LuChen แชร์เคล็ดลับอยากเขียนนิยายหลายเรื่องพร้อมกันไม่งง ต้องเขียนฉีกแนว!

 LuChen แชร์เคล็ดลับ
อยากเขียนนิยายหลายเรื่องพร้อมกันไม่งง ต้องเขียนฉีกแนว!

เคยสงสัยกันไหมคะ เวลาที่นักเขียนบางคนเขียนนิยายหลายๆ เรื่องพร้อมกันเนี่ย เขาสับสนหรือจำเนื้อหาสลับกันบ้างไหม หากสับสนแล้วงี้นักเขียนใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหานี้กัน? วันนี้พี่หญิงก็เลยชวน LuChen นักเขียนเด็กดีที่แต่งและอัปนิยายให้อ่านถึงสองเรื่องพร้อมกัน แถมขยันอัปนิยายทุกวันมาแนะนำให้ทุกคนได้ทำความรู้จัก จนปัจจุบันนิยายสองเรื่องที่เขียนพร้อมกันอย่าง  เมฆาจอมขมังเวทย์ และ โรงหมอยุทธภพ ก็มีจำนวนตอนต่อเรื่องทะลุร้อยตอนไปเรียบร้อยแลัวค่ะ

ผมชื่อไทด์ครับ นามปากกามีชื่อว่า LuChen ครับ เป็นนักศึกษาของมหาลัยในภาคตะวันเฉียงเหนือครับ  ตอนนี้นอกจากเรียนออนไลน์แล้วก็มาเขียนนิยาย ผมเริ่มเขียนนิยายครั้งแรกตอนมิถุนายนปี 63 ครับ แต่มาเริ่มเขียนจริงจังก็เดือนมิถุนาปีนี้เองครับ

ตอนนี้ผมเรียนไปด้วยเขียนนิยายไปด้วยครับ ผมจะตื่นมาเขียนตั้งแต่ตี 5 ครับ และเขียนอีกทีตอนเย็น ถ้าวันไหนว่างก็เขียนเกือบทั้งวันครับ ส่วนเวลานอกนั้นก็เรียนกับพักผ่อนหาแรงบันดาลใจครับ

โดยเรื่องที่ผมเขียนตอนนี้มีทั้งหมด 3 เรื่อง โดยมีเรื่อง เมฆาจอมขมังเวทย์ ที่เป็นแนวแฟนตาซีลึกลับ ไสยศาสตร์ครับ  และเรื่อง โรงหมอยุทธภพ ที่เป็นแนวจีนกำลังภายในครับ และยังมีเรื่องแนวเป็นตาซีอีกเรืองที่ผมเขียนจบไปแล้ว มีชื่อเรื่องว่า  Create City System(ระบบสร้างเมือง)

สาเหตุที่เริ่มเขียนก็อ่านนิยายมาเยอะแล้วอยากจะลองเขียนดูครับ อีกอย่างเพราะหานิยายแนวที่ชอบไม่ค่อยเจอแล้วก็เลยลองแต่งแนวที่ตนเองชอบดูครับ

 

ตอนลงมือเขียนครั้งแรก… ตอนนั้นก็ยากครับ เพราะไม่ได้เขียนภาษาไทยอะไรยาวๆ แบบนี้มานานมากแล้ว อีกอย่างด้วยความที่เป็นเด็กภาคอีสานบางคำในภาษาอีสานก็แปลเป็นไทยไม่ออกครับ เลยไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนดี

ส่วนอุปสรรคที่เจอส่วนมากจะเป็นการเลือกใช้คำครับ เขียนๆ ไปอยู่ดีๆ คำที่คิดว่าเขียนถูกกลับเขียนผิด และยังมีเรื่องของคีย์บอร์ดที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเพราะตอนแรกผมพิมพ์ในไอแพด นอกจากคีย์บอร์ดที่ไม่ค่อยดีแล้วบางครั้งมันก็เลือกคำให้เองเลยครับ

