Vsrin ขอแหวกกระแสเขียนไซไฟ-แฟนตาซี นิยายแนวที่ชอบจนสร้างรายได้เลี้ยงน้องแมวที่บ้าน!

Vsrin ขอแหวกกระแสเขียนไซไฟ-แฟนตาซี นิยายแนวที่ชอบจนสร้างรายได้เลี้ยงน้องแมวที่บ้าน!
 

 

สวัสดีค่ะ ชาวเด็กดีทุกคน สำหรับนักเขียนที่พามาให้ทุกคนรู้จักในวันนี้ บอกได้เลยว่าเป็นคนที่สู้ชีวิตมากๆ คนนึงเลยค่ะ ‘Vsrin’ ฝันที่จะเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็ก แล้วก็ได้เริ่มต้นฝึกทักษะการเขียนของตัวเองเรื่อยมา แต่น่าเสียดายที่ชีวิตเขาต้องพลิกผันในช่วงมัธยมต้น Vsrin อุปสรรคในชีวิตทำให้เขาต้องหยุดเขียนนิยายไป ซ้ำในช่วงมัธยมปลาย เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคซึมเศร้าที่เข้ามาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว กว่าที่จะได้กลับมาจับปากกาเขียนนิยายอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยถึงช่วงเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย!

และเมื่อกลับมาเขียนอีกครั้งงานเขียนของเขาก็ไม่ได้รับผลตอบรับอย่างที่คาดหวัง เพราะนิยายแนวที่ไซไฟ-แฟนตาซี ไม่ได้เป็นนิยายในกระแสที่มีนักอ่านให้ความสนใจเป็นจำนวนมากอีกต่อไป 

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ‘Vsrin’ ก็ไม่ได้ยอมแพ้ และทิ้งการเขียนนิยายไป เขายังมุ่งมั่นเดินในเส้นทางสายไซไฟ-แฟนตาซี ต่อไปด้วยความรัก จนในที่สุดความพยายามของเขาก็เห็นผล เริ่มมีนักอ่านเข้ามาติดตามนิยายเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้มากมายเมื่อเทียบกับนิยายดังๆ แต่เมื่อเขาลองเปิดขายดู ยอดการซื้อที่เข้ามาก็ทำให้เขามีรายได้มาซื้ออาหารเลี้ยงเจ้านาย (น้องแมว) ได้แบบสบายๆ เลยค่ะ  ‘Vsrin’ ก็ถือว่านี่แหละคือสัญญาณที่ดีมากๆ ในการเริ่มต้นชีวิตในเส้นทางนักเขียน และที่น่าสนใจมากๆ คือ ‘Vsrin’ เล่าให้เราฟังเพิ่มเติมว่า ปกนิยายที่ใช้อยู่ตอนนี้ เขาไม่ได้จ้างนักวาดแต่เป็นฝีมือ AI ที่กำลังถูกพูดถึงอยู่มากๆ ในตอนนี้ 

วันนี้เราจึง ‘Vsrin’ มาแชร์ประสบการณ์ในการเขียนนิยายของเขากัน กว่าจะมาถึงวันนี้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง แล้วโปรแกรม AI ที่เข้าว่ากันว่าสามารถช่วยวาดปกได้เนี่ย มันดีจริงไหม และต้องทำอย่างไรถึงได้ปกออกมาสวยตรงใจต้องการ มาฟังกันเต็มๆ ในบทสัมภาษณ์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

สวัสดีชาวเด็กดีครับ ผมมีชื่อเล่นจริงๆว่า ‘ไนซ์’ แต่ส่วนใหญ่คนรู้จักที่ไม่ใช่ครอบครัวจะเรียกชื่อว่า ‘วี ( V )’ ครับ ซึ่งมีนามปากกาที่ใช้คือ ‘Vsrin’  เป็นนักเขียนของนิยายสองเรื่องหลักๆครับ เรื่องแรกคือ O S I O N กุญแจฉีกมิติ ที่เป็นแนวไซไฟ-อวกาศ-แฟนตาซี, กับ ICARUS เกมท้าพระเจ้า ที่เป็นแนว แฟนตาซี-ต่างโลก ครับผม 

Vsrin นามปากกาที่ใช้ จริงๆแล้วที่มาคือเป็นชื่อย่อจากภาษาที่ผมคิดขึ้นเองสำหรับจักรวาลนิยายที่แต่งครับ นั้นคือ ‘วาร์’เซริณ (Var’Sérin)’ ซึ่ง วาร์ หมายถึง ‘ผู้ให้, ผู้มอบ’ ส่วน ‘เซริณ/แซริณ’ จะหมายถึง ‘ความฝัน’ โดยรวมแล้วก็จะประมาณว่าคือ ‘ผู้ส่งมอบความฝัน’ ครับผม ส่วนที่ว่าทำไมถึงย่อ ก็เพราะรู้สึกว่า V(srin) จะเป็นการบ่งบอกถึงชื่อเล่นของนักเขียนด้วยครับ (แต่อีกเหตุผลก็เพราะว่ามันเขียนสั้นๆแล้วดูสวยดี 555)

จุดเริ่มต้นของการเขียนนิยาย หลักๆ เลยคือเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ครับ ตอนประถมจำได้เลยว่าเลิกเรียนทีไรต้องเข้าห้องสมุดตลอด คว้าหนังสือให้ได้สักเล่ม จากนั้นก็วิ่งไปหาที่เงียบๆ อ่าน ห่างจากผู้คน และโลดแล่นไปในจินตนาการของตัวเอง 

ส่วนใหญ่หนังสือที่อ่านไม่ได้จำกัดว่าเป็นนิยายครับ แต่คือทุกอย่าง ทุกสิ่งที่สนใจและอยากรู้ ซึ่งสมัยนั้นจะติดหนังสือวิทยาศาสตร์พอสมควร แต่ถ้าเป็นนิยายเรื่องแรกที่อ่าน กลับเป็นแนวแฟนตาซีครับ ซึ่งก็คือ ‘หัวขโมยแห่งบารามอส’ ของคุณ Rabbit สมัยนั้นติดงอมแงมมาก จนรู้สึกว่าอยากเขียนนิยายเป็นของตัวเองสักเล่มครับ สมัยเด็กๆ ตอนนั้นเลยเริ่มจากการเขียนในกระดาษ พอว่างๆ เวลาพ่อแม่ไม่อยู่ก็มีฉกโน้ตบุ๊คมาลองเขียนบ้างครับ

แต่ทว่า... ก็เจออุปสรรคครับ นั้นคือหลังจากขึ้นมัธยมต้น ตอนนั้นคือช่วงหนึ่งในชีวิตที่เปลี่ยนผมเป็นคนล่ะคน จากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นช่วงชีวิตที่มืดมนที่สุด ไม่ได้อยู่กับครอบครัว และต้องอยู่ในสังคมที่... ใช้คำว่าแย่ก็ยังน้อยไป ซึ่งจะพูดว่าผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็น Victim ต่อความรุนแรงในสังคมก็ไม่ผิดครับ และมันส่งผลกระทบต่อชีวิตยาวจนมาถึงทุกวันนี้ครับ

จากนั้นก็ไม่ได้เขียนยาวอีกเลย พอออกจากตรงนั้นได้ ตอนขึ้นมัธยมปลายก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าเรื่อรัง เคยพยายามฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง พบจิตแพทย์อยู่บ้าง แล้วก็ได้คนที่บ้านช่วยเหลือจนผ่านมาได้ถึงทุกวันนี้ครับ จนกระทั่งพอขึ้นมหาวิทยาลัย เป็นอีกช่วงหนึ่งที่ได้พบอะไรที่เปลี่ยนมุมมองในชีวิตเหมือนกัน

แต่ไม่ใช่เรื่องเรียนนะ แต่เป็นคนรอบตัว นั้นคือเพื่อน และอาจารย์ที่ผมให้ความเคารพคนหนึ่งครับ พวกเขาเป็นคนที่มีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในชีวิต ดวงตาของพวกเขาจะเป็นประกายทุกครั้งเวลาเล่าความฝันในอนาคตของตัวเองให้ผมฟัง เล่าให้ฟังว่าหลังเรียนจบ หรือหลังเก็บเงินจากการทำงานได้มากพอแล้ว พวกเขาจะทำอะไร วางแผนไว้ว่ายังไง แล้วมันจะยิ่งใหญ่แค่ไหนเมื่อมันประสบความสำเร็จ

แต่พวกเขาทั้งสอง... เสียชีวิตไปแล้วครับ...

คนหนึ่งจากไปเพราะอุบัติเหตุ อีกคนจากไปเพราะโรคส่วนตัว... 

แม้จะมีความฝัน มีสิ่งที่อยากทำ แต่ทั้งคู่ก็จากไปก่อนจะได้เริ่มต้นลงมือทำอะไรด้วยซ้ำ... และมันไม่ใช่แค่พวกเขาสองคน ในช่วงชีวิตสั้นๆของผม ผมรู้สึกว่าตนเองเห็นคนใกล้ตัวจากไปก่อนจะได้ทำตามความฝันของตัวเองหลายคนมากครับ...

...และมันเริ่มทำให้ผมมองย้อนกลับมาดูตัวเอง...

ผมอยากทำอะไร?

สิ่งที่ผมทำอยู่ตอนนี้... คือสิ่งที่ผมต้องการอยู่แล้วจริงๆเหรอ?

แล้ว... ความฝันของผม... คืออะไร...?

ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น มันทำให้ผมรู้สึกตัวว่าตอนนี้ตัวเองแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ เรียนให้จบ เข้ามหาลัย จากนั้นก็คงทำงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบ เพื่อที่จะหาเงินมาเลี้ยงชีพต่ออายุตัวเอง แล้วก็ไปทำงานที่ไม่ชอบต่อ วนเวียนไปทั้งแบบนั้น... คงสักสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี... 

