Taesuwanna : โควิดทำพิษ! แม่ค้าขนมหวานจึงผันตัวมาเป็นนักเขียนนิยายยอดวิวหลักล้าน!

Taesuwanna : โควิดทำพิษ! แม่ค้าขนมหวานจึงผันตัวมาเป็นนักเขียนนิยายยอดวิวหลักล้าน!

 

สวัสดีค่ะ ชาวเด็กดีทุกคน สำหรับในสถานการณ์แบบนี้ เชื่อว่าต้องมีหลายคนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ เหมือนอย่างนักเขียนที่เราพามาให้ทุกคนรู้จักในวันนี้ที่โควิดทำพิษจนทำให้ไม่สามารถทำอาชีพแม่ค้าขายขนมต่อไปได้ รายได้ลดลงไม่คุ้มกับทุนที่เสียไป เธอจึงใช้งานอดิเรกยามว่างอย่างการเขียนนิยายมาลองเปิดขาย สร้างเป็นรายได้ จนปัจจุบันเธอได้ผันตัวเองจากการเป็นแม่ค้าขายขนมมาเป็นนักเขียนเต็มตัวเรียบร้อยแล้วค่ะ 

วันนี้เราเลยอยากพาทุกคนมารู้จักตัวตนและเส้นทางนักเขียนของเธอกันว่า กว่าที่เธอจะสามารถสร้างรายได้จากนิยายได้อย่างปัจจุบันนั้น เธอผ่านอุปสรรคต่างๆ มาได้อย่างไร ไปติดตามกันค่ะ   

 

ชื่อ สุวรรณา ลาดล่าย (แต) อายุ 42 ปี แล้วค่ะ  อิอิ เป็นคน จ.นครราชสีมา อาชีพ ขายขนมไทยตามตลาดนัดที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จบปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ (มันเป็นได้ทั้ง ครู และช่าง)

ย้อนไปก่อนหน้าที่จะเริ่มเขียนนิยาย

ตอนยังเป็นพนักงานบริษัทเอกชน ส่วนใหญ่จะทำงานในสายควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ก่อนส่งลูกค้า ขึ้นชื่อว่าเป็นพนักงานรายเดือน เงินเดือนที่ได้จึงใช้เดือนชนเดือนจริงๆ แถมมีหนี้บัตรเครดิตอีกหลายใบ จากนั้นจึงออกมาค้าขายขนมไทยแล้วหักบัตรเครดิตทิ้งไปซะเลย แล้วทำการค้าขาย จนใช้หนี้บัตรเครดิตหมด 

จุดเริ่มต้นในการเขียนนิยาย

ตอนแรกเริ่มจากการดูซีรีส์ก่อน ทั้งซีรีส์จีน เกาหลี ทั้งเก่าใหม่ติดงอมแงม เวลาดูก็เป็นเวลาขายของนั่นแหละ ขายไปด้วยดูไปด้วย แถมกลับมาดูที่บ้านจนดึกอีก เป็นช่วงที่ยังไม่ได้เริ่มอ่านนิยายเลย เพราะเป็นคนขี้เกียจอ่านหนังสือ เวลาสอบก็อ่านวันนี้สอบพรุ่งนี้ประมาณนี้ค่ะ ฮา

ต่อจากนั้น พอดูซีรีส์ไปนานเข้า บางครั้งก็เล่นเฟสบุ๊คแล้วเจอเมนต์ประมาณว่า ซีรีย์เรื่องนี้เคยมีนิยายแล้ว นิยายสนุกกว่า พอเจอหลายครั้งเข้าก็อยากลองอ่านดูค่ะ เราเริ่มอ่านนิยายตั้งแต่ได้ดูซีรีส์เรื่อง ปรมาจารย์ลัทธิมารจบ หุหุ  น่าจะประมาณสิงหาคมปี 2562 เรื่องแรกที่อ่านคือ ยอดหญิงหมอเทวดา ติดงอมแงมเลยค่ะ 

จากนั้นจึงเริ่มหาเรื่องอื่นมาอ่านเรื่อยๆ ตอนนี้แทบจะไม่ดูซีรีส์แล้วเพราะติดนิยาย และชอบอ่านนิยายไปแล้ว (ทั้งๆ ที่ตอนสมัยเรียนเพื่อนไปเช่าหนังสือการ์ตูนมาอ่าน ตอนนั้นยังล้อเพื่ออยู่เลยว่าติดอะไรหนักหนา แต่พอมาถึงตนเองจึงรู้ซึ้งเลย) 

ตอนแรกซื้อหนังสือมาอ่านต่อมาก็อ่านตามเว็บต่างๆ จนมาเจอเด็กดี และเห็นมีนักเขียนหน้าใหม่เยอะแยะ ใครๆ ก็เขียนได้ จึงอยากลองบ้างก็ไม่เสียหาย จนกระทั่งเดือนมกราคมของปี 2564 จึงอยากจะลองเขียนดูบ้าง

ตอนแรกที่คิดอยากจะเขียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก 
ถ้าไม่มีคนเข้ามาอ่านเราก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้

เรื่องแรกที่เขียนคือเรื่อง หลี่ชิงเยียนทะลุมิติไปยุค 70  เริ่มลงในเว็บเด็กดี 19 ก.พ 64 (เขียนไปด้วยขายขนมไทยไปด้วย) ปรากฏว่ามีคนกดติดตามเรื่อยๆ ก็เริ่มมีกำลังใจ ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าคนกดติดตามกี่คนถึงจะเรียกว่าเยอะ แต่พอมีคนมาเมนต์ เราจึงลงนิยายทุกวัน วันละตอนหรือสองตอนทุกวัน ไม่มีขาด นอกจากว่าจะติดธุระจริงๆ แต่ก็เว้นแค่หนึ่งวันไม่เกินสองวัน เพราะแบบนี้มันจึงทำให้มียอดติดตาม 5,000 คนหรือเปล่าไม่รู้

พอเรื่องแรกใกล้จบ ก็เริ่มนึกพล็อตเรื่องต่อไป 

เรื่องที่สองคือ หลินซานซานทะลุมิติไปใช้หนี้รัก  เปิดเรื่อง มีนาคม 64 เรื่องนี้รู้สึกว่ามันเขียนยาก เพราะมันเป็นแนว ต่อสู้ พลังปราณ ปรุงโอสถ  2-4 วันถึงจะได้ลงหนึ่งตอน จึงคิดพล็อตเรื่องที่สามไปพร้อมๆ กันด้วยเลย นึกถึงแนวชนบท เพราะคิดว่านักอ่านน่าจะชอบ (นักเขียนเองยังชอบเลย)

จนเกิดมาเป็นเรื่องที่สามชื่อ ข้าขอย้อนกลับมาเป็นสตรีที่ร้ายกาจ  เปิดเรื่อง มิถุนายน 64  เรื่องนี้เขียนง่ายกว่าเรื่องที่สอง จึงลงนิยายทุกวันจนถึงปัจจุบันค่ะ และยอดติมตามมีมากด้วยจึงฮึกเหิมล่ะมั้ง

เพราะโควิดจึงหยุดขายขนมมาเขียนนิยายขาย

ตอนนี้หยุดขายขนมได้สามเดือนเพราะพิษโควิทค่ะ ก่อนโควิทก็รายได้พอใช้ได้ยอดขายวันละเกือบ 2,000 แต่ยอดเริ่มลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่โควิท

  • ระลอกแรกเหลือ 1,000
  • ระลอกสอง 700-800
  • ระลอกล่าสุด 300-500

จึงออกมาตั้งใจเขียนนิยายดีกว่าค่ะ 

มีรายได้หลักหมื่น แถมยังไม่ต้องลงทุนอีกด้วย

ฝ่าฟันอุปสรรคการเขียนด้วยกำลังใจจากนักอ่าน

เราเพิ่งเริ่มปีนี้ค่ะ ถามว่าทำไมถึงเขียนเร็ว เราก็ไม่รู้ มันเขียนไปได้เอง พอเริ่มคิดไม่ออกก็ไปอ่านนิยายให้ผ่อนคลาย แล้วมาเริ่มเขียนใหม่ เอาจริงๆ ตอนเริ่มต้นเขียนก็ยากนะคะ พอเขียนได้สัก 10 ตอน มันก็เริ่มดีขึ้น

ระหว่างเขียนปัญหาหรือ ก็มีนะคะ ช่วงแรกใช้มือถือเขียนค่ะ ไม่มีโน๊ตบุ๊ค มันก็ลำบากบ้าง ต่อมามีบางเมนต์แรงไปบ้าง มันก็มีแผ่วบ้าง แต่เราก็คิดถึงเมนต์ของบางคนที่ให้กำลังใจ มันเลยหักลบกลบหนี้กันไป

เราเพิ่งหัดแต่งนิยายเป็นเรื่องแรกค่ะ ปัญหาใหญ่เลยคือเรื่องการบรรยาย

เราบรรยายไม่ค่อยเป็น บางคนก็อ่านแล้วไม่อินเท่าไหร่ อันนี้เราก็ไปรับปรุงเรื่อยๆ  แต่บางคนก็ไม่ได้คิดอะไรมากและให้กำลังใจ โดนว่าเรื่องพล็อตเดิมๆซ้ำๆ ประมาณนี้ค่ะ เฮ้อ ก็เราชอบเรื่องมิติ เรื่องโอเวอร์ของนางเอกอะไรประมาณนี้ จึงเขียนเรื่องแรกออกมาแบบนี้ บางคนยังบอกว่าเราก็อปจากเรื่องอื่นมา 100% เลยก็มี เฮ้อ

เหมือนมีอคติกับเราเลย  แต่ก็มีคนมาเมนต์แก้ให้ กำลังใจจึงดีขึ้นมาหน่อย เราจึงทำเป็นไม่สนใจ ปลงๆ ไป จะให้มีคนมาชอบ 100% ก็ไม่ใช่ พอเรื่องที่สองที่สาม เราก็ปรับปรุง พยายามบรรยายมากขึ้น แต่มันก็ยังติดๆ ขัดๆ อยู่มาก แล้วเจอแบบนั้นแรกๆ เรามีเครียด ท้อ อยากยอมแพ้บ้างค่ะ แต่วันเดียวแค่นั้นแหละ เพราะเรายังมีคนส่วนมากที่ยังชอบนิยายเราอยู่ เราจึงไม่สนใจคนส่วนน้อยนั้นค่ะ ระหว่าง 10 คนที่ไม่ชอบ กับ 5,000 คนที่ชอบเราก็เลือกคนส่วนมากดีกว่า

แล้วตอนนี้อยู่บ้านเฉยๆ เหมือนจะมีคนมองว่าเราไม่ทำงานทำการเหรอ  เราจึงอธิบายให้ฟังอยู่นาน ว่าเขียนนิยายนะ มีรายได้เหมือนกัน มันดีกว่าขายขนมอีกนะ

ข้าขอย้อนกลับมาเป็นสตรีที่ร้ายกาจ นิยายที่มียอดวิวหลักล้าน!

เรื่องนี้เป็นนิยายที่มีคนติดตามมาก และคอมเมนต์ก็เป็นเกี่ยวกับนิยายทั้งนั้น ซึ่งตรงนี้มันเป็นกำลังใจให้เรามาก และยังทำให้เรานำไปปรับปรุงในเรื่องต่อไปได้ด้วย และถึงการบรรยายจะยังติดจัดอยู่มาก เราก็จะพยายามต่อไป

เรื่องติดท็อป ใช่ค่ะ เรื่องนี้ติดท็อปนิยายเด็กดีด้วย เราคิดว่าอีกหนึ่งเรื่องสำคัญเลย หากเรามีเวลาเขียนและลงทุกวัน มันอาจส่งผลให้นิยายติดก็ได้ค่ะ 

สำหรับเราถ้าอยากให้นิยายติดท็อปต้องให้ความสำคัญกับอะไรบ้าง

  1. พล็อตน่าสนใจ
  2. เป็นแนวที่คนกำลังนิยม
  3. คำโปรยน่าสนใจ ปกสวย คนก็จะกดเข้าไปดูก่อนเป็นอันดับแรก
  4. อันนี้สำคัญ คือ ลงตอนนิยายอย่างสม่ำเสมอ

ข้าขอย้อนกลับมาเป็นสตรีที่ร้ายกาจ มีที่มาที่ไป คือจริงๆ เราชอบอ่านนิยายทุกแนวนะ แต่พักหลังได้อ่านนิยายแนวชนบทอยู่หลายเรื่อง (อ่านจบบ้างอ่านไม่จบบ้าง) อ่านไปอ่านมาก็คิดว่าถ้าเราเขียนแนวชนบทบ้างจะเป็นยังไงนะ  จึงได้คิดพล็อตขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนเลย  ไม่รู้นี่เรียกแรงบันดาลได้หรือไม่ แต่มีเรื่องที่เราอ่านจบและชอบด้วย เช่นเรื่อง งอกงาม, เหวินหลาง

เสน่ห์ของนิยายแนวนี้มันคือการดำเนินชีวิตของชาวบ้านธรรมดา (ซึ่งในความเป็นจริงมันมีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ในชีวิตจริงก็เป็นแบบนั้น)  การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ที่ไม่มีอะไรเลยจนค่อยๆพัฒนาให้ดีขึ้น และขุนเขาไร่นาที่บางคนอยากจะสัมผัสแต่ก็ไม่มีโอกาส มันอ่านแล้วรู้สึกเบาสบายไม่เครียด ผ่อนคลาย

การเขียนนิยาย ยากที่สุดคือเขียนยังไงให้นักอ่านอิน

จุดที่ยาก น่าจะเป็นการบรรยายความรู้สึกหรือท่าทางให้นักอ่านรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วยได้ อินกับเนื้อเรื่องหรือคิดตามและสามารถจินตนาการตามได้ ประมาณนี้ค่ะ 

สำหรับเรื่องล่าสุดนี้ ถ้าให้เทียบกับเรื่องอื่นๆ ที่เคยเขียน ส่วนตัวพี่คิดว่าง่ายกว่าเรื่องอื่นที่เคยเขียนนะคะ อาจจะเป็นเพราะ

  1. มีประสบการณ์มากขึ้น
  2. มันเป็นเรื่องที่เคยพบเห็นอยู่บ้างในชีวิตจริง
  3. คำพูดในการบรรยายเป็นแบบบ้านๆ สบายๆ และมันไม่ใช่เรื่องเหนือจิตนาการเหมือนเรื่องเกี่ยวกับเทพเซียนมันจึงง่ายกว่ามากเพราะไม่ต้องคิดหาชื่อนี่นั่นให้ลำบาก

สุดยอดเคล็ดลับ เขียนจากประสบการณ์ทำให้เขียนได้ง่ายขึ้น

เอาประสบการณ์จริงมาใส่ในนิยาย สารภาพเลยว่า มีค่ะ อย่างในเรื่องล่าสุด ข้าขอย้อนกลับมาเป็นสตรีที่ร้ายกาจ จริงๆ เราก็เป็นคนชนบทเหมือนกัน

  • เครื่องซุบซิบนินทาเห็นบ่อยมาก เลยเอามาปรับใช้ในนิยายเราด้วย
  • อย่างเรื่องหาของป่า เช่นเห็ด คนแถวบ้านเรา ถ้าเห็นใครไปหาเห็ดแล้วได้เยอะ วันต่อมาก็พากันแห่ไปหาเหมือนกัน แต่ไม่ได้ไปทั้งหมู่บ้านเหมือนในนิยายนะ อิอิ
  • เรื่องอาหาร เราก็เอามาจากชีวิตจริงของเราบ้าง เช่น หน่อไม้ขมๆ หน่อไม้ดอง พวกนี้ เราเอาจากชีวิตจริงที่ที่บ้านเราเคยทำ วิธีการที่บรรยายเราก็เอามาจากที่บ้านเราทำ
  • เรื่องทำนา ตอนเด็กเราก็มีประสบการณ์ ทั้งเกี่ยวข้าว นวดข้าว (แต่ตอนนี้ใช้รถเกี่ยวกันหมดแล้ว)
  • เรื่องการละเล่นตอนเด็กเราก็เอามาสอดแทรกด้วย อย่างหมากเก็บ ประมาณนี้

ซึ่งการเอาประสบการณ์ตรงมาเขียนในนิยายแบบนี้ มันก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เพราะประสบการณ์ตรงของเรา อาจจะเป็นประสบการณ์ของนักอ่านอีกหลายๆ คนด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้มันสมจริงมากขึ้น เราคิดว่าพอได้อ่านแล้วจะมีอารมณ์ประมาณว่า เออ จริงด้วย ประมาณนี้ อีกอย่างเวลานักอ่านบางคนได้อ่านก็จะคิดถึงเรื่องอดีตด้วย การเอาเรื่องจริงมาเสริมแต่งให้มันโอเวอร์ขึ้นมา ในความคิดเรามันก็จะทำให้สนุกขึ้นด้วยค่ะ 

สุดท้ายนี้...

อยากจะบอกว่าการเขียนนิยายไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่คำว่าคนอ่านชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น ทุกคนทุกเพศทุกวัยสามารถเขียนได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราควรเริ่มเลยต่างหาก ใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง หรือหลายชั่วโมงก็ได้ขอแค่ได้เริ่มต้นก็พอ  และอยากจะบอกอีกว่าการเขียนนิยายลงเด็กดีก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆด้วย แต่มันกลับเป็นประสบการณ์ของเราต่างหาก และดีไม่ดีก็อาจมีรายได้มากมายอีกด้วย เพราะฉะนั้นอยากจะฝากบอกว่าเริ่มเถอะค่ะ เอาจินตนาการของคุณออกมาโลดแล่นเป็นตัวอักษร สู้ๆ

และขอบคุณถึงนักอ่านที่ติดตามผลงานของไรท์มากๆ นะคะ มีนักอ่านไรท์ถึงได้มีกำลังใจเขียนนิยายออกมาจนจบเรื่อง มีนักอ่านไรท์ถึงได้รู้ถึงข้อชื่นชม ข้อติติง ข้อแนะนำ ซึ่งมันทำให้ไรท์สามารถเอาไปปรับปรุงในครั้งต่อๆ ไปได้  และผลงานเรื่องต่อไปไรท์จะพยายามเขียนออกมาให้สนุกที่สุดค่ะ

และนี่คือเรื่องราวของนักเขียนนามปากกา  taesuwanna หรือพี่แต แม่ค้าขนมหวานที่ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนที่เราเอามาฝากทุกคนในวันนี้ค่ะ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะคะ เห็นนิยายมีผลตอบรับดีๆ แบบนี้ความจริงแล้ว พี่แตก็ต้องผ่านความยากลำบากไม่น้อยมาเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคอมเมนต์ติต่างๆ นานา ที่พี่แตได้เล่าให้เราฟังว่าทำเอาพี่แตอ่านแล้วรู้สึกท้อใจไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่พี่แตบอกไว้ในบทสัมภาษณ์ค่ะ จะให้มีคนมาชอบนิยายอของเรา 100% ก็ไม่ใช่ อย่าเอาแต่จมกับความรู้สึกท้อแท้จนสร้างผลกระทบด้านลบให้กับผลงาน เพราะเรายังมีคนส่วนมากที่ยังชอบนิยายเราอยู่ ระหว่าง 10 คนที่ไม่ชอบ กับ 5,000 คนที่ชอบ เราควรก็เลือกคนส่วนมากดีกว่าดีกว่า แล้วมุ่งมั่นพัฒนางานเขียนของเราต่อไปเพื่อตัวเอง เพื่อนักอ่านที่รัก และเพื่อให้ว่าเราก็สามารถสร้างผลงานดีๆ ออกมาได้เช่นกันค่ะ

สำหรับน้องๆ คนไหนที่กำลังท้อแท้คิดมากกับผลตอบรับที่ไม่ดี เราก็ลองหยิบเอาประสบการณ์ตรงจากพี่แตมาเป็นกรณีศึกษาก็ได้ค่ะ เห็นพี่แตประสบความสำเร็จแบบนี้ ระหว่างทางพี่แตก็เคยต้องเจออุปสรรคมาไม่น้อยเหมือนกัน! ไม่ต่างไปจากสถานการณ์ที่หลายๆ คนกำลังเผชิญหน้าอยู่เลยค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นักเขียนทุกคนค่ะ

 

ติดตามผลงานของ taesuwanna ได้ที่นี่ 

พี่หญิง

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด