เธอผู้ขายวิญญาณมาเแต่งนิยาย
จนมีเงินแสนใน 1 เดือน 

The Chosen EP. 34 LingFeng 

  • เอ๋ย หรือ LingFeng ผู้เขียน พฤกษาสวรรค์หวนคืน คือ พนักงานบริษัทที่อุทิศเวลาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาให้กับการอ่านนิยายออนไลน์บนแอปนิยาย Dek-D
  • เธออ่านนิยายจนอยากเขียนเรื่องราวของตัวเองดูบ้าง แต่ไม่รู้ว่าต้องเขียนยังไง เลยไปส่องในกลุ่มนักเขียนมือใหม่ เก็บรวบรวมเคล็ดลับและประสบการณ์ดีๆ มาเป็น “คัมภีร์สำหรับมือใหม่” แล้วลองเอามาปรับใช้จนปังตั้งแต่ 10 วันแรก
  • ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา เธอแต่งนิยายและอัปลงทุกวันจนมีตอนนิยายเกือบ 200 ตอน และมีรายได้หลักแสนภายใน 1 เดือน

ทำยังไงถึงแต่งนิยายปังได้ตั้งแต่เรื่องแรก?

“เอ๋ย” หรือ “LingFeng” ผู้เขียนนิยายเรื่อง “พฤกษาสวรรค์หวนคืน” ถึงกับชะงักกับคำถาม เราเจอกันผ่านทางหน้าจอ เป็นการสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอคอลที่มีปัญหาจากสภาพแวดล้อมบ้าง แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการพูดคุย เธอคุยสนุก และมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ขัดกับครั้งแรกที่ชวนเธอมาสัมภาษณ์แล้วเธอตอบกลับมาว่า “เป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง”

“เอ๋ย” เป็นนักเขียนมือใหม่วัย 30 ปี เธอเป็นพนักงานบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ที่เพิ่งเริ่มต้นเขียนนิยายได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เธอเล่าว่า ตัวเองอัปนิยายแบบขายวิญญาณมาก ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเธออัปนิยายไปแล้วกว่า 182 ตอน (ข้อมูลเมื่อ 22 กันยายน 2565) ทั้งไม่ได้คาดคิดว่านิยายของนักเขียนหน้าใหม่จะขึ้นไปติดท็อปทุกหมวด รวมถึงติดท็อปนิยายขายดีประจำสัปดาห์ด้วย

เธอเปิดใจกับเราว่า ตัวเองเป็นคนจำพวกขายวิญญาณ เวลาชอบหรือสนุกกับอะไร มักจะทุ่มสุดตัว ให้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบเสมอ ตอนที่ชอบทำขนมก็ลงมือทำทุกวัน ตอนที่ชอบอ่านนิยายก็อ่านทุกวัน จนรู้ตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาถึง 3 ปีแล้ว และเมื่อจู่ๆ เธออยากเขียนนิยายของตัวเองขึ้นมาบ้าง ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เธอก็แทบจะขายวิญญาณให้กับการเขียนนิยายไปเลย และผลตอบแทนของการขายวิญญาณในครั้งนี้ คือ ฟีดแบ็กดีๆ และการสนับสนุนจากนักอ่าน ที่ทำให้เธอเหมือนได้โบนัสก้อนแรกที่มากกว่าเงินเดือนไปแล้วหลายเท่า 

  ในสัมภาษณ์นี้ เอ๋ย มีคำตอบว่าทำไมนักเขียนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเขียนนิยายได้เพียง 2 เดือน ถึงแต่งนิยายให้ปังได้ตั้งแต่เรื่องแรก มาตามดูเรื่องราวและแรงบันดาลใจดีๆ จากเธอกัน 