และเพราะคิดได้แบบนั้น... มันก็เลยทำให้ผมหวนย้อนคิดถึงความหลัง ย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่ตัวเองยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ช่วงเวลาที่วันๆ แค่หยิบหนังสือมาอ่าน แล้วก็ลองลงมือเขียนด้วยมือตัวเองอย่างไร้เดียงสา..

คนเราชอบคิดว่าความตายคงยังไม่มาถึงตัวเองเร็วๆ นี้หรอก และใช้ชีวิตเหมือนกับว่าตัวเองมีอายุขัยชั่วนิรันดร์ และเพราะแบบนั้นถึงได้พลาดสิ่งสำคัญไป... แต่เพราะผมได้เห็นคนใกล้ตัวจากไปหลายคน เลยได้ตระหนักว่า แสงเทียนเล็กๆอันบอบบางที่เรียกว่าชีวิตนี้ สักวันหนึ่งก็ต้องดับมอดไปเช่นกัน 

‘เราทุกคนกำลังจะตาย ไม่ช้าก็เร็ว... และสำหรับใครบางคน... มันอาจมาถึงเร็วกว่าคนอื่น’

‘แต่ก่อนวันนั้นจะมาถึง... ฉันอยากจะทำอะไร?’

และเพราะแบบนั้น ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับมาเขียนนิยายอีกครั้ง คือเมื่อ 1 ปีก่อนครับ ตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ปีสุดท้ายของมหาลัย งานเยอะจนแทบไม่ได้นอนตามสไตล์เด็กปีสุดท้าย แต่ก็ตัดสินใจว่าไม่สนใจแล้ว เพราะถ้าไม่เขียนตอนนี้ ก็คงพลัดวันไปเรื่อยๆ และคงไม่ได้เขียนอะไรอีกเลยในอนาคต

‘...ไม่รู้ว่าเปลวเทียนชีวิตอันบอบบางนี้จู่ๆจะดับไปตอนไหน... แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น อย่างน้อยก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักก่อนจะจากไป...’

และนั้นแหละครับ คือจุดเริ่มต้นของการมาเป็นนักเขียนของผมครับ ซึ่งจะพูดว่ามันคือความชอบและความฝันมาตั้งแต่สมัยเด็กก็ไม่ผิดนักครับ

นิยายไซไฟ-แฟนตาซี นิยายที่ไม่ถนัดแต่ชอบ!!

หลักๆ แล้วเกิดจากความชอบครับ ชอบไซไฟเพราะความลี้ลับของสิ่งที่ไม่รู้ และชอบแฟนตาซีเพราะสิ่งลี้ลับของสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้... จะพูดว่าชอบทั้งสองอย่างนี้เพราะเหตุผลที่คล้ายคลึงกันก็ไม่ผิดครับ 

แต่ ...ถ้าถามว่าถนัดไหม?... ขอส่ายหน้าแรงๆ แล้วตอบเน้นเสียงเลยครับว่าไม่ 

แม้จะเป็นแนวหลัก และเขียนมามากกว่าร้อยตอนยาว แต่ผมรู้สึกว่าเส้นทางในการเขียนนวนิยายแนวนี้ของผมมันพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น และคงมีอีกหลายสิ่งให้เรียนรู้ และพัฒนาความสามารถในการเขียนนวนิยายสองแนวนี้ต่อไปในอนาคตครับ

 O S I O N กุญแจฉีกมิติ กับการเริ่มต้นเขียนจริงจังครั้งแรก

O S I O N กุญแจฉีกมิติ ถ้าไม่นับนิยายสั้นเรื่องแรกที่เขียนตอน ป.6 ที่มีอยู่แค่สิบหน้ากระดาษ... ใช่ครับ กุญแจฉีกมิติเป็นนิยายเรื่องแรกในรอบสิบปีที่ตัดสินใจลงมือเขียนและเผยแพร่ครับ 

และถ้าถามว่ายากไหมกับการเริ่มต้น?

ยากครับ ยากมาก... ไม่เคยคิดเลยว่าการเขียนนิยายจะเป็นอะไรที่ยากขนาดนี้ มันเหมือนกับการพยายามวาดโลกทั้งใบออกมาด้วยตัวอักษร ที่ต้องใช้ความพยายามสูงพอสมควร และหลายครั้งพอเขียนออกมาก็ปรากฏว่ามันไม่ได้เป็นไปตามที่คิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว

แต่... พอเขียนมากๆ เขียนไปเรื่อยๆ เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่ยากก็เริ่มง่าย และพอเริ่มพัฒนาการเขียนและสำนวนเป็นของตัวเองได้แล้ว การเขียนมันก็เริ่มชำนาญขึ้น สามารถต่อจากฉากหนึ่งไปยังอีกฉากหนึ่งได้ลื่นไหลราวกับเล่นสกี 

แต่แน่นอน บางครั้งมันก็มีล้มบ้าง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีให้เราได้เรียนรู้และลองใหม่

 O S I O N กุญแจฉีกมิติ จุดเริ่มต้นในการเขียนนิยายเรื่องนี้ ผมคิดว่าไม่ต่างกับนักเขียนท่านอื่นๆครับ คือเกิดจากการอ่านหนังสือ ดูหนังหรือสื่ออะไรสักอย่าง แล้วเกิดไอเดียและแรงบันดาลใจในการเขียนขึ้นมาครับ

ซึ่งอีกหนึ่งในเหตุผลเลยที่ผมตัดสินใจเขียนนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเรื่องแรก คือตอนนั้นติดนวนิยายแนวไซไฟอวกาศของต่างประเทศหลายเรื่องครับ แล้วเกิดรู้สึกอยากลองหาอ่านของนักเขียนไทยดูบ้าง 

แต่ปรากฏว่า... แทบไม่มีใครเขียนแนวนี้เลย... หรือต่อให้มี ก็น้อยมากๆ และส่วนมากคือดรอปเรื่องแล้วเลิกเขียนไปนานแล้ว ทั้งที่อ่านแล้วเนื้อหาดีมากๆ...

แล้วด้วยความที่นวนิยายแนวนี้ค่อนข้างมีน้อยมาก หายาก บวกกับความรู้สึกในตอนนั้นที่อยากจะเขียนนิยายสักเล่มอยู่แล้ว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่า ‘อ่ะ! ถ้ามันไม่มีให้อ่าน งั้นก็เขียนขึ้นมาเองเลยแล้วกัน!’ แล้วจากนั้นก็ลงมือวางพล็อตและเลือกเรื่องราวที่อยากเขียนออกมาครับ

แต่ทว่า... พอลองหาเวลามานั่งศึกษาตลาดนิยายของไทยเราดีๆ แล้ว ก็ค้นพบว่านวนิยายแนวไซไฟในไทย ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเสียเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตลาดนิยายต่างประเทศ 

ตอนที่ตัดสินใจจะเขียนนิยายขึ้นมา ยอมรับว่าคิดหนักอยู่เหมือนกันครับ เพราะคำนึงเรื่องกระแสแล้ว มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นิยายเรื่องนี้จะมีโอกาสผุดออกมาสู่สปอร์ตไลท์กับเขาบ้าง ในระหว่างอีกทางหนึ่ง ถ้าเกิดเปลี่ยนเป็นแนวที่ตามกระแส อย่าเช่นแนวระบบ จีนโบราณ หรือต่างโลก ก็ดูน่าจะมีโอกาสที่จะเตะตานักอ่านมากกว่าเยอะ

แต่สุดท้ายก็เลือก O S I O N กุญแจฉีกมิติ ที่เป็นแนวไซไฟอวกาศ แทนที่จะเขียนแนวตามกระแสครับ ตอนแรกก็คิดเหมือนกันว่าลองควบไปเลยไหม? ไซไฟอวกาศด้วย แล้วก็ใส่ระบบด้วย? แต่เขียนไปเขียนมา ก็รู้สึกไม่ใช่ตัวเองครับ เขียนไม่สนุก มันไม่ได้กลิ่นอายของนิยายในแบบที่อยากให้มี สุดท้ายก็ปัดตกไป และลองปรับให้มันเป็นแนวกึ่งไซไฟ-แฟนตาซีแทน ไม่ให้มัน Hard Sci-fi เกินไป เพราะเผื่อว่าจะสามารถดึงนักอ่านสายแฟนตาซีเข้ามาได้บ้าง

แล้วถ้าถามว่าทำไมถึงเลือกเขียนเรื่องนี้ แทนที่จะเป็นแนวตามกระแส? 

ผม แค่คิดว่านิยายตามกระแสมันมีมากมายนับไม่ถ้วนอยู่แล้ว และก็เกิดขึ้นมาใหม่แทบจะทุกนาทีในคลังนิยาย แน่นอนว่าถ้าต้องการยอดวิว ประสบความสำเร็จ หรือทำยอดขายในตลาดได้ การเขียนนิยายตามกระแสดูจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด... แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการครับ

ผมอยากเป็นหนึ่งในคนที่เริ่มต้น ก้าวออกมาจากสายธารที่เรียกว่านิยายตามกระแส และอยากจะสร้างคลื่นลูกใหม่เล็กๆของฝั่งนิยายไซไฟบ้าง และผมหวังว่า เจ้าคลื่นเล็กๆที่ผมสร้างขึ้นผ่านนิยายเรื่องนี้เนี้ย มันจะไปกระทบกับคนที่สนใจ กับนักอ่านที่สนุกไปกับเรื่องราว และเกิดแรงบัลดาลใจที่จะเขียนหรือผลักดันนิยายฝั่งนี้ให้ขึ้นมามีกระแสเป็นของตนเองบ้างครับ

