เมื่อเด็กยุคใหม่ไม่อยากทำงานประจำ จะมาเขียนนิยายยังไงให้อยู่รอด!? | The Chosen EP.47 บั๊บโบะ

เมื่อเด็กยุคใหม่ไม่อยากทำงานประจำ 
จะมาเขียนนิยายยังไงให้อยู่รอด!? 

The Chosen EP.47 บั๊บโบะ

ไม่มีเวลาอ่านแค่นี้พอ!

  • “บั๊บโบะ” เป็นนักเขียนหนุ่มวัย 27 ปี ผู้แต่งนิยายแฟนตาซีสุดฮิตเรื่อง ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน และ ระบบบรรพบุรุษหลังโลกาวินาศ
  • นิยายแฟนตาซีเรื่อง “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” ได้รับฟีดแบ็กดีๆ จากนักอ่านจนขึ้นไปติดท็อปหมวดนิยาย และติดอันดับนิยายขายดีประจำสัปดาห์มาแล้วหลายเดือน (ข้อมูลล่าสุด 24 มกราคม 2567)
  • บั๊บโบะ เคยเป็นพนักงานออฟฟิศมาก่อน แต่ลาออกเพราะรู้สึกขาดอิสระ และไม่อยากกลับเข้าไปทำงานในตลาดแรงงานอีก เลยตั้งใจเขียนนิยายออนไลน์เป็นอาชีพหลัก เพราะคลุกคลีอยู่ในวงการนิยายมาตั้งแต่เด็ก เขาเลือกแต่งนิยายแนวแฟนตาซีที่ชอบ และพยายามเกาะเทรนด์แนวตลาด เพื่อให้การแต่งนิยายสนุก และมีรายได้มาเลี้ยงชีพด้วย
  • ช่วงแรกรายได้จากการขายนิยายออนไลน์ยังลุ่มๆ ดอนๆ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าแม่จะส่งลิงก์สมัครงานเท่าไหร่ก็ไม่สน สู้แต่งนิยายจนจบ ทั้งยังชวนแม่มาช่วยเป็นบ.ก. และนักอ่านคนแรกด้วย จากรายได้หลักพันก็พลิกชีวิตสู่รายได้ครึ่งแสนต่อเดือน
  • ปัจจุบัน บั๊บโบะแต่งนิยายมาสามปีแล้ว เขาตั้งใจเขียนนิยายให้เกาะกระแสเข้าไว้ ไม่หวั่นดราม่า เน้นสนุก เขียนปลอดภัย พอมีพอใช้ยันเกษียณก็พอ!

นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักนิยายเรื่อง “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” เพราะนิยายแฟนตาซีสุดฮิตเรื่องนี้มาแรงจนขึ้นไปติดท็อปอันดับ 1 ของหมวดแฟนตาซีมาแล้วหลายเดือน (ข้อมูลล่าสุด 24 มกราคม 2567) กับพล็อตยอดนิยมแนวทะลุมิติที่ใครๆ ก็เขียนกัน แต่ทำไมคนอ่านถึงติดใจนิยายเรื่องนี้จนรออ่านรอเปย์กันได้ทุกวันนะ!?

วันนี้เราเลยชวน “บั๊บโบะ” นักเขียนหนุ่มอารมณ์ดีผู้เขียนนิยายเรื่อง “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” มาพบปะพูดคุยกันหน่อย แล้วเราก็ได้รู้จักนักเขียนคนนี้ว่าชื่อจริงๆ ของเขาชื่อ “อุ้ม” เป็นเด็กหนุ่มวัย 27 ปี สถานะโสด ส่วนนามปากกาบั๊บโบะ เป็นชื่อตัวละครที่เขาชอบจากการ์ตูนเรื่องอิทธิฤทธิ์พิชิตมายานั่นเอง บั๊บโบะเพิ่งเข้าวงการนักเขียนได้ไม่นาน แต่ตอนเด็กเขาชอบอ่านนิยายมาก และยังเคยมีงานอดิเรกเขียนนิยายออนไลน์ลงบนเว็บเด็กดีด้วย 

แต่ก่อนจะมาเขียนนิยายจริงจัง อุ้มได้ลองใช้ชีวิตค้นหาตัวเองมาแล้วหลายอย่าง ทั้งเป็นพนักงานบริษัทในตลาดแรงงาน ทั้งลองไป Work and Holiday ทำงานเก็บสตรอเบอร์รี่ในฟาร์ม หรือขับ Uber Eats ส่งอาหาร เขาก็ลองทำมาแล้ว แต่ไม่มีเส้นทางไหนตอบโจทย์ชีวิตเลย กระทั่งเขานึกไปถึงสิ่งหนึ่งที่เขาทำเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การอ่านนิยายเด็กดี นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาก้าวเข้าสู่เส้นทางนักเขียน 

ปัจจุบัน อุ้มแต่งนิยายมาแล้วสามปี แม้ว่านิยายเรื่องแรกที่เขียนจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็เรียนรู้จากความล้มเหลว พยายามเอาแนวที่ชอบไปเกาะกับแนวกระแส แล้วเขียนนิยายเรื่องต่อไป จนทำให้นิยายเรื่อง “ระบบบรรพบุรุษหลังโลกาวินาศ” และ “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” ประสบความสำเร็จตามกันมาติดๆ จากที่เคยมีรายได้เพียงหลักพันต่อเดือนก็พลิกชีวิตสู่รายได้ครึ่งแสนต่อเดือน อุ้มบอกว่าการเขียนนิยายเป็นงานอดิเรกที่กลายเป็นอาชีพหลักของเขาไปแล้ว และเขาอยากจะยืนอยู่บนเส้นทางนี้ต่อไปจนเกษียณ 

เรื่องราวของบั๊บโบะหลังจากก้าวเท้าเข้ามาเยือนในออฟฟิศเด็กดี ทำให้เราอยากแบ่งปันอีกแง่มุมหนึ่งของนักเขียนยุคใหม่ ที่ไม่อยากทำงานประจำ แต่จะมาเขียนนิยายออนไลน์เป็นอาชีพว่า เขาทำได้อย่างไร ใช้เวลานานไหมกว่าจะประสบความสำเร็จ มีนิยายขึ้นไปติดท็อป ทั้งยังมีรายได้มาเลี้ยงตัวเองได้อีกด้วย และถ้าใครอยากจะมาแต่งนิยายเลี้ยงชีพแบบนี้บ้าง  ควรเตรียมตัวอย่างไรบนเส้นทางนักเขียนแห่งนี้  มาค้นหาคำตอบและแรงบันดาลใจดีๆ จากนักเขียนหนุ่มคนนี้กัน 

เด็กยุคใหม่ในวันที่ค้นหาตัวเอง

  สวัสดีครับชื่อ บั๊บโบะ หมายถึงว่านามปากกาชื่อบั๊บโบะ แต่ว่าชื่อจริงๆ ชื่อ อุ้ม แบบอุ้มลูกครับ (ทำท่าทางอุ้มลูกโชว์ด้วยนะ) ตอนนี้ก็เขียนนิยายอยู่ เรื่อง “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” ตัวเอกเป็นแม่กับลูก คือดำเนินตัวลูกเป็นหลักแต่ว่ามีพาร์ทแม่บ้าง แม่จะคอยช่วยเหลือลูกจากอีกโลกหนึ่งผ่านการโทรศัพท์คุยกัน แชทคุยกันบ้างครับ 

ตั้งแต่มัธยมก็เขียนกับเด็กดีนี่แหละครับ เป็นรอยัลตี้ของเด็กดีมาก เริ่มเขียนเรื่องแรกๆ ก็ในเด็กดี พอเราอ่านนิยายเยอะ เราก็เลยเริ่มเขียนบ้าง ตอนมัธยมการเขียนเป็นงานอดิเรกของเราเลย 

เริ่มมาเขียนจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ครับ ก่อนหน้านี้พอเรียนจบก็ทำงานอยู่พักหนึ่งเล็กๆ ก็ทำไปได้ไม่กี่เดือนก็ลาออก เพราะรู้สึกว่าขาดอิสระ แล้วก็ไม่ได้ใช้เวลาชีวิตไปกับสิ่งที่เราอยากทำหลายๆ อย่าง แล้วก็ก่อนหน้านั้นเรามีแผนจะไปต่างประเทศด้วยวีซ่า Work and Holiday อยู่แล้ว พอบินไปก็ช่วงแรกๆ ก็ไปเรียนก่อน เดือนถัดมาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย นั่งๆ นอนๆ อ่านนิยาย ทั้งวันทั้งคืน จนเริ่มรู้สึกว่าเรานอนอ่านนิยายมา ชีวิตไม่มีคุณค่าเลย เราต้องไปทำงานบ้าง ก็เลยสมัครงาน ก็ไปทำงานนอกเมืองเลย ทำงานฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ครับ

แล้วช่วงนั้นโควิดมาพอดี กำลังระบาด เราก็ไม่ค่อยได้รับผลกระทบอะไร เพราะเราทำงานในฟาร์ม ก็เวิ้งว้างไม่ต้องเจอคนมากขนาดนั้น ก็เลยทำงานอยู่เรื่อยๆ จนครบ 4 เดือนก็รู้สึกอยากเลิกทำแล้ว ก็เลยกลับมาที่เมือง ก็ไปปั่น Uber Eats ส่งของตามบ้าน ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร อยู่ไทยก็น่าจะไม่ต่างกัน ก็เลยลงชื่อบินกลับ แล้วพอกลับมากักตัวครึ่งเดือนไม่มีอะไรทำ ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นว่าทำไมกลับมาเขียนนิยายเรื่องแรก

เราเคยเขียนนิยายมาก่อนบ้าง แล้วเราก็คลุกคลีอยู่ในการอ่านนิยาย คลุกคลีอยู่ในแพลตฟอร์ม ดังนั้นเราก็พอจะเห็นนักเขียนคนอื่นๆ ที่เขียนแล้วเขาก็มีความสำเร็จประมาณหนึ่ง แล้วเขาก็ยังเขียนอยู่ เขียนต่อไป เขียนเรื่องสอง เรื่องสามต่อ  แสดงว่างานเขียน เพื่อลงแพลตฟอร์มมันก็ไม่ได้แย่ เขาก็ยังสามารถเขียนเพื่อเป็นรายรับได้ ก็เลยคิดว่าถ้าเราเขียนดู มันก็น่าจะได้ 

เขียนนิยายเลี้ยงชีพไม่ง่าย

ตอนนี้เขียนนิยายจริงจังมาประมาณ 2-3 ปีครับ ซึ่งที่ทำมา 2-3 ปีเนี่ย ก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง ช่วงแรกๆ ที่กลับมาจากต่างประเทศ เราก็มีเขียนนิยายอีบุ๊กเล่มแรก ช่วงแรกก็คือลุ่มๆ ดอนๆ มาก ก็ขายได้โดยรวมๆ แล้วประมาณ 3000-4000 บาทเอง ก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ค่อยดีนะ ก็เลยมาเริ่มเขียนนิยายแนวแฟนตาซีที่เราชอบ คือเรื่องที่เขียนจบไปแล้วไม่ได้เป็นแนวที่เราชอบ แค่อยากจะหาแนวใหม่ๆ ลองเขียน ลองฝีมือดูครับ 

พอมาเขียนแนวแฟนตาซีที่ชอบ ก็เหมือนเป็นการลองว่าเราจะรอดไหมในแนวทางนี้ เราก็มีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งมันก็พอไม่กี่เดือนหรอก แต่เราก็คิดว่า ลองทำไปก่อน บังเอิญว่าเรื่อง “ระบบบรรพบุรุษหลังโลกาวินาศ” มันก็พอได้อยู่ก็ไปถึงเงินเดือนเด็กจบใหม่ เราก็เลยคิดว่าอยู่อย่างนี้มันก็พอนะ ถ้าเกิดอยู่แต่บ้าน ไม่ออกไปไหนเลย เกาะพ่อแม่กินนิดหน่อย (หัวเราะ) ก็ยังพอไปได้ 

จนสักพักหนึ่งนิยายก็เหมือนเริ่มได้มากขึ้น จากเป็นเงินเดือนเด็กจบใหม่ ก็เป็นเงินเดือนเด็กจบใหม่ที่ทำงานมาแล้ว 5-6 เดือน (หัวเราะ) มันก็เลยดีขึ้น ก็เลยพออยู่รอด เลยทำต่อไปเรื่อยๆ จนเขียนนิยายเรื่องนั้นจบ ถามว่ามีท้อไหมในช่วงที่ลุ่มๆ ดอนๆ ก็ไม่ได้ท้อนะ เพราะว่าพอเห็นเม็ดเงินที่มันพอต่อชีวิตได้ ก็คิดว่าขนาดเดือนแรกเรายังพอได้เลย เดือนต่อไปมันก็น่าจะดีขึ้นนะ แล้วเดือนถัดไปมันก็ต้องดีขึ้นอีกสิ ก็เลยสู้ต่อไป

นิยายเรื่องแรกที่เขียนลงบนเว็บเด็กดี
นิยายเรื่องแรกที่เขียนลงบนเว็บเด็กดี

ลุ่มๆ ดอนๆ จนแม่จัดให้!

ตอนแรกแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนขนาดนั้น แม่ไม่ได้กีดกันเส้นทาง แต่แม่ก็จะชอบส่งลิงก์สมัครงานมาให้บอกว่า งานนี้น่าสนใจนะ งานนี้ก็น่าสนใจ ลองไปสมัครดูสิ (หัวเราะ) เราก็อ่านตามใจแม่ อ่านเฉยๆ แต่ไม่ได้ไปสมัคร

ตอนนี้ที่เขียนมา 2-3 ปีจนถึงปัจจุบัน แม่ก็โอเคแล้วแหละ เพราะว่ามันก็ไม่ได้ดีกว่าไปทำงานอื่นๆ สักเท่าไหร่ ช่วงโควิดที่ผ่านมาก็ได้เห็นแล้วว่างานต่างๆ ก็ไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น คือมันก็มีความมั่นคงของมันอยู่ แต่ว่าในทุกๆ งานก็จะมีความไม่มั่นคงอยู่แล้ว เราทำอันนี้แล้วมันแฮปปี้มีความสุข แม่ก็คงเข้าใจแหละ เพราะว่าอย่างน้อยแม่ก็ไม่ได้ส่งลิงก์หางาน หรือลิงก์สมัครงานมาให้แล้ว (หัวเราะ)

แล้วแม่ก็คงเห็นว่า เราก็ดูทำจริงจังนะ คือเราไม่เปลี่ยนใจแล้วว่าเราจะไปทำอย่างอื่นไหม แม่ก็เห็นว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ซึ่งแม่ก็มีส่วนร่วมด้วยเพราะว่า แม่ก็ต้องมาตรวจนิยายให้เรา เหมือนแม่เป็น บ.ก. ส่วนตัวนั่นแหละ แม่ก็ค่อนข้างเข้าใจในวงการนิยายนะ เพราะว่าแม่ก็เป็นคนอ่านนิยายคนหนึ่ง ปัจจุบันแม่ก็ยังอ่านนิยายอยู่ ซึ่งก็ตามเทรนด์นะ นิยายเด็กดีแม่ก็อ่าน

เล่าได้ไหมนะ.. ตอนเขียนนิยายอีบุ๊กเรื่องแรกแล้วเอาไปให้แม่อ่าน แม่บอกนิยายเรื่องนี้แม่ไม่ชอบเลย ก็ไม่เป็นไร ก็อ่านเรื่องต่อไป เป็นเรื่อง “ระบบบรรพบุรุษหลังโลกาวินาศ” ที่มาลงกับเด็กดี ซึ่งแม่ก็อ่านได้มากขึ้น เราก็เลยต้องพยายามเขียนนิยายให้แม่อ่านได้ด้วย แม่ก็จะเป็นคนเกลา เป็นคนผ่านด่านแรกก่อน ก็เลยต้องเขียนนิยายที่เป็นแฟนตาซี แล้วก็ต้องเป็นนิยายที่แม่อ่านได้ด้วย เพราะฉะนั้นนิยายก็จะครอบคลุมค่อนข้างหลายวัยครับ 

นิยายเรื่องที่สองที่คิดว่าประสบความสำเร็จที่สุด
นิยายเรื่องที่สองที่คิดว่าประสบความสำเร็จที่สุด 

กว่าจะเป็นนิยายหนึ่งเรื่อง

พอคิดว่าจะเป็นนักเขียนจริงจัง เราก็ต้องวางแผนล่วงหน้าว่า นิยายที่เราจะเขียนหลังจากนี้เป็นยังไง จะได้รับการตอบรับที่ดีไหม เราก็ต้องคิดทบทวนมาหลายรอบว่างานเขียนนี้จะต้องเป็นไปได้ด้วยดี คือเราก็อาจจะคิดพล็อตไว้หลายพล็อต มีพล็อต 1, 2, 3, 4, 5 แล้วก็เอาไปถามคนอื่นๆ รอบตัวก่อนว่า พล็อตไหนดูน่าอ่านสุด ถามหลายๆ คนเพื่อให้เรามั่นใจว่า นิยายเราน่าสนใจนะ แต่สุดท้ายก็เราต้องเลือกเองอยู่ดี

อย่างเรื่องล่าสุดที่เราเขียนเรื่อง “ช่วยท่านแม่ครองโลกเซียน” ก็ไม่ใช่พล็อตที่เอาไปซาวด์เสียงแล้วคนรอบๆ ตัวอยากอ่านที่สุดนะ แต่เป็นพล็อตที่เรารู้สึกอยากเขียนออกมามากที่สุด คิดว่าได้อยู่นะ ดูจากเทรนด์แล้วก็จากความสดใหม่  

เราค่อนข้างรู้ตลาดเด็กดี เราอ่านเด็กดีมาตลอด แล้วก็รู้ว่าช่วงนี้แนวไหนกำลังบูม ตอนไหนเป็นยังไง คือรู้ลำดับขั้นตอนว่า เด็กดีจะรียอดผู้ชมใหม่วันที่เท่าไหร่ ควรจะลงตอนไหนอะไรยังไง เราค่อนข้างรู้ระบบแล้วก็รู้ตลาด 

คือเราแค่รู้สึกว่าคนรอบๆ ตัวที่เราเอาพล็อตไปเล่าให้ฟัง อาจจะยังมองไม่เห็นภาพที่เราเห็นว่านิยายจะเป็นยังไง พอเขามองไม่เห็น เขาก็เลยอาจจะไม่ได้ซื้อ แต่เราเป็นคนเขียนเอง เรามองเห็นภาพแล้วว่าจะต้องน่าสนใจแน่เลย เราก็เลยลองเสี่ยง ก็เลยเอาพล็อตนี่แหละ มันติดอยู่ในใจ มันต้องเขียน ก็เลยเขียนออกไป แล้วผลตอบรับก็โอเค

นิยายติดท็อปอันดับ 1 หมวดแฟนตาซีนานหลายเดือน
นิยายติดท็อปอันดับ 1 หมวดแฟนตาซีนานหลายเดือน 

แบ่งปันเคล็ดลับติดท็อป

เคล็ดลับจริงๆ ก็คือ มันไม่ใช่เคล็ดลับหรอก (หัวเราะ) เรารู้ระบบแล้วว่าทุกเที่ยงคืนระบบจะนับรอบใหม่ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีนิยายลงทุกวันนะ เพื่อให้อันดับของเรายังคงอยู่ เพราะว่าคนก็จะมาตามอ่านทุกวัน พออันดับของเราคงอยู่คนก็จะเห็นเยอะ พอคนเห็นเยอะ อันดับก็จะขึ้นประมาณนั้น อันนี้ก็คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำนะ สำหรับนักเขียนที่เขียนจริงจังทุกคนก็คือต้องอัปทุกวัน อย่างน้อยวันละตอนก็ได้  

ต้องลงอย่างสม่ำเสมอ ต้องลงทุกวันนะ เพราะว่าระบบของเด็กดี เขาตัดยอดทุกวัน พอตัดยอดทุกวัน เราจะไม่สามารถมาลงวันเว้นวันได้ ลำดับเราจะขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่าคนอ่านเขาต้องอ่านทุกวัน พอคนอ่านมาอ่านทุกวันเราจะได้ยอดในวันนั้นๆ พอยอดในวันนั้นๆ มี อันดับเราจะคงที่ ถ้าเกิดเราลงบ้างไม่ลงบ้างอันดับเราจะขึ้นๆ ลงๆ เพราะฉะนั้น แนะนำให้ลงทุกวันเพื่อคนอ่าน คนอ่านเขาอยากอ่านทุกวันนั่นแหละ พอลำดับคงที่คนก็จะเห็นมากขึ้น ก็จะดีกับเรามากกว่า

เป้าหมายที่เราทำก็คือทุกวัน วันละอย่างน้อย 1 ตอน และถ้าเกิดได้มากกว่านั้นก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ทำให้ชีวิตในอนาคตเราง่ายขึ้น  

นิยายติดท็อปขายดีประจำสัปดาห์
นิยายติดท็อปขายดีประจำสัปดาห์

พิสูจน์มาแล้ว ขายนิยายออนไลน์เลี้ยงชีพได้จริง

จุดที่ทำให้คิดว่าจะเป็นนักเขียนแน่นอน ก็คือตอนที่เริ่มมีคนอ่านค่อนข้างมั่นคง และมีคนอ่านคอยติดตามอ่านเราตลอด แล้วก็คอยเปย์เงินให้เราตลอด คือมันลุ่มๆ ดอนๆ จริง แต่มันก็มีมาตรฐานของมันอยู่ว่ามันจะไม่ต่ำกว่านี้แล้วแหละ พอมีมาตรฐานตรงนี้ เราก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการเขียน อย่างน้อยถ้าเกิดเกาะมาตรฐานตรงนี้แล้วเพิ่มให้สูงขึ้นได้ ก็น่าจะโอเคนะ

ช่วงว่าง (ยังไม่ได้เขียนเรื่องต่อไป) รายได้ก็จะน้อยลง  เพราะว่ามันไม่มีคนมาสนับสนุนเรื่อยๆ ก็กลายเป็นช่วงว่างที่รายรับหายไปเลย ต้องสู้มากนิดหนึ่ง ต้องมั่นใจว่างานชิ้นต่อไปของเรา สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่แบบนอนอยู่บ้านเฉยๆ ได้ทุกวัน 

รายได้ต่ำสุดก็ประมาณ 6,000 กว่าบาทต่อเดือน เท่ากับว่าเงินไม่พอใช้อยู่แล้วแหละ ก็ต้องเฉือนๆ เนื้อเสียเงินเก็บของตัวเองมาใช้ ส่วนสูงสุดที่เคยได้ของเรื่องแรก ก็ประมาณ 40,000 กว่าบาทต่อเดือน แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องใหม่ก็อยู่ที่ประมาณ 50,000 บาทครับ

เป้าหมายของเราหลังจากนี้ก็อยากให้มันคงมาตรฐานนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็พอกินพอใช้แล้วแหละ ก็มีพอเก็บประมาณหนึ่ง มีพอลงทุน แค่นี้ก็พอแล้ว แค่หวังว่าเงินลงทุน จะทำให้เรามีเก็บสะสมไว้ในตอนแก่ก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ  

 แต่งนิยายตามกระแส เน้นปลอดภัย เลี้ยงตัวเองได้ 

แนะนำจะดีไหมคือ.. อย่าหลุดเทรนด์มาก การที่เราหลุดเทรนด์แปลว่า คนอ่านจะจับจ้องที่เราน้อยลง เพราะว่าเขาอ่านแล้ว เขาจะไม่สามารถเห็นภาพว่า นิยายแนวแบบนี้จะสนุกยังไง พอเขาไม่เห็นภาพ เขาก็จะไม่คลิกอ่าน พอไม่คลิกอ่านก็ทำให้เราอาจจะประสบความสำเร็จยากขึ้นนิดนึง ยกเว้นว่าเราจะเป็นนักเขียนที่มีฐานคนอ่านสูงมากๆ อยู่แล้ว เราจะสามารถทำแนวใหม่ๆ ได้ คือฉีกแนวได้ ถ้าเกิดเราอยากจะฉีกแนว เราต้องเริ่มจากการที่มีฐานคนอ่านสูงก่อน เพราะว่าการที่ฉีกแนวมันจะไม่เตะตาคนอ่านเลย 

เขียนนิยายตามกระแสใช่ไหม.. ใช่ครับ เพราะว่าค่อนข้างสบายใจ แล้วก็ปลอดภัยสำหรับนักเขียนนะ เพราะว่าถ้าเกิดเขียนแนวใหม่ๆ แล้ว เราไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นยังไง เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตเรื่องของเราจะบูมไหม แต่ถ้าเกิดเกาะกระแสไปก่อนโอกาสที่ล้มเหลวจะน้อยกว่าการที่คิดแนวใหม่ขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะเกาะกระแสประมาณหนึ่ง แล้วก็พยายามคิดอะไรใหม่ๆ เพิ่มให้มันเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้มันดูมีอะไรใหม่กว่าเทรนด์ที่มันมีอยู่ตอนนี้ 

ข้อดีของนิยายแนวกระแสสำหรับนักเขียนคิดว่าปลอดภัย สมมติว่าเขียนไปแล้วน่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่อ่านแน่ๆ อย่างน้อยก็คือไม่ล้มเหลว สำหรับคนอ่านก็ปลอดภัยสำหรับคนอ่านเหมือนกัน เขารู้แล้วว่า ถ้าเป็นแนวนี้มาเขาจะอ่านได้เลย เขาจะชอบหรือไม่ชอบ สมมุติว่ามีคนที่ไม่ชอบก็จะเลี่ยงไปเลย จะไม่อ่านเลย ก็จะเป็นการคัดเลือกได้ง่ายสำหรับคนอ่านเหมือนกันครับ 

ถ้าเราเป็นนักเขียนใหม่ วิธีที่เซฟที่สุดก็อาจจะต้องเกาะกระแส หรือ เกาะแนวงานที่มันใกล้เคียงกันไปก่อน ที่เราชอบด้วยนะ ถ้าเราไม่ชอบอย่าไปเขียนมัน 

เริ่มเขียนนิยาย

เขียนนิยายเกาะกระแสตลาด ปลอดภัยทั้งนักอ่านและนักเขียน! ให้ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน อีกกี่ครั้ง “บั๊บโบะ” นักเขียนหนุ่มอารมณ์ดีที่เดบิวต์เข้ามาเป็นนักเขียนนิยายออนไลน์ได้เพียงสามปี ก็ยังยืนยันคำตอบเดิมว่า เขียนนิยายตามกระแส เน้นเขียนปลอดภัย พอมีพอใช้ยันเกษียณก็พอ!  

เรื่องราวของ “บั๊บโบะ” เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจดีๆ ที่เราอยากนำมาเล่าสู่กันฟังมากๆ เส้นทางชีวิตของเขาก็เหมือนกับเด็กยุคใหม่หลายๆ คนที่กำลังค้นหาความชอบตัวเอง และหวังว่าความชอบนั้นจะสามารถเปลี่ยนเป็นอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้  โชคดีที่นักเขียนหนุ่มมองโลกในแง่ดี แม้ว่านิยายเรื่องแรกที่เขียนจะไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ตั้งใจทำการบ้านเรื่องต่อไปอย่างดี เอาประสบการณ์ที่ได้คลุกคลีในแพลตฟอร์มจากการเป็นนักอ่านมาต่อยอดการเป็นนักเขียน  ทำให้วันนี้เขาได้เขียนนิยายแนวที่ชอบ และมีนักอ่านคอยสนับสนุน จนมีรายได้มาเลี้ยงดูตัวเองได้จริงๆ 

 หวังว่าเรื่องราวของนักเขียนหนุ่มคนนี้จะเป็นเรื่องราวดีๆ ให้ทุกคนเดินบนเส้นทางนักเขียนแห่งนี้ได้มั่นคงขึ้นนะคะ  เป็นกำลังให้ทุกคนค่ะ ^^

พี่แนนนี่เพน

อ่านนิยายของ “บั๊บโบะ”

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น