SUNIKI : เมื่อแม่ค้าขายต้นไม้หันจับปากกาเขียนนิยาย หาเงินส่งให้พ่อแม่

 SUNIKI : เมื่อแม่ค้าขายต้นไม้หันจับปากกาเขียนนิยาย 
หาเงินส่งให้พ่อแม่

 

ไม่ว่าใครก็เขียนนิยายได้ เป็นสิ่งที่พี่หญิงเชื่อมาตลอดว่าการเขียนนิยายไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครนักเรียน นักศึกษา พนักงานบริษัทกินเงินเดือน หรือแม้แต่แม่บ้าน ขอแค่ทุกคนได้ลองลงมือเขียนแม้ตอนแรกจะมีข้อผิดพลาดต่างๆ ออกมา แต่เราก็สามารถพัฒนา ปรับปรุงแก้สร้างสรรผลงานดีๆ ของเราได้ เหมือนกับที่ SUNIKI นักเขียนเจ้าของผลงาน ข้าทะลุมิติมาเลี้ยงเด็กแฝด ได้มาแชร์ประสบการให้เราฟังกันในวันนี้ เธอก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นเส้นทางนักเขียนด้วยต้นทุนที่เริ่มจากศูนย์เช่นกัน

SUNIKI หรือ น้องฝ้าย เล่าให้เราฟังว่าหลังจากที่เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เธอก็ไม่ได้เรียนต่อเนื่องด้วยความไม่พร้อมของครอบครัว เลยคิดว่าออกมาทำงานหาเงินดีกว่า และได้เริ่มต้นชีวิตแม่ค้าขายต้นไม้หลังจากได้คบกับแฟนที่มีครอบครัวทำธุรกิจด้านนี้โดยตรง จนวันหนึ่งน้องฝ้ายเกิดรู้สึกเบื่องานหลักที่ต้องพบเจอกับปัญหาเรื่องคน คนรอบตัว คนงาน ลูกค้า หรืออะไรหลายอย่างขึ้นมา ประกอบกับที่โควิด-19 ระบาด เลยมีเวลาลงมือทดลองเขียนนิยายดู และได้ลองเปิดขายเพื่อเป็นเงินเก็บ คิดว่าแค่มีคนซื้อไม่กี่คนก็ดีใจแล้ว ขอแค่มีคนซื้อ 10 จาก 100 คน ก็พอ ด้วยมองว่าแม้จะเป็นเงินจำนวนไม่มากนัก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นรายได้ที่มาจากความสามารถของตัวเอง

จากความคิดเล็กน้อยในวันนั้น ใครเลยจะคิดว่า “นิยาย” จะสร้างรายได้จำนวนมากให้เธอได้ในวันนี้ และแน่นอนว่าระหว่างทางกว่าที่ น้องฝ้าย จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ก็ไม่ง่ายเช่นกันค่ะ เธอเจอทั้งความผิดหวัง กดดัน จนเกือบล้มเลิกการเขียนนิยายไปแล้วเช่นกัน แต่อะไรกันล่ะที่ทำให้เธอกัดฟันสู้จนมาถึงเขียนนิยายมาเป็นเรื่องที่สามได้อย่างทุกวันนี้ได้ เรามาคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์ของเธอกันค่ะ  

 

เราชื่อ ณัฐธิการ์  ฑีฆาวงค์ ชื่อเล่นว่า ฝ้ายค่ะ ใช้นามปากกา SUNIKI ตอนนี้อายุ 25 ปีค่ะ เริ่มเขียนเมื่อไม่นานมานี้ นับๆ ก็ 6 เดือนค่ะ เริ่มแบบจริงจังเดือนมกราคม มีอาชีพหลักเป็นแม่ค้าขายต้นไม้อยู่กับแฟนค่ะ

ประสบการณ์อ่าน 10 ปี กับการลงมือเขียนครั้งแรก

ส่วนจุดเริ่มต้นในการเขียนนิยายคือ อยากหาเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราจริงๆ ค่ะ เงินที่มาจากความสามารถของเรา มันสมองของเรา มันคงจะภูมิใจมากกว่าค่ะ แต่เอาจริงๆ ตอนเริ่มไม่มีประสบการณ์เขียนมาก่อนเลยค่ะ แต่เราอ่านนิยายมา 10 ปีได้แล้ว พออ่านมากๆ เข้าก็อยากลองเขียนดู

ครั้งแรกมักยากเสมอค่ะ 555 กว่าจะตัดสินใจลงมือเขียนได้ ต้องนั่งเถียงกับตัวเองหลายวันเลย กลัวไม่มีใครอ่านบ้าง รู้สึกอายที่จะลงผลงาน กลัวคอมเมนต์ทางแย่ๆ

อุปสรรคก็มีค่ะ เวลากับคนใกล้ตัวที่มากดดันเราโดยที่เขาไม่รู้ตัว ไหนจะงานหลักกับตัววุ่นวายที่บ้านเราต้องคอยจัดการให้ดีเลยค่ะ และที่ทำให้เราถึงผ่านจุดนั้นมาได้ ก็เป็นตัววุ่นวายอีกแหละค่ะที่เป็นตัวผลักดัน ส่วนแรงใจก็มาจากตัวเราเองที่อยากจะสร้างฝนงานออกมาให้ได้สักครั้ง ทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จ ต่อมาก็เป็นคนอ่านที่ติดตามกันและคอยสนับสนุนเรามาตลอด มันทำให้เราคิดว่าจะทิ้งไปไม่ได้เพราะเขาก็คาดหวังกับผลงานของเราแล้ว ถ้าจะทิ้งไปกลางคันมันคงรู้สึกไม่ดีค่ะ

ระยะเวลา 6 เดือน กับนิยาย 3 เรื่อง! 

ข้าทะลุมิติมาเลี้ยงเด็กแฝด ไม่ใช่นิยายเรื่องแรกค่ะ อันนี้เป็นเรื่องที่สาม ตั้งแต่เรื่องแรกจนถึงเรื่องปัจจุบันสิ่งที่เปลี่ยนไปของเราก็คือการเขียนของเรานะคะ มันดูสมเหตุสมผลมากขึ้นกว่าเรื่องแรกที่เรายังมีความตื่นสนามและประสบการณ์ที่ไม่มากพอ การบรรยายเลยออกมาไม่ดีเท่าที่ควรและมีจุดบกพร่องเยอะมาก

ข้าทะลุมิติมาเลี้ยงเด็กแฝด เรื่องนี้แรงบันดาลของเราก็คงจะเป็นลูกค่ะ เราคิดถึงการเลี้ยงลูกของเรา คิดถึงคนที่ไม่เคยมีชีวิตคู่ไม่เคยสัมผัสการมีลูก จุดเริ่มต้นมันเป็นคืนที่เราอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน แต่พล็อตของเรื่องนี้กลับผุดขึ้นมาในหัว เราอยากให้นางเอกของเราเป็นสตรีแกร่งที่สามารถเลี้ยงลูกได้เองโดยไม่หวังพึ่งพ่อของลูก มีใส่ประสบการณ์ตรงลงไปในนิยายบ้างนะ แต่ไม่ทั้งหมด อาศัยสอบถามคุณแม่ท่านอื่นบ้างที่อยู่รอบตัว ยิ่งเรื่องนี้เรามาแนวเลี้ยงลูกเองที่ขาดไม่ได้คือความรู้สึกและวิธีการเลี้ยงลูกของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ เราได้ตัวอย่างมาจากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวด้วย  ก่อนจะนำหลายอย่างมาปรับรวมกันจนก่อเกิดเป็นเรื่องนี้ขึ้นมาค่ะ

ชอบว่าพล็อตคร่าวๆ เพราะไอเดียใหม่ๆ มักเกิดขึ้นในแต่ละวัน

มีวางแบบคร่าวๆ ค่ะ ไม่กำหนดตายตัวว่าเป็นแบบไหนเพราะความคิดในแต่ละวันมันผุดขึ้นมาไม่ได้หยุด เราจะไม่บังคับเนื้อเรื่องมาก ก็ไม่อยากกดดันตัวเองด้วยค่ะ หากเป็นแบบแผนแล้วเราจะตันทันที แต่ก็ต้องเขียนให้อยู่ในขอบเรื่องที่เราคิดตั้งแต่แรก ไม่ออกทะเลมากจนเกินไป จะเรียกการเขียนของเราว่าด้นสดก็คงจะได้มั้งคะ

ที่เขียนออกทะเลก็มีเรื่องแรกค่ะ ดีว่ารู้ตัวก่อน ดึงกลับมาทันไม่อย่างนั้นคงเหนื่อยอีกเยอะ ตามที่บอกว่าเราหาข้อมูลมาน้อย ไม่วางเส้นเรื่องให้ชัดเจน ด้นสดทุกตอนมันเลยออกจะงงๆ มากกว่าสนุก ส่วนเรื่องล่าสุดยังไม่มีแววเลยค่ะ เส้นเรื่องเราวางไว้ว่าตัวเอกจะสร้างตัวในแบบที่เราจะให้เป็น จะไม่ทำเหมือนนิยายทะลุมิติทั่วไปมากตรงนี้อาจเป็นจุดเด่นอีกอย่างของนิยายเราค่ะ ค่อยๆ เดิน มีเหตุมีผลตามมาทุกตอน พอจะแต่งตอนใหม่เราจะกลับไปอ่านตอนเก่าก่อนเพื่อดึงอารมณ์ เรื่องที่สองเลยยังไม่มีอะไรผิดพลาด

สำหรับ ทะลุมิติมาเลี้ยงลูกแฝด เรื่องนี้มีจุบจบยังไง ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดค่ะ เรายังลังเลอยู่ 555 แต่ไม่ต่างกันเท่าไหร่ เรื่องเลยยังดำเนินต่อไปได้ แก่นเรื่องคือการเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่ การพัฒนาฝีมือและชีวิตที่ยากจนของตัวเอกรวมถึงคนรอบข้างให้ดีมากกว่าเดิม ความต้องการที่จะสร้างเมืองของนางเอกให้เป็นไปในทางที่ตัวนางต้องการ และการส่งลูกไปถึงจุดหมาย ส่วนตัวเองก็จะเดินทางท่องเที่ยวไปทุกแคว้น มีเรื่องชิงบัลลังก์อยู่แต่ไม่เน้นหนักขนาดนั้น เอามาสร้างสีสันให้เรื่องไม่ดูน่าเบื่อมากจนเกินไป ก็มีเท่านี้ค่ะ

เคล็ดลับเลือกคนอ่านคือ ลงนิยายตอนใหม่ทุกวัน 

คิดว่าเป็นเพราะอะไรทำให้มีนักอ่านมาติดตามเยอะ? ก็คงเป็นการสม่ำเสมอในการอัพตอนลงทุกวันของเราค่ะ เคยเป็นคนอ่านมาก่อนก็จะรู้ว่าเขาชอบแบบไหน อีกอย่างคงเป็นพล็อตตลาดด้วย ภาษาการบรรยายไม่ซ้ำจำเจมากเกินไป เราคิดว่าคงเป็นเหตุผลนี้นะคะ

เปิดขายเพราะมีแนวโน้มขายดี แต่ไม่คิดว่าผลตอบรับจะเกินคาด

ความจริงเรื่อง ข้าทะลุมิติมาเลี้ยงเด็กแฝด ไม่ใช่เรื่องแรกที่เราลองเปิดขายค่ะ เรามีอีกเรื่องที่ลงขายแล้วมันมีแนวโน้มขายดี เลยคิดจะหารายได้ไปเรื่อยๆ ไม่คิดว่าจะทำเงินได้เยอะขนาดนี้ ก็มีตกใจอยู่ค่ะ แต่คุณภาพแต่ละตอนไม่ลดลงนะคะ ยิ่งมีนักอ่านยอมสนับสนุน เรายิ่งต้องเขียนให้ดีขึ้นค่ะ คือแม้เราตั้งใจเปิดขายเพื่อหารายได้ แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นรายได้หลัก ขอเป็นเงินเก็บเพราะเราก็มือใหม่ จะมาขายดีตั้งแต่เรื่องแรกเลยมันไม่มีอยู่ในหัวค่ะ

ตอนเปิดขายครั้งแรกสารภาพว่ามีความกังวลหรือลังเลก็เหมือนคนทั่วๆ ไปค่ะ กลัวคนอ่านหาย กดดันตัวเองเพราะเราติดเหรียญไปแล้วต้องแต่งให้จบ มีช่วงที่ตันก็พยายามดึงสติกลับมาแล้วตั้งใจเขียน อีกอย่างเราคิดว่า แค่งานเรามีคุณภาพจะต้องมีคนชอบ ขอ 10 ใน 100 คนที่จ่ายให้เราทุกตอนมันก็เป็นรายรับได้

แต่เห็นผลตอบรับหลังเปิดขายครั้งแรกตกใจค่ะ เพราะเราคาดหวังที่หลักพันต้นๆ ไม่คิดว่าพอเปิดขายแล้วมันจะได้ที่หลักหมื่นไปเลย ความรู้สึกต่อมาคือดีใจมากและทำให้ความมั่นใจที่มีอยู่เล็กน้อยเพิ่มขึ้นมาทันที มีแรงฮึดเขียนลงทุกวัน เห็นแบบนั้นเรายิ่งต้องพัฒนาฝีมือในการเขียนมากขึ้นไปอีก เรากลัวคนอ่านผิดหวังค่ะ

บทพิสูจน์ตัวเองกับการเขียนนิยายให้ครอบครัวยอมรับ

เรื่องการเขียนนิยายเราไม่ได้ปิดบังที่บ้านนะ ที่บ้านไม่ได้เคร่งมากค่ะ แฟนก็สนับสนุน มีแค่ช่วงแรกที่กังวลไปกับเราแล้วเผลอกดดัน นอกนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ่งรายได้เรามันเกินคาดก็ยิ่งสนับสนุนค่ะ 555

แต่กว่าจะได้รับการสนับสนุนแบบนี้ จริงๆ ก็ผ่านความกดดันมาไม่น้อยเหมือนกันค่ะ ต้องเล่าย้อนไปช่วงแรกที่ตัดสินใจเขียน เราเพียงรู้สึกเบื่องานหลักที่ต้องพบเจอกับปัญหาเรื่องคน คนรอบตัว คนงาน ลูกค้า หรืออะไรหลายอย่าง ประกอบช่วงนั้นโควิด-19 กลับมาอีกครั้ง งานเงียบๆ ไปเลยมีเวลาลงมือทดลองเขียนนิยายดู มันเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากเพราะที่ผ่านมาเราจะเป็นนักอ่าน แต่วันหนึ่งกลับลงมาชิมลางนักเขียนมันเลยตื่นเต้นมาก

ซึ่งเรื่องแรกก็ตามนั้น เราหาข้อมูลมาน้อย เขียนติดขัดเยอะมาก คำผิดคำตกเยอะจนคนอ่านท้วง เราก็คอยตามแก้ การดำเนินเรื่องไวจนเกินไป ถึงมันจะขายได้แต่ก็แอบรู้สึกผิดกับคนอ่านที่ยอมจ่ายเงินให้เรามาก ทุกวันนี้ยังกลับไปรีไรท์เรื่องนั้นอยู่เลย

ส่วนที่ว่าเราทำงานไปด้วยเขียนนิยายไปด้วยแบบนี้ มีวิธีการแบ่งเวลาอย่างไร การแบ่งเวลาในการเขียนก็คือเราปล่อยงานเลยค่ะ คนเรามันถึงจุดจุดหนึ่งมันก็แค่ต้องปล่อย แต่แฟนยังทำอยู่นะคะ รายจ่ายในชีวิตยังจี้ตูดมาแบบติดๆ ช่วงแรกอย่างที่บอกแฟนค่อนข้างไม่พอใจที่เราเอาเวลาไปทุ่มกับนิยายมากผิดปกติ เราในตอนนั้นแค่ต้องการทำอะไรที่ไม่ต้องไปยุ่งกับคนมากเลยกัดฟันเขียนต่อไป เดือนแรกได้เงินมา 3000 บาท มันตื่นเต้นยิ่งกว่าเราทำงานหลักแล้วได้จับเงินก้อนใหญ่เสียอีก (กระซิบว่าครั้งแรกเราเขียนลงที่อื่นอย่างเดียว มาลงเด็กดีก็เกือบสิ้นเดือนกุมภาพันธ์แล้ว ได้ยอดที่เด็กดีมาหมื่นต้นๆ กรี๊ดบ้านแตก)

เดือนมีนาก็เริ่มกลับมาจับงานหลักบ้างแล้วเพราะไม่อยากมานั่งทะเลาะกันอีก แบ่งเวลาเขียนวันละตอนไปก่อน ลงเวลาไหนเอาตามที่เราสะดวก แต่ใกล้ปิดเรื่องแรกแล้ว มากลางเดือนโรคมาหนักงานเริ่มเงียบเราก็อะ มีเวลาก็เขียนมาขึ้น เปิดเรื่องข้าทะลุมิติขึ้นมา ตัดยอดก็ได้เยอะอยู่ค่ะ แฟนเลิกบ่นแล้ว เราก็ลุยเต็มที่ เดือนพฤษภาคมงานหลักเริ่มเยอะเราก็แบ่งว่าจะเขียนอาทิตย์ละกี่วันแทน ไม่ได้เขียนทุกวันอย่างเดิมอีกแล้ว แต่ก็ยังมีรายได้เข้าเรื่อยๆ

แม้จะกดดัน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ เพราะอยากมีเงินเก็บส่งให้พ่อแม่

ก็อย่างที่บอกว่าตอนแรกเรากดดันมากกกกกกก ไหนจะการที่เราพิมพ์ในโทรศัพท์อีกเพราะโน้ตบุ๊คพัง มันเลยยากเข้าไปใหญ่ ต้องมานั่งแต่งพร้อมกับการได้ยินคำบ่นปะปนความกดดันที่เขาไม่รู้ว่าแสดงออก มันแบบอยากจะหยุดนะ แต่เราชอบแหละ ชอบได้เขียน ชอบเอาความคิดจินตนาการในหัวของเราให้คนอื่นอ่าน เลยกัดฟันสูดหายใจลึกๆ หลายๆ ครั้งแล้วไปต่อ

เพราะเราตั้งใจเขียนนิยายขายตั้งแต่แรก แต่คิดว่าให้มันเป็นเงินเก็บมากกว่า ไม่ได้หวังเยอะมาก เดือนละหลักพักก็พอใจ แฟนก็โอเคแหละ ไม่ได้ห้ามด้วยซ้ำตอนที่เราบอกว่าจะเขียน เพราะเขาบอกว่ามันเป็น tireless income เขาแค่ไม่พอใจที่เราเอาเวลาทุ่มกับการเขียนมากจนเกินไป

การพิสูจน์ให้แฟนยอมรับก็ส่วนหนึ่ง พิสูจน์ว่าเราสามารถทำงานได้เองโดยไม่ต้องมีเขาคอย support เหมือนที่ผ่านมา อีกอย่างเราอยากให้เงินพ่อแม่ของเราโดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับแฟนมาก เมื่อก่อนมันหาด้วยกันจะเอาให้เยอะก็เกรงใจ แต่ตอนนี้เงินเราจะให้เท่าไหร่ก็ไม่มีใครว่า

ตอนนี้เราก็เลยดีใจมากค่ะ ^///^ แฟนสนับสนุนเต็มที่แล้ว ล่าสุดเราให้รางวัลตัวเองเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องใหม่

 

ไม่มีประสบการณ์ก็เขียนนิยายได้ นอกจากความชอบในเรื่องการอ่านนิยายแล้ว น้องฝ้ายก็เป็นคนหนึ่งที่เริ่มต้นเส้นทางนักเขียนจากศูนย์เช่นกัน เธอเพียงแค่อยากทำให้สิ่งที่รัก และอยากหารายได้ให้ตัวเอง และถึงแม้ชีวิตการเขียนนิยายของเธอจะไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเสียหมดเจอทั้งอุปสรรคการเขียน ความกดดันจากคนรอบข้าง จนเคยเกือบจะล้มเลิกการเขียนนิยายไป แต่เพราะสุดท้ายแล้วเธอไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้จนถึงที่สุด ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงเป็นข้อพิสูนจ์ในเห็นว่าความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมานั้นไม่เคยสูญเปล่าค่ะ

และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของ  SUNIKI นักเขียนเด็กดีที่เราเอามาฝากทุกคนในวันนี้ หวังว่ามันจะสร้างแรงบันดาลใจ และกำลังใจดีๆ ให้ชาวเด็กดีทุกคนจนมีไฟลุกพึ่บพั่บมาจับเมาส์เปิดคอมเขียนนิยายกันนะคะ^^

ติดตามผลงานของ SUNIKI ได้ที่นี่

พี่หญิง

 

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น