เผลอใช้คำอีสานเหรอ? สำหรับผมไม่เคยครับ เพราะตอนที่ไม่รู้ความหมายก็เลยไปหา กูเกิ้ล หาอยู่นานกว่าจะได้แต่ละคำ บางคำก็ไม่มีเลยต้องอธิบายลักษณะไป อย่างคำว่าข้องนี่ผมไม่รู้เลยว่าภาษาไทยเรียกอะไร

เขียนนิยายจากสิ่งที่ชอบ

ผมเป็นคนชอบเกี่ยวกับกำลังภายในมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ แรงบันดาลใจก็เลยได้มาจากการดูหนังกำลังภายใน จากการอ่านนิยาย จากการอ่านการ์ตูนครับ ส่วนนิยายเเฟนตาซีแนวสร้างเมืองที่ผมเขียนก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกม จากนิยายและการ์ตูนเหมือนกันครับ

สุดท้ายเป็นเรื่องเมฆาจอมขมังเวทย์นี่เป็นเพราะความชอบตั้งแต่เด็กเช่นกันครับ แรงบันดาลใจที่ได้มาจากการดูซิทคอมเรื่อง เซนสื่อรักสื่อวิญญาณครับ และการได้ฟังเรื่องผี หรือเรื่องเล่าของคนแก่ในหมู่บ้านครับ

เขียนแบบไม่คาดหวัง แต่ผลตอบรับกลับดีเกินคาด

ผลตอบรับหลังเขียนครั้งแรก? ผมไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไงเลยครับ ที่ผมเขียนนิยายทั้ง 3 เรื่องเพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ เลยไม่คิดว่าจะมีคนตามอ่านขนาดนี้ครับ เพราะสำหรับนักเขียนหน้าใหม่อย่างผม ผมคิดว่าผลตอบรับของนิยายทั้ง 3 เรื่องของผมถือว่าดีมากๆ ครับ

ช่วงแรกๆ มีท้อบ้างครับเพราะเฝ้าดูตลอดว่ามีคนติดตามกี่คน แล้วพอเห็นว่าคนติดตามลดก็รู้สึกท้ออยู่นิดหน่อยครับ แต่ตอนนี้ไม่มีคำว่าท้อแล้วครับ ส่วนอุปสรรคที่เจอนั้น ส่วนมากน่าจะเป็นเพราะความขี้เกียจของตัวเองมากกว่าที่เป็นอุปสรรคครับ

เขียนนิยายแบบกึ่งด้นสด?

วางพล็อตไหมเหรอครับ? ก็กึ่งๆ ด้นสนครับ เพราะส่วนมากจะมีพล็อตวางไว้ในหัวแล้วครับ นอกนั้นก็เขียนตามที่คิดออกมาเลยครับ เรื่องจุดจบของเรื่องหรือตอนจบผมคิดไว้คร่าวๆ แล้วครับ แต่ก็ยังไม่ได้ลงลึกถึงขนาดนั้น เพียงแค่คิดว่าเนื้อเรื่องตอนจบมันจะไปแนวไหน ยังไงเพียงเท่านั้นครับ

เรื่องตันนี่เป็นบ่อยเลยครับ แต่พอเปิดเพลงบิ้วอารมณ์ หรือเดินเล่นรอบบ้าน หรือกลับไปอ่านที่เขียนมาใหม่ก็หายตันเองครับ แต่ส่วนมากผมจะฟังเพลงมากกว่าครับถึงจะหายตัน

ส่วนเรื่องออกทะเลไหม ก็ออกประจำครับตอนหัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก หรือตอนที่รู้สึกตันนั่นแหละครับ วิธีแก้ปัญหาก็กลับไปอ่านดูว่าเริ่มอออกทะเลตั้งแต่ตอนไหนครับ ก่อนที่จะหาทางผูกเรื่องให้กลับมาในทางเดิมอย่างที่ควรจะเป็น บางครั้งอาจจะใช้เวลา 2-3 ตอนกว่าจะผูกเรื่องกลับมาเหมือนเดิมได้ หรือบางครั้งอาจจะใช้หลายตอนกว่านั้น เพราะต้องพยายามปูแนวทางให้กลับมาทางเดิมครับ

เคล็ดลับเขียนหลายเรื่องพร้อมกันไม่สับสนคือ เขียนฉีกคนละแนว

เขียนหลายเรื่องพร้อมกันมีสับสนบ้างไหม พูดตรงๆ ก็มีบ้างครับ จำชื่อสับกันบ้าง พระเอกของเรื่องนี้ไปอยู่เรื่องนี้อะไรแบบนั้นครับ มีแบบนี้แค่บ้างครั้งที่เบลอมากๆ เท่านั้นครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีครับ

วิธีการแบ่งเวลาเขียนนิยายแต่ละเรื่อง ผมจะเขียนห่างกันครึ่งชั่วโมงครับ  อย่างเช่นผมเขียนเรื่องเมฆาจอมขมังเวทย์ก่อน เมื่อเขียนเสร็จผมก็ไม่แตะอะไรเลยเกี่ยวกับนิยายอยู่ครึ่งชั่วโมง โดยในครึ่งชั่วโมงนั้น 10 นาทีแรกจะพยายามเรื่องที่เขียนก่อนหน้าให้ได้ครับ อีก 10 นาทีต่อมาก็จะฟังเพลงบิ้วอารมณ์ให้เขียนเรื่องต่อไปได้ครับ และ 10 นาทีสุดท้ายจะเริ่มมาคิดถึงนิยายเรื่องที่จะเขียนต่อไปครับ

โดยถ้าผมเขียนนิยายเรื่อง เมฆาจอมขมังเวทย์ จบ ผมจะเขียนนิยายเรื่องโรงหมอยุทธภพเป็นเรื่องต่อไป ผมก็จะเลือกฟังเพลงจีนครับ แต่ถ้าผมเขียนเรื่องโรงหมอยุทพภพจบ แล้วต้องเขียนเรื่องเมฆาจอมขมังเวย์ผมก็จะฟังเพลงไทยที่มันให้อารมณ์แนวสยองขวัญนิดๆ ครับหรือไม่ก็นั่งฟังเรื่องผี

สาเหตุที่นิยายให้สองเรื่องไปคนละแนวเลย ผมกลัวว่าถ้าเขียนแนวเดียวกันไปเลย เนื้อเรื่องสองเรื่องมันคงผสมปนเปกันไปหมดครับ และผมคิดว่าคิดแยกกันมันจะง่ายกว่าเพราะไม่ต้องมาสับสนตัวละครด้วย ถ้าเป็นแบบไทยไปเลยทั้งคู่ เมฆาอ่านจะไปโผล่ในอีกเรื่องบ่อยๆ ก็เป็นได้ครับ

เมฆาจอมขมังเวทย์ นิยายที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ไทยๆ

อย่างที่บอกที่เขียนเรื่องนี้ก็เป็นเพราะความชอบตั้งแต่เด็กเช่นกันครับ แรงบันดาลใจที่ได้มาจากการดูซิทคอมเรื่อง และการได้ฟังเรื่องผี หรือเรื่องเล่าของคนแก่ในหมู่บ้านครับ แต่นอกจากนั้นก็มีหาเพิ่มเติมเรื่อยๆ ครับ เอาไว้อ้างอิงว่ามันมีมนต์หรือคาถาแบบไหนบ้างครับ หรือมีพิธีอะไรบ้างบางอย่างก็มาจากพิธีที่ผมเคยเห็นจริงๆ ครับ

อย่างตอนที่ 92-93  เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริงในหมู่บ้านของผมครับ เป็นฉากที่อยู่ในวัดและต้องไปเชิญร่างทรงของศาลหลักเมืองมาคุยกับคนที่ถูกสิงครับ ตอนเกิดเหตุผมน่าจะซักป.4 ป.5 ได้มั้งครับ คนที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นแม่ของผม และก็มีตายายลุงป้าอีกที่อยู่ และเป็นคนที่จับตัวคนที่ถูกสิงไว้ด้วยครับ

ผมรู้สึกว่ามันน่าค้นหาดีครับ เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับแบบนี้ มันอาจจะมีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ มันเป็นเรื่องของความเชื่อครับ ผมคิดว่านี่แหละคือเสน่ห์ของมัน

เปิดขายเพราะต้องการหารายได้ช่วยพ่อแม่!

อยากลองดูครับ ถ้าขายได้ก็ถือว่าเป็นการหารายได้พิเศษไปในตัว ยิ่งช่วงโควิดแบบนี้ พ่อแม่ผมก็ไม่ค่อยได้ทำงานด้วย นอกจากว่าจะมีคนมาจ้างไปต่อเติมบ้านถึงจะมีรายได้ เลยคิดอย่างจากหาทางช่วยอีกทางครับ

ผมเริ่มขายเรื่องแรกกลางๆ เดือนกรกฎาครับ ตอนเปิดขายก็ไม่ได้คิดอะไรเลยครับ แต่เวลาผ่านไปเมื่อเห็นว่ามีคนมาสนับสนุนก็แอบกังวลครับ ก็ประมาณว่า จะเขียนไม่จบ หรือตอนที่เปิดขายจะดีพอไหม คนที่ซื้อเขาจะรู้สึกเฟลไหมที่ซื้อไป ในบางครั้งเพราะเปิดขายก็กังวลจนรู้สึกเกลียดนิยายตัวเองไปเลยก็มีครับ แต่ช่วงหลังนี้ไม่ค่อยมีแล้วครับ

ผลตอบรับการขานตอนนี้ดีมากๆ เลยครับสำหรับทุกเรื่องที่ผมเขียน ต้องขอบคุณทุกๆ ท่านที่สนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่แบบผมมากจริงๆ ครับ ไม่คิดเลยว่าผลตอบรับจะดีขนาดนี้ คิดว่าคงน่าจะพอได้ค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็ดีมากแล้วครับ ไม่คิดเลยว่าทุกคนจะให้การสนับสนุนมากขนาดนี้ เรื่องเขียนนิยายขายพ่อแม่ผมก็รู้ครับ เพราะเงินที่ได้จากการขายผมก็เอาให้พ่อให้แม่ส่วนหนึ่งครับ

ตอนรู้ครั้งแรกท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรครับ มีแซวๆ บ้างมีคนซื้อด้วยเหรอ แต่ท่านก็สนับสนุนครับบอกว่าถ้าทำได้ก็ทำเอา เงินที่ได้มาก็ให้เก็บไว้บ้างเท่านั้นครับ

พ่อแม่ของผมสนับสนุนทุกอย่างที่หาเงินได้
 และเป็นการหาเงินมาอย่างสุจริตครับ

 

 

โอ้โห ตอนเห็นนิยายที่  LuChen เขียนครั้งแรกพี่หญิงก็สงสัยอยู่ในใจแล้วเชียวว่าทำไมแต่ละเรื่องถึงไปคนละแนวเลย เรื่องหนึ่งเป็นนิยายไทยแนวไสยศาสตร์ผีๆ ส่วนอีกเรื่องเป็นจีนยุทธภพ พอมาได้พูดคุยกันจริงจังแล้วถึงได้รู้ว่านอกจากจะเป็นแนวที่ชอบแล้ว การเขียนนิยายให้ฉีกแนว แตกต่างกันไปคนละทางแบบนี้มันยังช่วยให้เราไม่สับสนเวลาเขียนนิยายหลายเรื่องพร้อมกัน! ใครที่กำลังอยากเขียนนิยายหลายเรื่องแล้วกังวลกับปัญหานี้อยู่ ลองเอาไปปรับใช้กันได้นะคะ

 

สุดท้ายนี้ขอลากันไปก่อนเจอกันใหม่ครั้งหน้าสวัสดีค่ะ

ติดตามผลงานของ LuChen ได้ที่นี่

พี่หญิง

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด