ แต่ขอบอกข้อเท็จจริงก่อนนะคะว่า


1. โทนี่ไม่ได้ไปดูการสาธิตค่ะ โทนี่ไปขายของพร้อมทั้งสาธิต

2.โทนี่ถูกจับโดยผู้ก่อการร้าย และถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีตัวประกันคนอื่น แค่นี้ค่ะ การมี " ๆ " กลายเป็นคนอื่นๆ ราวกับว่าเขาจับมาเยอะแยะเต็มไปหมดเลย ผู้ก่อการร้ายจะไปจับคนเขามาทำไมเยอะแยะล่ะคะ ฆ่าซะก็จบ ใครมีประโยชน์ก็เก็บไว้ ในที่นี้คือ ยินเซ่น เพียง "คนเดียว" ค่ะ


"ตอนที่เขาถูกจับ กระสุนชิ้นหนึ่งถูกเสียบเข้าที่หน้าอกและเริ่มคืบคลานเข้าสู่หัวใจของเขา"


อันที่จริงคือลูกปรายค่ะ https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822895


ลูกปราย

คำนาม

ลูกตะกั่ว หรือลูกเหล็กเล็ก ๆ ที่บรรจุลงในลำกล้องปืนครั้งละหลายลูก เมื่อยิงออกไปครั้งหนึ่ง ๆ ลูกจะกระจายไป, กระสุนปืนที่บรรจุลูกตะกั่ว หรือลูกเหล็กเล็ก ๆ หลายลูกรวมลงไปกับดินปืนในนัดเดียวกัน เวลายิงจะกระจายออก.


ขอโทษที่ซีเรียสจนเกินไปนะคะ แต่ข้อเท็จจริงอย่างไรก็ควรจะพิมพ์ไปอย่างนั้น มิใช่หรือคะ?


"เพื่อนร่วมห้องผู้เป็นนักฟิสิกส์ได้ช่วยชีวิตเขาด้วยการสร้างโลหะแม่เหล็กเพื่อปกป้องหัวใจของโทนี่"


ขอโทษค่ะ ยินเซ็นสร้างแม่เหล็กไฟฟ้าต่อแบตเตอรี่จริง แต่หลังจากนั้นโทนี่ก็สร้างด้วยตัวเองเป็นอันที่อายุยืนยาวกว่านั้นค่ะ


อ๋อ อาจจะแค่ย่อความใช่ไหมคะ? ก็เลยต้องตัดบทที่โทนี่สร้างเองในห้องขังออกไปด้วย ก็ได้ค่ะ


"เขาได้ใช้เจ้าเกราะเหล็กนี้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรทั่วโลก ปฏิเสธความคิดที่มุ่งหวังผลกำไร สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่ลดละ มันค่อนข้างจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ จากนักประดิษฐ์และมหาเศรษฐีผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สู่ผู้ใจบุญและพร้อมช่วยเหลือคนอื่น สตาร์คแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และในตอนท้าย เขาประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจเลยว่า “ฉันคือไอรอนแมน (I am Iron Man)”"


พระเจ้าช่วย 5555555555 สงสัยเราดูกันคนละเรื่องแล้วสินะคะ นี่ยังใช่ไอรอนแมนอยู่รึเปล่านะคะ เพราะโทนี่ที่เรารู้จักในภาค 1 คือเขาไปสู้ผู้ก่อการร้ายที่ได้อาวุธของเขาไป ไม่ใช่แค่อาชญากรทั่วๆ ไป ภาค 2 ก็มีคนมาไล่ฆ่าถึงได้ต้องไปสู้ ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่อเวนเจอร์


และการประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจ??? สงสัยเราดูคนละเรื่องจริงๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะโทนี่ที่เราดู ที่ประกาศต่อสาธารณะชนก็แค่ "โอหัง" "อวดดี" หรือไม่ก็ แค่ไม่อยากจะปิดบังหรือโกหกสาธารณะชน ทั้งๆ ที่ในการประกาศข่าวนั้นถูกเตรียมบทให้ประกาศไปว่าเป็นแค่บอดี้การ์ดประจำตัวเฉยๆ


ขอโทษค่ะ นี่แค่เราอ่านที่คุณวิจารณ์ถึงในไอรอนแมนภาค 1ก็ปวดหัวขนาดนี้แล้ว ไม่อยากจะไปต่อภาค 2 เลยค่ะ เพราะมันน่าปวดหัวมากกว่าเดิมอีก


ขอไปพักก่อนละกันนะคะ


คงจะกลับมาวิจารณ์ต่อนะคะ ไม่ต้้องห่วงไป แต่ก่อนจะจากกันเราเคยคิดจะคอมเมนต์ชื่นชมคุณ คุณอาจจะจำเราไม่ได้ แต่เราเคยเจอกันในกระทู้ดัมเบิลดอร์ค่ะ ซึ่งหลังจากนั้นเราเห็นพัฒนาการของคุณว่ามีการเขียนที่ดีขึ้น มีการอ้างอิงที่ดีขึ้น


แต่รอบนี้ คุณไม่ผ่านค่ะ ไม่ผ่านยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเลย คุณใช้ความคิดเห็นของตัวเองหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่คุณมองตัวของ "โทนี่" ไม่ทะลุแม้แต่เกราะของไอรอนแมนเลยค่ะ


น่าเสียดายนะคะ ที่คุณมีพื้นที่ที่ดีในการแสดงความสามารถ แต่กลับ แย่ค่ะ คนอื่นอาจจะมองว่าคุณเขียนได้ดี


แต่สำหรับเรา ไม่มีอะไรดีมากไปกว่าการให้ "ข้อเท็จจริง" แล้วให้คนไปวิเคราะห์เอาเอง


สิ่งที่คุณทำคือ ย้อนแยง เดี๋ยวก็โทนี่โอหัง เดี๋ยวก็โทนี่อ่อนน้อม โทนี่อ่อนน้อม? ขนลุกซู่จังเลยค่ะ


คุณทราบรึยังคะว่า ในไอรอนแมน 2 ที่โทนี่สู้กับโรห์ดดี้เป็นฉากที่โทนี่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น คุณมองทะลุเกราะไอรอนแมนของโทนี่ เข้าไปถึงคนๆ นึงที่เขาเป็นจริงๆ ชายอัจฉริยะผู้ Broken แตกสลาย และมีสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวคือการปกป้องผู้อื่นหรือยังคะ


หรือคุณจะเป็นเพียงแค่คนทั่วๆ ไป ที่มองเห็นโทนี่แค่เกราะอีโก้ที่เขาใช้เพื่อปกปิดความแตกสลายของเขา

2
Nalisia Member 10 พ.ค. 62 21:19 น. 2-1

เคยคิดว่าควรจะชมคุณที่มีพัฒนาการดีไหม ตอนนี้ไม่นึกเสียดายเลยค่ะ เราไม่ได้อยากเหยียบย่ำซ้ำเติมคุณเลยนะ แต่คุณอยู่ในพื้นที่ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ คุณควรจะรอบคอบมากกว่านี้


เรายังเชื่อว่าคุณพัฒนาไปมากกว่านี้ได้นะคะ

0
กำลังโหลด
unchiismy Member 11 พ.ค. 62 12:00 น. 3

เราไ่ม่โอเคตั้งแต่หัวข้อบทความเลยค่ะ ช่วยใช้คำที่ให้เกียรติตัวละครสักหน่อยนะคะ

เข้าใจว่านี่อาจจะเป็นการตีความแค่เฉพาะของคุณแต่สำหรับบางคนเหมือนคุณไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวละครทำมาตลอดเลย ทุกตัวละครมีการเสียสละตลอดนะ ด้านเห็นแก่ตัวก็มีอยู่กันทุกคน แต่หัวข้อบทความนี้สื่อออกมาไม่โอเคเลยถ้าไม่ได้เข้าใจในหลายๆด้านของตัวละครก็ไม่ควรสื่อออกมาแบบนี้เนอะ แต่ยอมรับว่าใช้ภาษาได้ดีในระดับหนึ่งเลยค่ะน่าจะเอาไปอธิบายด้านดีด้านอื่นน่าจะดีกว่านี้ค่ะ

0
กำลังโหลด
้R-Hestia Member 11 พ.ค. 62 12:58 น. 4

สิ่งที่คุณจะสื่อเหมือนคุณเหยียดตัวละครอื่นเลยนะ ไม่รู้ว่าอยากอวยโทนี่หรืออะไร แต่การที่คุณบอกว่า ธอร์ ฮัค หรือแม้แต่กัปตัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเราว่าไม่ใช่ จากที่เราดูมาทั้ง22เรื่อง ส่วนตัวเรามองว่าทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงหมดนะ และทุกคนก็มีการเสียสละและเห็นแก่ตัวในแบบของตัวเองไม่ใช่แค่โทนี่ เรายอมรับว่าคุณใช่ภาษาในการเขียนได้ดี แต่มุมมองที่คุณมีต่อตัวละครอื่นๆหรือแม้แต่โทนี่เอง เราว่ามันแย่

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

4 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
Nalisia Member 10 พ.ค. 62 21:16 น. 2

"หนึ่งในห้าผู้พิทักษ์โลก"


กัปตันอเมริกา ธอร์ บรูซ(ฮัลค์) คลิ้นท์(ฮอว์คอาย) นาตาชา


ครบห้าแล้ว แล้วโทนี่ไปอยู่ตำแหน่งไหนดีคะ ช่างเครื่อง วิศวกร /หัวเราะ


อันนี้แค่ช่วยตรวจทานเนอะ


แต่การที่บอกว่ามีเฉพาะโทนี่ที่เป็นตัวละครที่มีพัฒนาการนี่ เรียกได้ว่าเหยียบหน้าแฟนคลับและผู้กำกับ คนเขียนบทของคนอื่น โดยเฉพาะกัปตันอเมริกาและธอร์ที่มีภาพยนตร์ของตัวเองถึง 3 ภาค และเป็นไตรภาคที่เรียกได้ว่ามีพัฒนาการอย่างเห็นได้ชัดเจน


กัปตันอเมริกา จากคนที่ยึดมั่นในกฏเกณฑ์ ในระบบทหาร พอเจอว่าชิลด์มีหนอนเป็นไฮดร้าก็ตัดสินใจปกครองด้วยตัวเอง จนนำไปสู่ซิวิลวอร์ที่ทำให้เขาไม่เชื่อใจ และเลือกไม่เซ็นสัญญา (อาจจะไม่ละเอียดเท่าไรนะคะ ขออภัยแฟนคลับกัปตันด้วย)


ธอร์ จากเทพเจ้าที่มุ่งใช้แต่กำลังแก้ปัญหากลายเป็นเจ้าเล่ห์มารยาเพื่อที่จะได้ชนะน้องชายผู้เจ้าเล่ห์ แล้วจากคนที่ชนะศึกมาตลอดพันห้าร้อยปีจนกลายเป็นคนที่สูญเสียครอบครัวทั้งหมด เคว้งคว้างไม่เหลืออะไร สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวไว้คือการล้างแค้น และเป็นไปตามที่เราเห็นในเอนด์เกม ว่าเขาแตกสลายขนาดไหน (อีกครั้งที่ต้องขออภัยแฟนคลับธอร์ค่ะ ไม่ค่อยรู้รายละเอียดจริงๆ)


นี่บุคลิกไม่เปลี่ยนไปจริงๆ หรอคะ


คือ ตรงจุดนี้ เราเข้าใจได้ว่าคุณอาจจะอยากให้ท้ายโทนี่ เพราะเป็นกระทู้โทนี่ แต่เราไม่จำเป็นต้องเหยียบคนอื่นเพื่ออวยคนๆ นึงเลยค่ะ เราโมโหแทนตัวละครอื่นมาก แทนผู้สร้างคนเขียนบท


คุณดูไม่ออก หรือจะตั้งใจอวย มันกลายเป็นคุณมองว่าเรื่องอื่นๆ มันไม่มีการพัฒนาบุคลิก ซึ่งไม่ว่าจะข้อไหน คุณก็ผิดพลาดในการเขียนข้อความแล้วล่ะค่ะ


"โทนี่ สตาร์คพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาฉลาดตั้งแต่อายุยังน้อย สตาร์คเข้าเรียนที่ MIT เมื่ออายุ 15 ปีและสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในเวลาไม่กี่ปี"


อันนี้แค่ขอเสริมค่ะ 4 ขวบต่อวงจรไฟฟ้าได้ 6 ขวบต่อเครื่องยนต์ได้


"ความเชื่อและความโอหังของชายผู้มีอำนาจคนนี้ถูกทำลาย บังคับให้ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนและเรียนรู้ที่จะเป็นคนดีมีคุณธรรม ทั้งหมดทำให้โทนี่ สตาร์คกลายเป็นคนที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ให้แก่โลกใบนี้มากมาย"


ความเชื่อ และความโอหังถูกทำร้าย กลายเป็นคนอ่อนน้อม และมีคุณธรรม


ความเชื่อนี่ถูกค่ะ โทนี่เชื่อมาตลอดว่าอาวุธที่ตนผลิดเกิดมาเพื่อปกป้องอเมริกา ในช่วงที่โทนี่ไปนำเสนอผลงานใหม่ที่อัฟกานิสถาน ในรูปที่ใช้นั่นแหละค่ะ โทนี่ได้พูดว่า


https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822892 https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822893

จากประโยคนี้ อาจจะดูเหมือนการค้า เปล่าค่ะ แค่โทนี่เชื่อแบบนั้นมาตลอด จนกระทั่งถูกลักพาตัวไปและได้รู้ว่าอาวุธที่ตัวเองขายมันตกไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้ายเขาถึงได้รู้ว่า อาวุธที่เขาขายไม่ได้ปกป้องอเมริกา แต่ย้อนกลับมาทำร้ายอเมริกาด้วยเหมือนกัน ซึ่งทำให้เขาปิดบริษัทผลิดอาวุธทันที


อาจจะดูเหมือนว่า นี้ไง หลักฐานที่ว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนดี ก็ได้ค่ะ อันนี้นานาจิตตังเนอะ ดีร้ายอยู่ที่คนนิยาม


แต่จากคนโอหังเป็นคนอ่อนน้อม ขอโทษค่ะ เราอาจจะไม่ใช่แฟนคลับที่ดี ถึงได้อ่านแล้วรู้สึกขนลุกซู่ แบบ โทนี่เป็นคนอ่อนน้อม? หรือจะมองว่าไอรอนแมนเป็นคนอ่อนน้อม? เอ่อ ขอโทษค่ะ จินตนาการแล้วขนลุกเลยค่ะ


จริงอยู่เขาเป็นคนอวดดี แต่ก็ทำไงได้ล่ะคะ ในเมื่อเขาดันมี(สมองและงบประมาณ)ดีให้อวด


"ส่วนบรูซ แบนเนอร์ ชายผู้ปฏิเสธคำสาปจากพลังที่ควบคุมไม่ได้จนกลายร่างเป็นฮัลค์ตลอดเวลาน่ะเหรอ คาแร็กเตอร์ของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ต้องการให้เขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับการเปลี่ยนแปลง"


อีกครั้งที่คุณเหยียบย่ำตัวละครอื่น ฮัลค์ ถ้าไม่นับเอนด์เกมอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรพัฒนา ยิ่งถ้าไม่ดูฮัลค์1-2ด้วย แต่อันที่จริง ถ้าเราดู อเวนเจอร์ 1-2 และธอร์ 3 จะเห็นว่า เขาค่อยๆ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ค่อยๆ ทำความรู้จักกับฮัลค์ แต่นี่ก็อาจจะไม่เพียงพอสำหรับคุณ เราจะพยายามเข้าใจค่ะ


"ก่อนหน้านี้โทนี่ สตาร์คเป็นคนเห็นแก่ตัว บริษัทของเขาผลิตอาวุธสงคราม ซึ่งเท่ากับว่าสตาร์คเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดสงครามขึ้นในโลก เมื่อเขาเดินทางไปดูการสาธิตอาวุธในตะวันออกกลาง โทนี่ สตาร์คถูกจับโดยผู้ก่อการร้าย เขาถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีตัวประกันคนอื่นๆ"


ก็ได้ค่ะ คุณมองว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ได้ค่ะ แต่การบอกว่าสนับสนุนให้เกิดสงครามนี้คือเดี๋ยวก่อน ไปพักก่อน เหมือนที่กล่าวข้างบนค่ะ โทนี่เชื่อว่าอาวุธคือตัวหยุดผู้ก่อการร้าย เมื่อไม่มีผู้ก่อการร้ายก็ไม่ต้องรบ แต่ก็ได้ค่ะ คุณอาจจะบอกว่าเราเข้าข้างโทนี่มากเกินไป มองว่าเขามีความสุขบนกองเงินกองทองของสงครามก็ได้ค่ะ แต่ขอบอกข้อเท็จจริงก่อนนะคะว่า


1. โทนี่ไม่ได้ไปดูการสาธิตค่ะ โทนี่ไปขายของพร้อมทั้งสาธิต

2.โทนี่ถูกจับโดยผู้ก่อการร้าย และถูกขังอยู่ในห้องขังที่มีตัวประกันคนอื่น แค่นี้ค่ะ การมี " ๆ " กลายเป็นคนอื่นๆ ราวกับว่าเขาจับมาเยอะแยะเต็มไปหมดเลย ผู้ก่อการร้ายจะไปจับคนเขามาทำไมเยอะแยะล่ะคะ ฆ่าซะก็จบ ใครมีประโยชน์ก็เก็บไว้ ในที่นี้คือ ยินเซ่น เพียง "คนเดียว" ค่ะ


"ตอนที่เขาถูกจับ กระสุนชิ้นหนึ่งถูกเสียบเข้าที่หน้าอกและเริ่มคืบคลานเข้าสู่หัวใจของเขา"


อันที่จริงคือลูกปรายค่ะ https://image.dek-d.com/27/0749/4135/128822895


ลูกปราย

คำนาม

ลูกตะกั่ว หรือลูกเหล็กเล็ก ๆ ที่บรรจุลงในลำกล้องปืนครั้งละหลายลูก เมื่อยิงออกไปครั้งหนึ่ง ๆ ลูกจะกระจายไป, กระสุนปืนที่บรรจุลูกตะกั่ว หรือลูกเหล็กเล็ก ๆ หลายลูกรวมลงไปกับดินปืนในนัดเดียวกัน เวลายิงจะกระจายออก.


ขอโทษที่ซีเรียสจนเกินไปนะคะ แต่ข้อเท็จจริงอย่างไรก็ควรจะพิมพ์ไปอย่างนั้น มิใช่หรือคะ?


"เพื่อนร่วมห้องผู้เป็นนักฟิสิกส์ได้ช่วยชีวิตเขาด้วยการสร้างโลหะแม่เหล็กเพื่อปกป้องหัวใจของโทนี่"


ขอโทษค่ะ ยินเซ็นสร้างแม่เหล็กไฟฟ้าต่อแบตเตอรี่จริง แต่หลังจากนั้นโทนี่ก็สร้างด้วยตัวเองเป็นอันที่อายุยืนยาวกว่านั้นค่ะ


อ๋อ อาจจะแค่ย่อความใช่ไหมคะ? ก็เลยต้องตัดบทที่โทนี่สร้างเองในห้องขังออกไปด้วย ก็ได้ค่ะ


"เขาได้ใช้เจ้าเกราะเหล็กนี้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรทั่วโลก ปฏิเสธความคิดที่มุ่งหวังผลกำไร สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างไม่ลดละ มันค่อนข้างจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ จากนักประดิษฐ์และมหาเศรษฐีผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน สู่ผู้ใจบุญและพร้อมช่วยเหลือคนอื่น สตาร์คแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และในตอนท้าย เขาประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจเลยว่า “ฉันคือไอรอนแมน (I am Iron Man)”"


พระเจ้าช่วย 5555555555 สงสัยเราดูกันคนละเรื่องแล้วสินะคะ นี่ยังใช่ไอรอนแมนอยู่รึเปล่านะคะ เพราะโทนี่ที่เรารู้จักในภาค 1 คือเขาไปสู้ผู้ก่อการร้ายที่ได้อาวุธของเขาไป ไม่ใช่แค่อาชญากรทั่วๆ ไป ภาค 2 ก็มีคนมาไล่ฆ่าถึงได้ต้องไปสู้ ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่อเวนเจอร์


และการประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างภาคภูมิใจ??? สงสัยเราดูคนละเรื่องจริงๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะโทนี่ที่เราดู ที่ประกาศต่อสาธารณะชนก็แค่ "โอหัง" "อวดดี" หรือไม่ก็ แค่ไม่อยากจะปิดบังหรือโกหกสาธารณะชน ทั้งๆ ที่ในการประกาศข่าวนั้นถูกเตรียมบทให้ประกาศไปว่าเป็นแค่บอดี้การ์ดประจำตัวเฉยๆ


ขอโทษค่ะ นี่แค่เราอ่านที่คุณวิจารณ์ถึงในไอรอนแมนภาค 1ก็ปวดหัวขนาดนี้แล้ว ไม่อยากจะไปต่อภาค 2 เลยค่ะ เพราะมันน่าปวดหัวมากกว่าเดิมอีก


ขอไปพักก่อนละกันนะคะ


คงจะกลับมาวิจารณ์ต่อนะคะ ไม่ต้้องห่วงไป แต่ก่อนจะจากกันเราเคยคิดจะคอมเมนต์ชื่นชมคุณ คุณอาจจะจำเราไม่ได้ แต่เราเคยเจอกันในกระทู้ดัมเบิลดอร์ค่ะ ซึ่งหลังจากนั้นเราเห็นพัฒนาการของคุณว่ามีการเขียนที่ดีขึ้น มีการอ้างอิงที่ดีขึ้น


แต่รอบนี้ คุณไม่ผ่านค่ะ ไม่ผ่านยิ่งกว่าครั้งที่แล้วเลย คุณใช้ความคิดเห็นของตัวเองหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ แต่คุณมองตัวของ "โทนี่" ไม่ทะลุแม้แต่เกราะของไอรอนแมนเลยค่ะ


น่าเสียดายนะคะ ที่คุณมีพื้นที่ที่ดีในการแสดงความสามารถ แต่กลับ แย่ค่ะ คนอื่นอาจจะมองว่าคุณเขียนได้ดี


แต่สำหรับเรา ไม่มีอะไรดีมากไปกว่าการให้ "ข้อเท็จจริง" แล้วให้คนไปวิเคราะห์เอาเอง


สิ่งที่คุณทำคือ ย้อนแยง เดี๋ยวก็โทนี่โอหัง เดี๋ยวก็โทนี่อ่อนน้อม โทนี่อ่อนน้อม? ขนลุกซู่จังเลยค่ะ


คุณทราบรึยังคะว่า ในไอรอนแมน 2 ที่โทนี่สู้กับโรห์ดดี้เป็นฉากที่โทนี่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น คุณมองทะลุเกราะไอรอนแมนของโทนี่ เข้าไปถึงคนๆ นึงที่เขาเป็นจริงๆ ชายอัจฉริยะผู้ Broken แตกสลาย และมีสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวคือการปกป้องผู้อื่นหรือยังคะ


หรือคุณจะเป็นเพียงแค่คนทั่วๆ ไป ที่มองเห็นโทนี่แค่เกราะอีโก้ที่เขาใช้เพื่อปกปิดความแตกสลายของเขา

2
Nalisia Member 10 พ.ค. 62 21:19 น. 2-1

เคยคิดว่าควรจะชมคุณที่มีพัฒนาการดีไหม ตอนนี้ไม่นึกเสียดายเลยค่ะ เราไม่ได้อยากเหยียบย่ำซ้ำเติมคุณเลยนะ แต่คุณอยู่ในพื้นที่ที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ คุณควรจะรอบคอบมากกว่านี้


เรายังเชื่อว่าคุณพัฒนาไปมากกว่านี้ได้นะคะ

0
กำลังโหลด
unchiismy Member 11 พ.ค. 62 12:00 น. 3

เราไ่ม่โอเคตั้งแต่หัวข้อบทความเลยค่ะ ช่วยใช้คำที่ให้เกียรติตัวละครสักหน่อยนะคะ

เข้าใจว่านี่อาจจะเป็นการตีความแค่เฉพาะของคุณแต่สำหรับบางคนเหมือนคุณไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตัวละครทำมาตลอดเลย ทุกตัวละครมีการเสียสละตลอดนะ ด้านเห็นแก่ตัวก็มีอยู่กันทุกคน แต่หัวข้อบทความนี้สื่อออกมาไม่โอเคเลยถ้าไม่ได้เข้าใจในหลายๆด้านของตัวละครก็ไม่ควรสื่อออกมาแบบนี้เนอะ แต่ยอมรับว่าใช้ภาษาได้ดีในระดับหนึ่งเลยค่ะน่าจะเอาไปอธิบายด้านดีด้านอื่นน่าจะดีกว่านี้ค่ะ

0
กำลังโหลด
้R-Hestia Member 11 พ.ค. 62 12:58 น. 4

สิ่งที่คุณจะสื่อเหมือนคุณเหยียดตัวละครอื่นเลยนะ ไม่รู้ว่าอยากอวยโทนี่หรืออะไร แต่การที่คุณบอกว่า ธอร์ ฮัค หรือแม้แต่กัปตัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเราว่าไม่ใช่ จากที่เราดูมาทั้ง22เรื่อง ส่วนตัวเรามองว่าทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงหมดนะ และทุกคนก็มีการเสียสละและเห็นแก่ตัวในแบบของตัวเองไม่ใช่แค่โทนี่ เรายอมรับว่าคุณใช่ภาษาในการเขียนได้ดี แต่มุมมองที่คุณมีต่อตัวละครอื่นๆหรือแม้แต่โทนี่เอง เราว่ามันแย่

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด