ชวนรู้จัก “ฉิงเหว่ย” ตัวตนที่ลึกลับและน่าค้นหา
ไม่แพ้นิยายที่มีแต่เรื่องน่าตื่นเต้น!
สวัสดีค่ะชาวเด็กดีทุกคน พบปะพูดคุยสัปดาห์นี้นักเขียนคนพิเศษที่พี่แนนนี่เพนพามาให้ชาวเด็กดีได้ทำความรู้จักกัน “เขา” เป็นนักเขียนหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีที่ผันตัวมาจากการเป็นนักอ่านค่ะ ถ้าหากพี่พูดถึงผลงานของเขาบนเว็บเด็กดี เชื่อว่านักอ่านแนวแฟนตาซี และกำลังภายในจะต้องรู้จักนิยายของนักเขียนคนนี้กันเป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าจะเป็นนิยายเรื่อง กำเนิดเทพเจ้าปีศาจที่ต่างโลก, แหวนมิติ, ย้อนอดีตกลับมารักเธอ หรือนิยายเรื่องล่าสุดอย่าง ระบบคู่มือเสริม ล้วนเป็นผลงานจากฝีมือของชายหนุ่มเจ้าของนามปากกา “ฉิงเหว่ย” ทั้งสิ้น
พี่แนนนี่เพนเชื่อว่าใครก็ตามที่เคยอ่านผลงานของนักเขียนคนนี้ นอกจากจะรู้สึกว่าอ่านแล้วสนุก น่าติดตาม หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เล่าเรื่องได้เข้าใจง่าย และสามารถต่อยอดผลงานให้มีภาคต่อไปได้เรื่อยๆ ราวกับเรื่องราวในนิยายของเขาไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานด้วยความตั้งใจตั้งแต่เริ่มต้นเขียนนิยายจนสามารถเขียนนิยายจบทุกเรื่องของเขา ทำให้พี่อยากให้ทั้งนักอ่านและนักเขียนชาวเด็กดีได้เห็นความเป็นมาของนักเขียนหนุ่มคนนี้ เพราะจากการที่ได้พูดคุยกันทำให้พี่เห็นว่าท่ามกลางเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นในนิยายของฉิงเหว่ย ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นกลับลึกลับและน่าสนใจไม่แพ้นิยายของเขาเลยค่ะ
ฉิงเหว่ยคือใคร?
ฉิงเหว่ย คือ นามปากกาของ “บิ๊ก” นักเขียนหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีที่ทำงานประจำ และเขียนนิยายไปด้วยเมื่อมีเวลาว่าง ปัจจุบันนิยายที่เขากำลังขียนอยู่มีด้วยกันสองเรื่อง คือ นิยายเรื่อง แหวนมิติ ที่มีให้อ่านกันแล้วถึง 7 ภาค และกำลังดำเนินเรื่องด้วยความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกเรื่อง คือ นิยายเรื่อง ระบบคู่มือเสริม ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักอ่านด้วยเรื่องราวของการกลับมาเกิดใหม่พร้อมระบบที่ทำให้พระเอกเก่งมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่ผ่านมา ผลงานของฉิงหว่ยมักจะเป็นแนวแฟนตาซีและกำลังภายใน มีตัวละคร และฉากหลังเป็นแนวจีนอยู่เสมอ จนกระทั่งนิยายเรื่องล่าสุดเรื่อง ระบบคู่มือเสริม ที่ลองแหวกการเขียนมาเป็นแนวไทย ทำให้เขาค้นพบแนวที่ชอบได้ชัดเจนมากขึ้น
“ผมอยากจะเขียนเรื่องใหม่ครับ เพราะเขียนแต่เรื่องเดิมหลายๆ ตอนก็ถึงจุดอิ่มตัวเหมือนกัน จริงๆ ก็อยากลองแนวอื่นๆ บ้างครับ แล้วก่อนเขียนแนวไทยผมเขียนฉากหลังเป็นจีนมาก่อน ความยากและความถนัดมันอยู่ตรงนี้ บอกตามตรงผมไม่ถนัดแนวไทยเลย มีสับสนอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากครับ ข้อมูลหลายอย่างก็พยายามหาจากนิยายหรือไม่ก็อินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่เลยครับ”
ชายหนุ่มเล่าให้ฟังถึงการเขียนนิยายแนวที่ตัวเองถนัดซึ่งเป็นที่มาของการเริ่มต้นเส้นทางนักเขียนว่าจริงๆ แล้วตัวตนของ “ฉิงเหว่ย” ฉายแววชัดเจนตั้งแต่การตั้งชื่อนามปากกาแล้ว
“ก่อนจะมาเขียนนิยายผมก็อ่านผลงานของนักเขียนท่านอื่นๆ มาหลายเรื่อง อ่านไปอ่านมาก็อยากจะมีผลงานเป็นของตัวเองบ้าง เลยเริ่มเขียนนิยายขึ้นมาครับ แล้วจริงๆ ผมอยากใช้นามปากกาอื่นนะครับ แต่ว่ามีคนอื่นใช้ไปก่อนแล้ว และส่วนใหญ่ผมจะเขียนแนวจีนเป็นพิเศษ ก็เลยคิดว่าใช้ชื่อฉิงเหว่ยนี่แหละ น่าจะทำให้นักอ่านเข้าถึงง่าย และบอกแนวที่เรากำลังเขียนอยู่ได้”
นิยายเรื่องแรกของฉิงเหว่ยที่เขียนจบ
แม้ว่าฉิงเหว่ยจะมีผลงานโลดแล่นอยู่บนเว็บเด็กดีมานาน แต่เขาก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น “นักเขียน” เพราะชายหนุ่มคิดว่าผลงานของเขายังมีจุดบกพร่องอีกหลายจุดที่ยังต้องปรับปรุง และถ้าสามารถกลับไปแก้ไขนิยายที่เขียนจบไปแล้วได้ เขาคิดว่าอยากกลับไปรีไรต์ใหม่อีกครั้ง
“ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักเขียนหรอกครับ เพราะหากเทียบผลงานของผมกับท่านอื่นๆ แล้ว ผลงานของผมถือว่าห่างไกลจริงๆ ถามว่าผมอยากกลับไปแก้ไขงานเขียนเดิมบ้างไหม จริงๆ ก็อยากกลับไปแก้นะครับ เพราะยังมีจุดบกพร่องอีกหลายจุดเลย”
ซึ่งการกลับไปแก้ไขงานเขียนเดิมของฉิงเหว่ยก็ต้องพับเก็บไว้ในใจไปก่อน เนื่องจากเขายังมีงานที่ต้องทำเป็นประจำ และเวลาว่าที่ใช้ในการเขียนนิยายส่วนใหญ่ คือ ช่วงเวลากลางคืนซึ่งเขาอยากจะใช้เขียนนิยายใหม่ๆ มากกว่า
“เวลาที่ใช้เขียนนิยายจะต่างกันไปบ้างเล็กน้อยครับ ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของตอนนั้นๆ ไม่ว่าจะป็นการเขียนหรือเวลาที่ใช้ในการเขียน ไม่เหมือนกันทุกตอนครับ แล้วผมจะใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนกลางคืนมาเขียนนิยาย เพราะรู้สึกว่าช่วงนั้นมันเงียบดี ทำให้มีสมาธิในการเขียนนิยายเยอะเลยครับ”
นอกจากนี้ ฉิงเหว่ย ยังเป็นนักเขียนที่นิยมวางพล็อตก่อนเขียนนิยาย เพราะเชื่อว่าการเขียนแบบมีพล็อตในหัวง่ายกว่าการด้นสดที่อาจจะทำให้เขียนแล้วตัน เขียนต่อไปไม่ได้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาอัปนิยายได้บ่อยๆ และเขียนนิยายได้จบเรื่อง หรือจบภาคได้อย่างรวดเร็ว
“งานเขียนต้องวางพล็อตไว้ก่อนโดยเฉพาะตอนจบต้องมีอยู่ในหัวก่อนแล้ว แม้ว่าเขียนด้นสดจะทำให้ได้ไอเดียใหม่ๆ ก็จริง แต่มันก็ทำให้เราตันได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพราะงั้นก่อนเขียนอะไรจึงมักวางพล็อตไว้เสมอเพื่อให้ง่ายต่อการเขียนครับ ส่วนไอเดียผมได้มาจากหลายอย่างเลยครับ เกม ภาพยนต์ ซีรีส์ มังงะ ต้องอ่าน และดูเยอะๆ เพื่อหาไอเดียมาเขียนต่อครับ”
แหวนมิติ นิยายที่เขียนมาแล้วถึง 7 ภาค
เมื่อพูดถึงนิยายที่กำลังเขียนอยู่ทั้งสองเรื่องซึ่งมีแนวนิยาย และการดำเนินเรื่องที่แตกต่างกัน ฉิงเหว่ยให้ความเห็นว่านิยายเรื่อง “แหวนมิติ” ที่เขียนมาแล้ว 7 ภาคได้รับความนิยมจากนักอ่านค่อนข้างดี แม้ว่ายอดวิวจะยังไม่ถึงหลักแสนก็ตาม
“เรื่องที่คิดว่ากระแสตอบรับดีสุดๆ คงเป็นเรื่อง “แหวนมิติ” นี่ล่ะครับ ด้วยความแปลกใหม่ว่าด้วยตัวเอกเข้าไปในต่างมิติ ผจญภัยในแดนมหัศจรรย์เร้นลับ ต่อสู้กับเหล่าอสูรร้าย เผชิญหน้ากับยอดฝีมือแสนอันตราย พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นผู้มีอิทธิพล เป็นนิยายที่คนอ่านลุ้นไปกับตัวเอก ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะเดินทางไปได้ถึงไหนกัน ส่วนนิยายเรื่องล่าสุด “ระบบคู่มือเสริม” เป็นแนวที่ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนครับ จะเน้นไปในเรื่องของธุริจ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวามากครับ”
ทั้งนี้ ในส่วนของเรื่องยอดวิวจากนิยายแต่ละเรื่อง ที่แม้จะมีบางเรื่องเคยได้มากสุดถึงสองแสนวิว และน้อยสุดประมาณหกพันวิว (จากนิยายที่เขียนจบแล้ว) ฉิงเหว่ยคิดว่ายอดวิวค่อนข้างส่งผลต่อการเขียนนิยายในแต่ละแนว รวมถึงการคอมเมนต์ก็มีส่วนทำให้เขาเกิดความรู้สึกทุกข์บนเส้นทางนักเขียนได้เหมือนกัน
“ยอดวิว ยอดคอมเมนต์ และการติดท็อป ส่งผลต่อตัวผมมากครับ เพราะยอดวิวเป็นตัวกำหนดให้นักเขียนกระตือรือร้นกับงานเขียนก็ว่าได้ สำหรับผมถ้าได้ยอดวิว หรือคอมเมนต์น้อยๆ ก็มีนอยด์เหมือนกัน”
แต่ถึงอย่างนั้นการเขียนนิยายก็ยังเป็นความสุขสำหรับฉิงเหว่ยมากกว่าเพราะว่า
“งานเขียนทำให้ผมรู้สึกดี และทุกข์ในเวลาเดียวกันครับ แต่หากให้พูดตรงๆ ผมคงสนุกไปกับมันถึงได้เขียนมาแล้วหลายเรื่องจนถึงตอนนี้ มากกว่าจะรู้สึกว่าทุกข์ครับ”
ระบบคู่มือเสริม นิยายเรื่องล่าสุดของฉิงเหว่ยที่มีฉากหลังเป็นแนวไทย
นอกเหนือจากเรื่องราวการเขียนนิยายของฉิงเหว่ย ยังมีเรื่องราวการขายนิยายบนเว็บเด็กดีที่เขาเองก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่านิยายยอดวิวหลักพันจะสามารถนำมาขายได้ และมีคนซื้อนิยายของเขาอ่านจริงๆ
“ตอนที่เขียนนิยายเรื่องแรกไม่ได้คิดถึงขนาดว่าต้องมีรายได้จากงานเขียนตัวเองเลยครับ ตอนนั้นรู้แค่ว่าอยากเขียนนิยายเท่านั้น รายได้สำหรับผมไม่ค่อยแน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับผลงานด้วยว่าได้รับความนิยมไหม รายได้จากตรงนี้ผมก็นำไปใช้หลายอย่างเลยล่ะครับ ซื้อนิยายเพื่อหาไอเดียใหม่ๆ เกมเพื่อหาฉากเจ๋งๆ มาเขียน สามารถนำไปใช้จ่ายได้จริงๆ ทุกเดือนครับ แต่ผลงานของคุณต้องเจ๋งนะ”
สุดท้ายนี้ ฉิงเหว่ยเล่าถึงความฝันที่นอกจากอยากเขียนนิยายให้ได้ทุกวันแล้ว ยังมีอีกหนึ่งความฝันนั่นก็คือการมีหนังสืออยู่บนแผงหนังสือในวันใดวันหนึ่ง และฝากข้อความถึงนักเขียน และนักอ่านชาวเด็กดีด้วยค่ะ
“เป้าหมายของผม อยากมีหนังสือสักเล่มบนแผงหนังสือมั้งครับ (หัวเราะ) คติประจำใจของผมคือ วันนี้ต้องเขียนให้ได้อย่างน้อยหนึ่งตอนหรือหนึ่งหน้ากระดาษนะ ผมคงบอกอะไรนักเขียนท่านอื่นๆ ไม่ได้มาก เพราะในเส้นทางเขียนแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าอย่าหมดไฟนะครับ”
“แล้วก็อยากให้ติดตามผลงานผมเยอะๆ นะครับ มีหลายเรื่องเลยเขียนจนมือหงิก ฮา ก็อยากให้มาอ่านกันนะครับ ทั้งสนุกตื่นเต้นดราม่า ลุ้นละทึก ครบทุกอารมณ์เลยครับฝากนิยายเรื่อง กำเนิดเทพเจ้าปีศาจที่ต่างโลก, แหวนมิติ, ระบบคู่มือเสริม และย้อนอดีตกลับมารักเธอ ด้วยนะครับ”
……………
ท้ายที่สุดนี้ ก่อนจะจากลากันไป พี่แนนนี่เพนเชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกคนสัมผัสได้จากตัวตนอันลึกลับที่ยังมีอีกหลายๆ ด้านให้เราได้ค้นหากันนั้น “ความมีวินัย” ของชายหนุ่มที่พยายามจะเขียนนิยายให้ได้ทุกวัน จนวันนี้มีนิยายที่เขียนจบแล้วและมีภาคต่อมากถึงสี่เรื่องบนเว็บเด็กดี น่าจะเป็นผลงานที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามของฉิงเหว่ยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ดีที่สุด และแม้ว่าฉิงเหว่ยจะไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักเขียน แต่พี่เชื่อผลงานในวันนี้ของเขา ได้ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าเขาคือ “นักเขียนเด็กดี” คนหนึ่งที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆ บนเว็บเด็กดีของเราต่อไปค่ะ ^^
พี่แนนนี่เพน
0 ความคิดเห็น