“Work from Home” 
จุดเริ่มต้นการเป็นนักเขียนของพนักงานบริษัท

เราเรียนจบวิทยาศาสตร์การกีฬามาค่ะ ตอนที่เราเรียนจบ ไม่ได้สนใจเรื่องการเขียนนิยายเลย เราทำงานเลย เป็นทั้งหัวหน้างานในโรงงาน เซลล์ขายแว่นแบรนด์ญี่ปุ่น แล้วก็ตอนนี้มาเป็นพนักงานบริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ แต่หลังจากโควิดระบาดทางออฟฟิศก็เปลี่ยนให้มาทำแบบ Work from Home แทน ตอนนั้นว่างๆ พี่ชายก็ส่งนิยายมาให้เรื่องหนึ่งบอกว่านิยายเรื่องนี้สนุกนะ ก็เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราเข้าไปอ่านในแอปนิยาย Dek-D เลย”

“ตั้งแต่นั้นมาเราก็อ่านมาโดยตลอด แบบอ่านออนไลน์ สว่างคาตา ก็ช่วงสามสี่ปีมานี้เลยค่ะ (หัวเราะ) คืออ่านแบบขายวิญญาณมาก ก็หนักอยู่เหมือนกันนะ แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมันตกผลึกมาเองว่า เราอยากเขียนอะไรสักอย่าง ทั้งที่ในหัวไม่มีอะไรเลย นักเขียนคืออะไร เขาทำกันได้ยังไง”

“ตอนนั้นเราไปเจอกลุ่มนักเขียนหน้าใหม่ในเฟซบุ๊ก เราก็เลยลองเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย แล้วเขาก็คอยเชียร์อัปเราว่า เขียนสิ ถ้ารักในการเขียนก็เขียนเลย แล้วเหมือนนักเขียนทุกคนก็ต้องเหมือนเรียนรู้จากนักอ่าน เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง เพราะไม่มีใครที่จะชำนาญตั้งแต่แรก เขียนแล้วแบบปังเลย มันก็มีน้อย แต่ในกลุ่มนั้นก็มีทั้งนักเขียนหน้าใหม่ และนักเขียนหน้าเก่า เหมือนผลงานเขาก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจขนาดนั้น แต่เขาก็ยังเขียนอยู่ เราก็เลยคิดว่า เอาวะ ลองดู

นิยายเรื่อง “พฤกษาสวรรค์หวนคืน”
นิยายเรื่อง “พฤกษาสวรรค์หวนคืน” 

เริ่มต้นจากศูนย์
จนเจอ “คัมภีร์สำหรับมือใหม่”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่มีเวลาว่างจากการทำงานประจำ เราเคยขายวิญญาณให้กับการหัดทำขนมมาก่อน คือทำเยอะมากช่วงเวิร์คฟอร์มโฮม หลังจากนั้นก็มาขายวิญญาณให้การอ่านนิยาย อ่านหนักเปย์หนักด้วย แล้วพอจะมาเขียนนิยายก็มีคุยกันกับแฟนกับพี่ชายว่า เขียนนิยายดีไหม จะอ่านไหม ก็คุยกันเล่นๆ เขาก็บอกเราว่า เขียนสิ อยากเขียนก็เขียน อยากทำก็ทำ แค่นั้นเอง”

เริ่มจากแนวที่ชอบเป็นเรื่องใกล้ตัวที่รู้จักดี

“พอเราตัดสินใจว่าจะเขียนนิยาย คนรอบข้างเชียร์อัปเรามาก เราก็เลยลองๆ เขียน เหมือนเราเอาความชอบของตัวเองลงไปใส่ในนิยาย ความยุ่งยากที่เราคิดในตอนแรกว่าจะเขียนอะไร ยังไง มันเลยลดลง อย่างเราชอบขนม เราเคยทำขนมมา เราก็เลยรู้สึกว่า ถ้าเราใส่ความชอบขนมของเราลงไปในตัวเอก ทำให้ตัวเอกชอบขนมมากๆ แล้วเขาดันทะลุมิติจากยุคโบราณมายุคปัจจุบันที่มีขนมอร่อยๆ เยอะ จะเป็นยังไง ถ้าเขาอยากจะไปอยู่ในคอมมูนิตี้ที่มีคนชอบขนมเหมือนกัน เขาจะทำยังไง จะหาร้านขนมอร่อยจากไหน เราก็เลยจับตัวเอกให้มาหัดเล่นโซเชียล ให้ไปเข้ากลุ่มของคนรักขนม มันก็น่าจะน่ารักอีกแบบหนึ่ง ความพยายามของเด็กติดขนมมันก็น่าสนุกดี”

เขียนนิยายเก็บไว้เยอะๆ แล้วอัปลงให้นักอ่านเห็นสม่ำเสมอ

“ตอนนั้นเราเขียนได้ 20 กว่าตอนแล้ว เขาก็แนะนำว่าก็อัปลงไปสิ ลงวันละสองสามตอนก็ได้ เราเลยเริ่มอัปนิยายตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2565 แล้วในกลุ่มนักเขียนเขาก็จะบอกกันในกลุ่มว่า ถ้าจะอัปนิยายช่วงแรกๆ ต้องอัปเยอะนะ หลายตอน เขาจะได้มาอ่านทีเดียว เพราะถ้าสมมติเขาเห็นแค่ไม่กี่ตอน เขาจะยังไม่เข้ามาอ่านก็ได้ เราก็เลยอัปไปหลายตอนมาก ประมาณ 10 กว่าตอนในวันแรก ดูบ้าไหม (หัวเราะ) มันต้องออกตัวแรงหน่อย เขาบอกมาแบบนี้”

“แล้วหลังจากนั้นเราก็ลงเป็นเวลา ประมาณช่วงสองสามวันแรกเราลงแบบสะสมกันไปประมาณ 10 กว่าตอน แล้วก็บอกนักอ่านว่าเราจะเริ่มลงแบบเช้าเย็นวันละตอนนะ ตอนนั้นคือแบบขายวิญญาณเลยค่ะ ก็แต่งในสต็อกไม่เยอะนะ เพราะยังไม่รู้ว่าต้องแพลนยังไง ก็แค่อยากอัปลง พอคนมาเห็นนิยายของเราแล้วเขาตัดสินใจอ่านได้เลย ไม่ต้องรอ ก็เหมือนลองๆ ทำตามที่เขาแนะนำกันมา พอลองทำตามปุ๊ป นักอ่านเขาก็เหมือนโอเคกับเนื้อเรื่องที่เราแต่ง ก็เลยตามอ่านกัน”

เปิดใจรับความคิดเห็นและพร้อมปรับปรุงเสมอ

“ช่วงที่เขียนนิยาย เราก็ขายวิญญาณกับมันไปเลย คือไม่ได้เอาเวลาไปสนใจอย่างอื่นเลย ในสมองก็คิดอยู่ตลอดว่าจะเขียนอะไรต่อดีนะ เราจะคิดวนอยู่แค่ตรงนั้น ซึ่งเราไม่รู้ว่านักเขียนคนอื่นเขาเป็นไหม แต่เหมือนเราย้ำคิดย้ำทำมาก อย่างนิยายตอนหนึ่ง 3,000 คำ เราตรวจอยู่ประมาณสามรอบกว่าจะอัปลงให้อ่านกันได้ เราก็เลยรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราโฟกัสกับการเขียนนิยายมาก เรียกว่าขายวิญญาณไปเลย”

“ช่วงแรกๆ ก็จะมีคอมเมนต์นะว่าแบบนั้นดีกว่าไหม แบบนี้ดีกว่าไหม เราก็ขอบคุณทุกคนเลยค่ะ เพราะพอเรากลับไปอ่านเองจริงๆ ก็เป็นแบบที่นักอ่านว่ามา เขียนอะไรลงไปเนี่ย เราต้องขอบคุณนักอ่านมากๆ เราเข้าไปตอบทุกคอมเมนต์เลย ในช่วงแรกที่เขาบอกให้เราปรับปรุง เราบอกเดี๋ยวรีไรต์นะ เดี๋ยวปรับปรุงนะ คอมมูนิตี้นักอ่านเด็กดีน่ารักกับเรามากๆ ทำให้เรารู้สึกอยากทำในสิ่งที่เราชอบตรงนี้ ให้มันดีที่สุด ไม่ต้องมารู้สึกผิดหวังว่าเราไม่เต็มที่ หรือกั๊กความพยายามของตัวเอง”

ขายนิยายแบบตอนอ่านล่วงหน้า
ขายนิยายแบบตอนอ่านล่วงหน้า 

ขายวิญญาณมาแต่งนิยาย
จนมีเงินแสนใน 1 เดือน

“จุดเริ่มต้นคือเราแค่อยากเขียนเฉยๆ เลย เหมือนมนุษย์ป้าคนหนึ่งที่อ่านนิยายแล้วอยากมีนิยายเป็นของตัวเองบ้าง แล้วเราอ่านนิยาย ลงนิยายใน Dek-D ไง ทาง Dek-D ไม่ได้เก็บตังค์ค่าลงนิยายซะหน่อย ก็เลยเขียนแล้วลง ไม่ได้คาดหวังว่ารายได้ของนิยายจะมามีผลอะไรกับชีวิตเรา เพราะเราเองก็มีงานประจำอยู่แล้ว”

“อย่างที่บอกว่า เราอัปนิยายวันที่ 21 กรกฎาคม 2565 แต่เหมือนนักอ่านเขาติดนิยายเรา จนเขาบอกว่ามีตอนอ่านล่วงหน้าก็ได้นะ เขาพร้อมเปย์นะ เราก็เลยตัดสินใจลองติดเหรียญตอนอ่านล่วงหน้าวันที่ 29 กรกฎาคม 2565 ประมาณช่วง 2 ทุ่ม ก็ติดไปเลย 6-8 ตอนนี่แหละ ตอนละ 2 คอยน์ แล้วเราก็เปิดให้อ่านฟรีทุกวัน วันละ 1 ตอน  แล้ววันนั้นคนเข้ามาอ่านก็คือยอดซื้อเยอะมาก” 

“เราเปิดขายวันที่ 29-31 กรกฎาคม 2565 เปิดขายแค่สองวันครึ่งเอง เดือนนั้นเราขายได้ 4,000 บาทเลย พอมายอดเดือนสิงหาคม เราเปิดขายเต็มเดือนเลย เราขายได้แสนสาม เรายังคิดว่าตัวเองขายวิญญาณมากไปหรือเปล่านะ (หัวเราะ)”

“แค่สองเดือนเราอัปนิยายไป 182 ตอนแล้ว (ข้อมูลเมื่อ 22 กันยายน 2565) รู้สึกตัวอีกที พี่ชายเรา แฟนเราก็ทักว่า เราเขียนแบบขายวิญญาณให้กับสิ่งที่ตัวเองชอบไปเลยเหรอ เราก็บอกว่า ใช่ ขายจริง ยอมรับตรงๆ เลย คือเรามุ่งมั่นกว่าตอนเรียนกับตอนทำงานทั้งชีวิตอีก ตอนเรียนไม่ตั้งใจขนาดนี้นะ (หัวเราะ)”

“คือมันเป็นรายได้ที่แทบจะมากกว่าเงินเดือนหลายเท่าเลย เยอะมาก เรารู้สึกว่ารายได้ตรงนี้มันเหมือนเป็นโบนัสในช่วงที่เราพยายามมาก่อนหน้านี้ ในช่วงที่เราขายวิญญาณแบบจริงจัง เราก็เลยรู้สึกว่าเนี่ย มันคือโบนัส มันเป็นเหมือนรายได้พิเศษที่เป็นกำลังใจ เป็นเงินก้อนแรกที่ได้มาโดยที่ เราไม่ต้องฝืนใจทำ แต่เป็นงานที่เรารักจริงๆ แล้วชอบมันจริงๆ  เราภูมิใจมาก มันเหมือนเราได้รับการยอมรับทางอ้อมจากนักอ่านว่าผลงานของเรามันควรค่าแก่การเสียเงินเข้ามาอ่าน

เอ๋ย เจ้าของนามปากกา LingFeng
เอ๋ย เจ้าของนามปากกา LingFeng 

เริ่มจากสิ่งที่ชอบ 
แล้วทุกอย่างจะง่ายลง

“การจะเริ่มเป็นนักเขียนเราไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเขาเป็นยังไง แต่สำหรับเรา เราเริ่มจากความชอบ พอมันเริ่มจากความชอบแล้วมันง่ายขึ้นทุกอย่างเลย เพราะเราจะสนุกกับมัน จะดีไม่ดีเดี๋ยวนักอ่านเขาก็จะฟีดแบ็กกลับมาหาเราเอง แล้วเราก็ค่อยปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพราะระหว่างทางเราจะต้องใจกว้างมากๆ ใจกว้างกับตัวเอง ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป ใจกว้างกับนักอ่านที่เขาฟีดแบ็กกลับมาว่าเขาต้องการสื่ออะไรกับเรา แล้วเราต้องรับฟัง ดีไม่ดียังไงเราพิจารณาเองได้ เราว่าแบบนี้ผลงานเราก็จะถูกปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ”

“แล้วก็ไม่ได้มีนักเขียนทุกคนที่เขาปังตั้งแต่เรื่องแรกอยู่แล้ว เขาต้องได้รับการขัดเกลาจากทุกอย่างที่เขาเรียนรู้มาระหว่างทาง ทั้งจากตัวเขาเอง นักอ่าน ฟีดแบ็กต่างๆ เพราะฉะนั้นเราว่ามือใหม่อย่าคาดหวังอะไรที่มันเป็นความสำเร็จของคนอื่น เขาทำสำเร็จเราเห็นเป็นแรงบันดาลใจแล้วก็มาตั้งเป้าของเราดีกว่า เราอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเลย ห้ามเลยนะเพราะว่าทุกคนไม่เหมือนกัน เราแค่ทำตามแนวทางของเราให้ดีที่สุด ค่อยๆ ปรับปรุงกันไปค่ะ

 

เป็นเรื่องราวจากนักเขียนมือใหม่ที่มีทั้งแรงบันดาลใจ เคล็ดลับ และกำลังใจดีๆ ส่งตรงถึงนักเขียนทุกคนเลย เราเชื่อว่าประสบการณ์ส่วนหนึ่งที่ทำให้เอ๋ยสามารถแต่งนิยายออกมาได้ดีทั้งที่ไม่เคยเขียนมาก่อนเลย ก็คือ ประสบการณ์จากการเป็นนักอ่านนั่นเอง 

หากใครอยากลองเขียนนิยายของตัวเองดูบ้าง ลองเริ่มจากแนวนิยายที่ชอบ เขียนจากเรื่องใกล้ตัวหรือเรื่องที่เรารู้จักดีที่สุด แล้วเขียนเก็บไว้เยอะๆ จากนั้นลองมาอัปลงตามคัมภีร์มือใหม่ของนักเขียนคนนี้ดู อาจจะไม่ต้องถึงขั้นลงนิยาย 10 ตอนตั้งแต่วันแรกแบบที่นักเขียนคนนี้ทำก็ได้ เอาที่เราไหว แล้วหลังจากนั้นก็รอดูฟีดแบ็กจากนักอ่าน ปรับปรุงตามคำแนะนำดู เราเชื่อว่าทุกคนสามารถเขียนนิยายของตัวเองได้แน่นอน !

เริ่มต้นเขียนนิยาย

พี่แนนนี่เพน

อ่านนิยายของ LingFeng 

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

3 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด