“มังกรหยก 2025” การกลับมาอีกครั้งของนิยายกำลังภายในอมตะ สู่หนังจอเงินเรื่องสุดท้ายของ “ทีมพากย์พันธมิตร”
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวเด็กดีทุกคน มีใครรอดูหนังกำลังภายในเรื่องใหม่ที่เป็นกระแสตอนนี้อยู่รึเปล่า? ช่วงนี้ผมเลื่อนฟีดไปไหนก็เจอแต่ข่าวนี้ มันเป็นทั้งข่าวดีและข่าวเศร้าในคราวเดียว เมื่อนิยายกำลังภายในอมตะอย่าง “มังกรหยก” ถูกสร้างเป็นหนังอีกครั้งโดยผู้กำกับ ‘ฉีเคอะ’ อย่าง “มังกรหยก : จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่” แต่น่าเศร้าที่หนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เราจะได้ยินเสียงของ “ทีมพากย์พันธมิตร” ในโรงภาพยนตร์
มังกรหยก คืออะไร เกี่ยวกับอะไร?
มังกรหยก เป็นนิยายชุดแนวกำลังภายใน แต่งโดย กิมย้ง ในปี 1957 มีจำนวน 3 ภาค คือ…
- มังกรหยก ก๊วยเจ๋ง ยอดวีรบุรุษ
- มังกรหยก เอี้ยก่วย เจ้าอินทรี
- ดาบมังกรหยก
เนื้อเรื่องอยู่ในช่วงยุคราชวงศ์ซ้อง เป็นยุคที่ผู้คนตกยาก ขุนนางคดโกง เกิดความวุ่นวายทั่วแผ่นดินจีน พ่อแม่ของก๊วยเจ๋ง(พระเอก) และพ่อแม่เอี้ยคัง(ตัวร้าย) ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน ทั้งคู่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นกบฎแผ่นดินจึงต้องแยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง จนกระทั้งภรรยาของทั้งสองได้ให้กำเนิดลูกชาย ก๊วยเจ๋งเกิดในแผ่นดินมองโกล ส่วนเอี้ยคังเกิดในวังของชาวนีเจิน
ทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูในสถาพแวดล้อมที่ต่างกัน ก๊วยเจ๋งถูกเลี้ยงให้กตัญญูต่อแผ่นดินจีนบ้านเกิดของพ่อ พอเติบใหญ่เขาจึงสะบั้นไมตรีต่อมองโกลที่ต้องการรุกรานแผ่นดินจีนและเดินทางฝึกวิชาเพื่อแก้แค้นให้พ่อ ในขณะที่เอี้ยคังหลงในลาภยศและอำนาจจนเข้าข้างศัตรูหรือชาวนีเจินให้ยึดครองจีน
ก๊วยเจ๋งได้พบกับ อึ้งย้ง จอมยุทธ์หญิงและได้ฝึกวรยุทธ์ด้วยกันเพื่อขับไล่กองทัพมองโกลและนีเจินไม่ให้รุกรานแผ่นดินจีน
นี่เป็นเรื่องย่อของภาคแรก ส่วนในภาคที่ 2 จะเป็นเรื่องราวของ เอี้ยก่วย ลูกชายของเอี้ยคัง ตัวร้ายภาคแรก ระยะเวลาห่างกันราวๆ 10 กว่าปี แต่ในภาคที่ 3 หรือ ดาบมังกรหยก จะห่างกันราวๆ 200 ปี
นิยายชุดมังกรหยกถือเป็นหนึ่งในนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาจนปัจจุบันเลย และยังเป็นผลงานที่ทำให้ ‘นิยายแนวกำลังภายใน’ ของจีนเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เพราะเป็นเรื่องแรกที่ได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในชื่อ “Legends of the Condor Heroes” จะเรียกว่าเป็นซอฟพาวเวอร์ที่มาก่อนกาลของจีนก็ไม่โม้เกินจริง
ความนิยมของนิยายมีมากจนได้ถูกนำไปดัดแปลงเป็นเป็นละครทีวีและหนังโรงนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่ปี 1958, 1977, 1978, 1981, 1983, 1994, 1995 และอีกหลายเวอร์ชั่นจนถึงปัจจุบัน เรียกว่ามีให้ลูกหลานดูทุกรุ่น เวอร์ชั่นที่ผมจำติดตาคงเป็นของปี 1983 ที่เขาว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุด... อย่าเข้าใจผิดผมไม่ได้แก่ขนาดนั้น(ขำ) จำได้ว่าตอนนั้นช่องทีวีสักช่องเอากลับมาฉาย เลยมีโอกาสได้ดูกับป้าที่เคยอ่านนิยายมาก่อน
แปลใหม่-ทำหนังมาแล้วไม่รู้กี่รอบ ทำไมยังขลัง?
สิ่งที่ทำให้มังกรหยกยังคงความนิยมไว้ได้ คือนิยายยังไงละครับ ถ้าไม่ดีจริงผู้กำกับหนังหลายๆ คนคงไม่แย่งกันทำหนัง-ทำละครขนาดนี้หรอก หลายสิบปีมานี้มังกรหยกได้ตีพิมพ์ใหม่ แปลใหม่มาแล้วหลายๆ ครั้ง นิยายของ อ.กิมย้ง แตกต่างจากนิยายเรื่องอื่นๆ ของจีนตรงที่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคนจีน หรือมีความรู้เรื่องวัฒนธรรมจีนก็สามารถสนุกกับมันได้ ในขณะที่นิยายเรื่องอื่นในแนวเดียวกันเลือกจะถ่ายทอดเรื่องราวของคนจีนเพื่อคนจีน แต่ อ.กิมย้ง ทิ้งขนบพวกนั้นไปแล้วถ่ายทอดเรื่องของคนจีนในแบบที่คนนอกสามารถเข้าใจได้ ซึ่งเป็นแนวทางให้นักเขียนจีนรุ่นใหม่ๆ มาถึงปัจจุบัน
เนื้อเรื่องที่มีการอ้างอิงประวัติศาสตร์ มีปมที่ลึกซึ้ง มีความซับซ้อน ไม่ใช่แค่เรื่องราวการล้างแค้นอย่างเดียว รวมถึงมีการสอดแทรกเรื่องคติ คุณธรรม และความกตัญญูต่อชาติบ้านเมืองเข้าไปด้วย ดูจากตัวพระเอกอย่างก๊วยเจ๋ง ที่เป็นคนหัวช้าและค่อนข้างไม่เอาไหน แต่เขามีความซื่อสัตย์ และไม่เคยละความพยายาม แถมยังอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้อาวุโส จนได้รับความเอ็นดูจากจอมยุทธ์ที่ประมือด้วย
อีกอย่างนั่นคือทุกครั้งที่มีการสร้างมังกรหยกเป็นละครทีวีหรือหนังใหม่ ก็จะใช้นักแสดง-ผู้กำกับ-คนเขียนบทชุดใหม่ทุกครั้ง ทำให้มีการดัดแปลงนิดๆ หน่อยๆ เพิ่มเติมเข้าจนต่างจากนิยายบ้าง รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่ทำให้หนังแต่ละเวอร์ชั่นมีความยิ่งใหญ่และสนุกไม่เหมือนกัน อย่างเช่นในเวอร์ชั่น 2025 นี้!
มังกรหยก 2025 มันเจ๋งยังไง
“มักกรหยก : จอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่” น่าจะเป็นการนำนิยายภาค 1 หรือ ก๊วยเจ๋ง ยอดวีรบุรุษ มาดัดแปลงเป็นหนังใหม่อีกครั้ง โดยภาคนี้ดูจากตัวอย่างแล้วจะเน้นเล่าเรื่องในเชิงหนังสงครามระหว่างมองโกลกับนีเจิง เพื่อแย่งชิงดินแดนจีน ก๊วยเจ๋งต้องเดินทางฝึกวรยุทธ์และรวมรวมพรรคพวกในการปกป้องแผ่นดินบ้านเกิด!
หนังเขาว่าใช้ทุนสร้างถึง 2000 ล้านบาท ดังนั้นเทคนิคพิเศษและความอลังการนี่จัดเต็มแน่นอน! แล้วหนังเรื่องนี้ยังจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ยินเสียงของ “ทีมพากย์พันธมิตร” อีกด้วย
หนังเรื่องสุดท้ายของ "ทีมพากย์พันธมิตร"
“ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร” เป็นประโยคที่ใครหลายๆ คนแค่อ่านก็ได้ยินเสียงในหัวแล้ว เพราะเป็นเสียงที่อยู่คู่หูคนไทยมากว่า 33 ปี เป็นเรื่องที่น่าใจหาย เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2568 ที่ผ่านมาได้มีงานประกาศอำลาและปิดตัว “พันธมิตร” ทีมพากย์หนังขวัญใจมหาชนข้ามยุคข้ามสมัย มีผลงานมามากกว่า 3,000 เรื่อง ทีมพากย์พันธมิตรได้รวมกลุ่มกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2535 ตั้งแต่ที่ “น้าโต๊ะ” ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าทีมยังทำงานอยู่ช่อง 3 ต่อมาก็ได้ตั้งเป็นตัวเป็นตนในปี 2538 ผลงานเรื่องแรกที่ที่มีชื่อทีมพันธมิตรเป็นผู้ให้เสียงคือหนังเรื่อง “สายไม่ลับคังคังโป้ย” ของโจว ซิงฉือ ที่ได้สร้างภาพจำ สไตล์การพากย์ มุขตลกที่คนไทยจำไม่ลืม หลังจากนั้นก็ออกผลงานมาเรื่อยๆ ทั้งหนังจีน หนังฝรั่ง หรือแม้แต่หนังอินเดีย ส่วนใหญ่จะเป็นหนังจีนที่สร้างชื่อให้พวกเขา อย่างหนังชุด เจ้าพ่อเซี่ยงไห้ ยิปมัน หรือหนังของเฉินหลง อย่างวิ่ง สู้ ฟัด จนมีคำพูดล้อติดปากคนดูว่า “นึกถึงหนังจีน นึกถึงพันธมิตร”
โดย “น้าโต๊ะ” ปริภัณฑ์ วัชรานนท์ เล่าผ่านสื่อต่างๆ ว่าจริงๆ มีแผนปิดตัวพันธมิตรมาตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีก่อนแล้ว แต่ก็เลื่อนมาเรื่อยๆ เพราะผู้ใหญ่ขอมา จนได้ฤกษ์วันนี้ สาเหตุเพราะมาถึง “จุดอิ่มตัว” และเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานมากกว่า 30 ปี ยืนยันว่าไม่มีปัญหาภายใน หลังจากนี้สมาชิกแต่ละคนก็จะแยกย้ายกันไปในทางของตัวเอง จะยังคงเป็นนักพากย์อยู่ แต่กับ “พันธมิตร” นั้นจะไม่มีอีกแล้ว…
ถึงแม้ว่าการปิดตัวทีมจะไม่ได้หมายถึงจะเลิกพากย์หนัง แต่กับฟีลลิ่งการดูหนังหลังจากนี้คงไม่เหมือนเดิมเมื่อดูหนังจีนแล้วไม่มีประโยค “ให้เสียงภาษาไทยโดย พันธมิตร” ตอนเริ่มเรื่องอีกแล้ว...คงจะเหงาหูน่าดู… แต่อย่างที่ว่าครับ! เขายุบทีม ไม่ได้เลิกพากย์! เราอาจจะยังได้ยินเสียงของพวกเขากระจายไปอยู่ตามหนังเรื่องอื่นๆ ต่อจากนี้ก็ได้… 33 ปีที่เป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้เหล่านักพากย์รุ่นใหม่ในอนาคตได้สานต่อ มั่นใจวงการนักพากย์หนังจะไม่มีวันมอดดับไปจากหูคนไทยอย่างแน่นอนครับ!
1 ความคิดเห็น
ทุนสร้าง 2,000 ล้านบาทนะคะ ใส่ตัวเลขให้ถูกด้วยค่ะ
https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/entertainment/1167620