มันไม่เชิงว่าผมอยากเป็นผู้นำกระแสหรอกนะ ผมไม่กล้าหวังสูงขนาดนั้น... แต่ผมหวังเพียงแค่ว่าเจ้าคลื่นเล็กๆที่แทบจะมองไม่เห็นเนี้ย จะทำให้เกิดคนที่สนใจนิยายแนวนี้มีมากขึ้น และพอมีนักอ่านมากขึ้น ก็จะก่อให้เกิดนิยายเรื่องใหม่ในแนวเดียวกันมากขึ้นอีก หรือกระตุ้นเรื่องที่มีอยู่แล้วแต่ถูกกลบลงไปเพราะกระแสของนิยายในปัจจุบัน ให้กลับขึ้นมาผงาดขึ้นได้อีกครั้งครับ

แต่... ก็นั้นแหละครับ เพราะตัดสินใจไปแบบนั้น 

ทุกคนก็คงจะพอเดากันได้ว่าผลตอบรับออกมาเป็นยังไง

กริบ... กริบเลยครับ... เงียบกริบ เงียบในระดับที่ป่าช้ายังยอมมอบรางวัลที่หนึ่งให้

ผมจำได้เลยว่าตอนแรกๆ ขนาดลงถี่ๆ อย่างต่ำก็สองวันตอน อย่างเร็วก็วันล่ะตอน แถมเป็นตอนยาว แต่ปรากฏว่าคนอ่านนั้นมีน้อยจนน้ำตาแทบไหล ยอดวิวไม่แตะแม้กระทั้งเลขสามหลัก ยอมรับครับว่าตอนนั้นมีแอบท้อแท้ใจมาก ครุ่นคิดอยู่เหมือนกันว่าจะไปรอดไหม? หรือจะหยุดแค่นี้ดี?

คือ...ก็คิดนะครับว่าคนอ่านแนวนี้คงน้อยมาก... แต่ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะน้อยยยยยยย(เสียงลากยาวเป็นกิโล)มากขนาดนี้ แต่ทว่า... แม้จะน้อยจนแทบอยากปิดเรื่องแล้วกระโดดขึ้นเตียงไปซุกหมอนนอนร้องไห้ แต่เพราะในจำนวนคนอ่านที่น้อยนิดนั้น... 

‘บรรยายดีมากเลยครับ’

‘สนุกมากเลยครับ’

‘รอตอนต่อไปนะครับ’

‘….’

คอมเมนต์จากนักอ่านที่ชื่นชอบนิยาย คอมเมนต์เล็กๆ น้อยๆ ที่นักอ่านไม่กี่คนเหล่านั้นทิ้งเอาไว้ให้... แค่นั้นล่ะครับ คือแรงผลักดันที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มาได้ไกลขนาดนี้ แค่ไม่กี่คอมเม้นในวันนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่าแม้นิยายแนวที่เราเขียนจะไม่ได้ตามกระแส ไม่ใช่แนวสำหรับทุกคนอ่าน... แต่ก็ยังมีคนที่ชื่นชมและสนุกสนานไปกับเรื่องราวของเราอยู่
 

ผมจำได้เลยว่าวันนั้นตื้นตันใจมาก และตัดสินใจว่าจะไปต่อให้สุดแม้นักอ่านจะมีน้อยนิด ยอมรับครับว่ามีวันที่เหนื่อย ท้อแท้ใจและมีหยุดไปบ้าง แต่พอหยุดไปได้หลายเดือน จู่ๆช่วงหนึ่ง จากที่มีคนอ่านแค่ไม่กี่ร้อย จู่ๆก็เกิดพุ่งพรวดเป็นหลายพันในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งทำเอาผมตกใจมาก แล้วจากนั้นผมก็ได้นักอ่านขาประจำหลายคนเลยครับ เป็นนักอ่านที่คอยเม้นให้แทบจะตลอด ยอดวิวเองแม้จะลดลงหลังผ่านไปสักพัก แต่ก็ได้นักอ่านขาประจำที่แวะเวียนมาให้กำลังใจเสมอ 

ผมก็เลยตัดสินใจครับ ว่าจะไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้เด็ดขาด และไม่ว่าคนอ่านจะน้อยเพียงไหน ตราบใดที่ยังมีคนรักและสนับสนุนเรื่องราวของเราอยู่ ผมก็จะเป็นดั่งชาวสวน ที่จะคอยรดน้ำให้เจ้าต้นไม้ที่เติบโตช้าต้นนี้เป็นประจำและไม่ทิ้งไปไหน และหวังว่าสักวันมันจะเติบใหญ่ สามารถยืนหยัดอย่างภาคภูมิท่ามกลางกระแสของนิยายที่เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา หรือไม่ก็สร้างคลื่นลูกใหม่ให้กับนิยายแนวเดียวกันที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ครับ

ทำปกเองด้วย AI ทางเลือกใหม่ของนักเขียน

ในส่วนของภาพหน้าปกที่ใช้สำหรับเรื่อง O S I O N คือเป็นภาพที่ได้จากเอไอที่ชื่อ MidJourney ครับ เหตุที่รู้จักกับเอไอตัวนี้ หลักๆ เลยคือมาจากเพื่อนนักวาดคนหนึ่งครับ ที่จู่ๆ วันหนึ่งก็ทักเข้ามาแบบงงๆ แล้วพูดประมาณว่า...

‘เห้ย... ฉันมีอะไรมานำเสนอ...’ ขยับเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหู “…ใช้สกิลนักเขียน กับภาษาอังกฤษของแกทำภาพเองซะ…เพราะฉันขี้เกียจวาดให้แกแล้ว!" 

จากนั้นก็ยัดวีดีโอแนะนำเกี่ยวกับ AI MidJourney ตัวนี้ขึ้นมา ผมเองก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี แล้วด้วยความที่ต้องการปกรูปอยู่แล้ว สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าลองดูสักหน่อยแล้วกัน...

แต่พอรู้ตัวอีกที... ก็ทำภาพมันไปซะสนุกมือจนเสียเงินไปเป็นพันแล้ว! (ฮา)

ปกจาก AI ข้อ ดีคือภาพสวยมาก ข้อเสีย คือไม่สามารถแก้งานได้!

ถ้าถามว่าเอไอตัวนี้ทำปกนิยายได้ดีไหม? ขอตอบว่าเอไอตัวนี้ทำภาพอาร์ตออกมาได้ดีมากครับ ดีมากๆ คุณภาพภาพเองก็สูงมากด้วย 

ส่วนใช้งานยากไหม...ไม่ยากครับ... แต่ชวนหงุดหงิดมากกว่า... 

ถ้าเอไอเป็นคน ผมคงรู้สึกอยากเตะตัดขา กระทืบซ้ำ ยิงด้วยลูกซอง โยนลงคลอง แล้วก็ขว้างระเบิดลงไปซ้ำอีกรอบครับ (เกิ๊นน 555)

ด้วยความที่เป็น AI ครับ มันเลยมีข้อจำกัดหลายอย่างที่ต่างกับการจ้างคนจริงๆ หนึ่งในนั้นคือ ‘ไม่สามารถแก้งานได้’ ครับ  บางครั้งพอเรา Generate ได้ภาพที่ต้องการ แต่มันดันมีปัญหาเล็กๆอย่าง ‘ตาเบี้ยว’ ‘สัดส่วนไม่ถูกต้อง’ ‘จมูกชี้ฟ้า’ ‘แขนขาไม่สมมาตรกัน’ หรือปัญหาอื่นๆ อีกมาก ซึ่งต่างกับคนวาดจริงๆ เราไม่มีทางบอกเอไอได้เลยว่าให้แก้ตรงไหน เพราะถ้าให้มันแก้ มันจะทำใหม่ทั้งหมดทุกอย่างจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม อย่างกับว่าจะบอกเราว่า ‘ฉันไม่แก้ให้หรอกนะ! จะเอาไม่เอาล่ะ? ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องเอา! ฉันจะไปทำภาพใหม่แล้วนะ!’

ซึ่งสุดท้ายก็ต้องเอาภาพไปแก้เองตามโปรแกรมที่ถนัดครับ ...แล้วถ้าคนที่ไม่ถนัดโปรแกรมพวก Photoshop หรือ AI… ก็อาจจะเป็นงานที่ชวนปวดหัวมากครับ 

แต่ถ้าไม่ใช่ภาพคน แต่เป็นภาพฉาก ส่วนตัวคิดว่าโปรแกรมทำออกมาได้ดีมากครับถ้าเรารู้ว่าจะใส่คำศัพท์อะไรลงไปในช่อง Prompt (เรียกว่าช่องบรีพงานกับเอไอก็ได้) 

แต่สุดท้าย... ถึงแม้จะทำออกมาได้คุณภาพสูง(มาก) แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ผมคิดว่า AI ยังเทียบกับคนจริงๆ ไม่ได้ เพราะนักวาดเก่งๆ สามารถวาดงานออกมาได้ตรงกับที่เราต้องการมากกว่า AI ครับ แต่ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่าย งานวาดที่ได้จากเอไอก็ถือว่าคุ้มค่ามากอยู่ดีครับ

ของผมกว่าจะได้ปกที่ตรงใจ ยากครับ ยากมาก ต้องใช้เวลาเรียนรู้การใช้ prompt หรือคำศัพท์เพื่อบอกเอไออยู่นานเลยทีเดียวกว่าจะได้ภาพแนวที่ต้องการ อย่างภาพที่ได้มา ต้องทำ Prompt เป็นร้อยภาพเลยครับกว่าจะได้ที่ถูกใจ โดยรวมแล้ว หากอยากใช้งานเอไอเพื่อจะให้ได้ภาพที่ต้องการ แนะนำว่าควรศึกษาเรื่อง Prompt Mechanic ดูก่อนครับ เพราะมีลายละเอียดค่อนข้างเยอะมาก

เปิดขายครั้งแรกเพราะอยากลองดู คิดว่าไม่มีคนซื้อ 
แต่ก็มีคนยอมจ่ายเงินซื้อนิยายของเรา

ตอนที่เริ่มเปิดขายนิยายครั้งแรก ตอนนั้นคิดว่าอยากจะลองดูครับ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเส้นทางที่ดีที่จะหารายได้เสริม 

ก่อนที่จะเปิดขายนิยาย ตอนนั้นคิดว่าจะใช้วิธีคิดแบบอ่านตอนล่วงหน้าครับ เพราะอยากให้สายนักอ่านฟรีได้ติดตามเรื่องราวไปถึงตอนจบด้วย แล้วก็ได้บอกนักอ่านก่อนล่วงหน้าที่ราวๆ 5 -10 ตอนก่อนจะเก็บเหรียญ ซึ่งนักอ่านก็โอเคครับ พอเริ่มคิดแล้ว แน่นอนว่ายอดวิวก็หายไปบ้าง หายไปเยอะพอสมควร แต่โดยรวมแล้วนักอ่านขาประจำเขาก็ยังติดตามมาตลอดครับ

ถ้าถามว่าตอนเปิดขายนิยาย คิดไหมว่าจะมีคนซื้อรึเปล่า?

ไม่ครับ ไม่เลยสักนิด (55555) เพราะคิดว่าคนติดตามของเรายังไม่ได้เยอะขนาดนั้น แถมยังเป็นนิยายที่ไม่ได้ตามกระแส ไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นที่คนจะมาตามซื้อตอนอ่านล่วงหน้ามากมายนัก

ในตอนที่เปิดขายครั้งแรกเองก็มองยอดซื้ออยู่เหมือนกันครับ ก็มีคนซื้อไม่กี่คนเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เสียใจครับ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น แต่ก็พยายายามลงตามเป้าให้ได้อยู่ดี พอลงเสร็จก็ปิดคอม ทิ้งตัวนอนแล้วหลับ...

แต่ปรากฏว่า... พอผ่านไปสองสามวัน ก็พบว่ามียอดคนซื้อเพิ่มขึ้นพรวดๆจนตกใจ แล้วก็เลยทำให้ได้รู้ว่า ‘เอ้า! เจอนักอ่านดองไว้แล้วค่อยซื้อทีเดียวนี้หว่า!’ (5555)

แล้วก็เป็นตามนั้นครับ กลายเป็นว่านักอ่านซื้อมากกว่าที่คิด ถึงแม้จะไม่ได้เยอะมากเหมือนนิยายดังๆ แต่ก็มากพอที่จะซื้ออาหารให้น้องแมวห้าตัวที่บ้านได้โดยไม่มีปัญหาเลยล่ะ (เมี้ยวว!)

พอยิ่งมีรายได้เสริมตรงนี้ แม้จะไม่มากไม่มาย แต่ก็ทำให้งานเขียนที่ทำดูมีคุณค่าขึ้นมากครับ แล้วด้วยความที่ติดเหรียญแล้ว บางทีเวลาหยุดไปนานๆนี้รู้สึกผิดต่อนักอ่านมากเลยครับ มันเลยกลายเป็นแรงจูงใจทางอ้อมที่เตะ (และลาก) เราให้กลับมาเขียนอีกครั้งครับ เพราะเหมือนยังติดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ต่อนักอ่านอยู่ครับ (ฮา)

Vsrin ถึงชาวเด็กดี

ปกติแล้ว ผมเชื่อว่านัก(อยาก)เขียนหลายคนก็เป็นเหมือนผมแรกๆ ครับ คือในครั้งแรกที่คิดจะเริ่มเขียนนิยาย มันจะมีความกังขา มีความกังวลมาก ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มดีไหม กลัวว่าทำไปแล้วมันจะออกมาดีรึเปล่า? มันจะออกมาแย่ไหม? แล้วสุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มสักที...แต่ไม่ต้องห่วงครับ สำหรับทุกคนที่อยากเริ่มต้นเขียนนิยายเป็นครั้งแรก ผมอยากบอกว่า...

“...เขียนเลยครับ แล้วไม่ต้องกลัวหรอกครับว่ามันจะแย่... เพราะยังไงมันก็แย่อยู่ดี... ผมการันตีเลย...” (เอ้า!?) 

ด-เดี๋ยวก่อน! ใจเย็นครับ! ผมไม่ได้มีจุดประสงค์จะบั้นทอนจิตใจหรืออย่างใดครับ ฟังผมก่อนนนน (กราบ) ปกติแล้วนักเขียนหลายคนจะเป็นเหมือนกันครับ คือมีความพยายามที่จะทำให้งานเขียนออกมาเพอร์เฟคและสมบูรณ์แบบตั้งแต่ลงมือเขียนครั้งแรก

ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ครับ 

หากเราเขียนครั้งแรก แต่ไม่เคยฝึกมาก่อน ยังไม่มีสำนวนเป็นของตัวเอง ...มันเป็นไปได้สูงมากครับว่าดราฟแรกที่เขียนออกมามันจะเละตุ้มเป๊ะ 

อย่างกรณีของผมเอง แม้จะอ่านนิยายมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ดราฟแรกที่ผมลงมือเขียน... บอกได้เลยว่ามันไม่ใช่แค่แย่ครับ แต่หนักยิ่งกว่าห่วยแตก ถึงขนาดอ่านเองยังแขยง อยากจะเผาทิ้ง ราดด้วยน้ำกรด เหยียบซ้ำ ยิงกระหน่ำด้วยลูกซอง จากนั้นก็โยนใส่กระสวยอวกาศ แล้วส่งเข้าไปในหลุมดำ จะได้ไม่มีใครเผลอมาอ่านให้เป็นเคราะห์กรรมไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานครับ

ใช่ครับ... งานแรกมันมักจะแย่อย่างนั้นเลยครับ เพราะการเขียนนิยายต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และต้องหมั่นฝึกและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอครับ ซึ่งสิ่งพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นได้เลยหากเรา ‘ไม่เริ่มเขียน’ มันซะตั้งแต่ตอนนี้ครับ ความผิดพลาดไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อตอกย้ำความไร้ทักษะของเรา แต่เกิดขึ้นเพื่อให้เราได้เรียนรู้ พัฒนา ทำสิ่งที่ดีกว่าเดิมออกมา และก้าวเดินต่อไปครับ 

การเป็นนักเขียนโดยเฉพาะเริ่มต้นใหม่ๆ เราต้องเจอกับข้อผิดพลาดนับไม่ถ้วนครับ แต่ทุกความผิดพลาด คือโอกาสที่จะได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นกว่าเดิมครับ

หืม... พอเขียนถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็เกิดนึกถึงคำพูดของยูทูปเบอร์คนหนึ่งที่ทำช่องเกี่ยวกับการเขียนนิยายเลยครับ และมีหลายครั้งที่เธอกล่าวเอาไว้ว่า “...Your first draft is allowed to suck (ดราฟแรกของคุณอนุญาตให้ห่วยแตกได้เสมอ)...” - Diane Callahan

และมีอีกสิ่งหนึ่งครับที่ผมจำเอาไว้ขึ้นใจเสมอ นั้นคือ “...เราสามารถแก้งานที่ผิดพลาดได้... แต่เราไม่สามารถแก้ไขหน้ากระดาษเปล่าได้...” ครับ

ถ้าอยากจะเขียนนิยายสักเรื่อง... อย่าไปคิดมากครับ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ และเรียนรู้ไปพร้อมๆกับนิยายของเรา และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เขียนต่อไปครับ :)

ยังไงก็ตาม สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ติดตามมาตลอดและไม่ทิ้งกันไปไหนครับ เหล่ารี้ดเดอร์ที่น่ารักคือหัวใจสำคัญเลยที่ทำให้นิยายเรื่องนี้มาได้ไกลถึงขนาดนี้ และขอบคุณทีมงานเด็กดีมากครับที่มอบโอกาสในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ให้ 

ส่วนนักอ่านท่านไหนที่สนใจหรืออยากติดตามผลงานของนักเขียนตัวน้อยๆคนนี้ สามารถติดตามอ่านนิยายเรื่อง ‘ O S I O N กุญแจฉีกมิติ ’ (แนวไซไฟ-แฟนตาซี) และ ‘ ICARUS เกมท้าพระเจ้า’ (แฟนตาซี-ต่างโลก) ซึ่งอยู่ในจักรวาลเดียวกัน แต่คนล่ะธีม ได้ที่เว็บไซต์ Dek-D เลยครับ

 

และนี่คือเรื่องราวที่เราเอามาฝากทุกคนในวันนี้ค่ะ หวังว่าประสบการของ  Vsrin  หรือ ไนซ์ จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนเด็กดีที่เขียนนิยายแนวนอกกระแสให้มีความกล้า และกำลังใจในการเขียนนิยายแนวที่ชอบต่อไปนะคะ เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นนิยายแนวไหน หากเป็นนิยายที่สนุก มีคุณภาพแล้วล่ะก็สักวันความสำเร็จต้องมาถึงมือทุกคนแน่นอนค่ะ 

พี่หญิง

ติดตามผลงานของ Vsrin ได้ที่นี่

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

A.L. Lee Member 18 ก.ย. 65 21:41 น. 1

ในที่สุดก็มีแนวไซไฟ-แฟนตาซี โผล่มาแบบไม่มีระบบ

ขอบคุณทีมงานที่ขุดนิยายนอกกระแสมาโปรโมตค่ะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด