10 เคล็ดลับปั้นนิยายให้ช่องสนใจมาซื้อไปทำซีรีส์ จาก Exclusive LIVE กับ “ใบสน” ตัวจริงสายซีรีส์

10 เคล็ดลับปั้นนิยายให้ช่องสนใจมาซื้อไปทำซีรีส์
จาก Exclusive LIVE กับ “ใบสน” ตัวจริงสายซีรีส์


สรุปเน้นๆ จากคลาสพิเศษกับ “ใบสน” ที่จะช่วยเปลี่ยนนิยายของเรา
ให้กลายเป็นบทซีรีส์ ที่โปรดิวเซอร์ต้องเหลียวมอง


*****

 

ถ้าน้องๆ เป็นนักเขียนที่ฝันอยากเห็นนิยายตัวเองกลายเป็นซีรีส์ ห้ามพลาด! 

เพราะนี่คือเคล็ดลับจัดเต็มจาก LIVE สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ “ใบสน – Jinatcha” นักเขียนนิยายและนักเขียนบทมือทองผู้มากประสบการณ์ ที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 20 ปี! เจ้าของผลงานสุดฮิตอย่าง ด้วยรักและหักหลัง, The Jungle เกมรัก นักล่า บาร์ลับ, หนังสือรุ่นพลอย และอีกมากมาย ที่ถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์สุดปังมาแล้วหลายเรื่อง

เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา เด็กดีได้จัดคลาส Workshop ออนไลน์ฟรี “จับมือเขียนนิยายให้เป็นซีรีส์ by ใบสน” ถาม – ตอบแบบสดๆ ภายในกลุ่ม “ช่วยกันเขียนนิยาย by นักเขียน Dek-D” งานนี้ “ใบสน” ได้มาเล่าเม้าให้ฟังแบบหมดเปลือก ตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนนิยายให้ขายได้ ไปจนถึงการเสนอผลงานให้ค่ายแบบมืออาชีพ

ใครที่อยากให้นิยายตัวเองได้ไปต่อแบบมืออาชีพ โปรดิวเซอร์อ่านแล้วต้องเซ็นสัญญา แอดสรุปมาให้แล้วกับ 10 เคล็ดลับเด็ดที่นักเขียนต้องรู้ก่อนเสนอขายซีรีส์! ซึ่งนี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะในคลาสจริงอัดแน่นไปด้วยความรู้เน้นๆ เข้าไปฟังในกลุ่มนักเขียน by Dek-D ได้เลย มีสไลด์ฟรีแจกด้วยนะ

เอาละ ถ้าพร้อมแล้ว เตรียมสมุดปากกาไว้จด มาอ่านให้จบ แล้วเริ่มเตรียม “นิยายของเรา” ให้พร้อมเป็นดาวเด่นบนหน้าจอกันเลย!

 

 

1. เข้าใจความต่างของ “นิยาย” กับ “บทละคร”

  • นิยาย เป็นงานเขียนเดี่ยว ความยาวไม่จำกัด เน้นบรรยายลึกถึงความคิดและอารมณ์ตัวละคร สำรวจธีมและแนวคิดที่ซับซ้อน ใช้ภาษาหลากหลายและจินตนาการได้อย่างเป็นอิสระ
  • บทละคร เป็นงานทีม มีข้อจำกัดเรื่องเวลา งบประมาณ และความเป็นจริง ต้องเล่าเรื่องผ่าน ภาพ เสียง การแสดง บทพูด ทุกอย่างต้องกระชับ และตีความได้จากสิ่งที่ “เห็น” มากกว่าสิ่งที่ “คิด”

Tips: ก่อนขายลิขสิทธิ์ ต้องคิดเสมอว่า “นิยายของเราสร้างเป็นภาพได้ไหม?” เพราะการเล่าแบบนิยาย อาจต้องปรับใหม่เกือบทั้งหมดเมื่อต้องกลายเป็นซีรีส์

 

2. นิยายทุกเรื่องขายได้ ถ้าเรา “เชื่อ” ว่ามันดีพอ

การจะเริ่มขายนิยายของตัวเองให้เป็นซีรีส์ได้ ต้องเริ่มจาก “Mindset” ที่เชื่อว่านิยายเรามีค่าก่อน

เราต้องเชื่อมั่นในผลงานตัวเอง เชื่อว่ามันดี มันสนุก มันน่าสนใจ เพราะถ้าเรายังไม่เชื่อในผลงานตัวเอง แล้วโปรดิวเซอร์ที่ไหนจะกล้าลงทุนกับมันล่ะ? นักเขียนหลายคนไม่กล้าส่งเรื่องตัวเองไป เพราะคิดว่าเรื่องเรา “ยังไม่ดีพอ” หรือ “ยังไม่ดัง” แต่ใบสนย้ำว่า “ไม่ต้องดัง ขอแค่มีจุดขาย และเรากล้าส่ง” ก็มีสิทธิ์ถูกหยิบไปต่อยอดแล้ว

Tips: อย่ารอให้ดัง อย่ารอให้พร้อม 100% ไม่มีนิยายเรื่องไหนขายไม่ได้ มีแต่นักเขียนที่ไม่กล้าเริ่มส่ง ลองมองนิยายของเราด้วยสายตาของคนที่ “อยากเล่า” ไม่ใช่แค่ “อยากขาย” แล้วเราจะพบพลังที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนั้นเอง

 

3. รู้สิทธิ์ของตัวเอง!

นิยายที่เราเขียนขึ้น ไม่ว่าจะเผยแพร่ด้วยการพิมพ์ขายเองหรืออัปออนไลน์ ถือว่าเราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติทันที นี่คือสิ่งสำคัญที่นักเขียนหลายคนไม่รู้ หรือมองข้ามไป

หลายคนพอมีคนมาขอซื้อก็รีบขายขาดทันที เพราะกลัวเสียโอกาส แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราควรขายคือ “สิทธิ์การใช้งานชั่วคราว” หรือที่เรียกว่า License เพราะเรายังเป็นเจ้าของผลงานอยู่ และสามารถนำไปใช้หรือต่อยอดได้อีกในอนาคต

แล้วทำไม License ถึงดีกว่าล่ะ?

  • เรายังเป็นเจ้าของงาน 100%
  • สามารถกำหนดเงื่อนไขได้ เช่น ใช้กี่ปี เผยแพร่ที่ไหน ดัดแปลงอะไรได้บ้าง
  • พอสัญญาหมด ก็สามารถนำไปต่อรองใหม่ หรือใช้ต่อได้อีก

แต่ถ้าเรา “ขายขาด” มันคือการยกงานให้เขาทั้งหมด ซึ่งเราจะไม่มีสิทธิ์ในงานนั้นอีกเลย แม้แต่จะเขียนภาคต่อยังไม่ได้!

Tips: อย่ารีบขายขาด เพียงเพราะกลัวพลาดโอกาสแค่ครั้งเดียว

 

4. อ่านสัญญาให้ละเอียดและกล้าคุยเรื่องเงิน

สัญญาคือตัวกำหนดอนาคตของนิยายเรา ดังนั้นก่อนเซ็นทุกครั้งต้องอ่านให้ละเอียด โดยสัญญาควรระบุให้ชัดว่า

  • ใช้สิทธิ์ได้แค่ไหน (เฉพาะละคร/ซีรีส์เท่านั้น? เฉพาะประเทศใดบ้าง?)
  • ระยะเวลาใช้งานกี่ปี
  • จะเผยแพร่ช่องทางไหน (ทีวี, ออนไลน์, โรงภาพยนตร์?)
  • ถ้ามีภาคแยกต้องขออนุญาตนักเขียนไหม?
  • ถ้าดัดแปลงอื่นๆ เช่น เกม เพลง ของสะสม รายได้จากสินค้าจะแบ่งกันอย่างไร

ที่สำคัญคือ “กล้าคุยเรื่องตัวเลข” ไม่ว่าจะเป็น ค่าลิขสิทธิ์เริ่มต้น (Lump Sum), ส่วนแบ่งรายได้จากละคร/โฆษณา/ขายสิทธิ์ต่างประเทศ รวมถึงค่าลิขสิทธิ์ต่อเนื่อง (Royalty) หากนำไปเผยแพร่ในรูปแบบใหม่ เช่น เกม หนัง จำไว้เลยว่า การกล้าคุยเรื่องตัวเลขไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด แต่คือการให้เกียรติกับตัวเองและผลงานที่เราตั้งใจสร้างค่ะ

Tips: ถ้ายังไม่แน่ใจ ให้ปรึกษาผู้รู้หรือทนายก่อนเซ็นทุกครั้ง

 

5. เช็กผู้ซื้อให้ดี อย่ารีบแค่เพราะชื่อเสียง

อย่าเห็นว่าเขามีชื่อเสียง แล้วรีบเซ็นสัญญาทันที ควรตรวจสอบประวัติให้ครบว่า

  • เคยทำงานจริงไหม?
  • ผลงานที่เคยทำมีคุณภาพหรือไม่?
  • มีเครดิตในวงการมากน้อยแค่ไหน?

เพราะบางคนซื้อไปแค่เพื่อ “ดอง” ไม่ได้มีงบ หรือไม่ได้ตั้งใจจะผลิตจริง สุดท้ายนิยายของเราจะหายไปแบบเงียบๆ ไม่มีใครได้เห็นผลงาน และเสียโอกาสไปฟรีๆ ไม่ต้องรีบนะคะ ตรวจเช็กดีๆ ก่อน

Tips: ขอให้เขาส่ง Portfolio หรือเครดิตผลงานก่อนตกลงซื้อขายทุกครั้ง

 

 

6. รู้บทบาทของตัวเองเมื่อขายนิยาย

เวลานิยายถูกซื้อไปสร้างเป็นซีรีส์ “บทบาทของนักเขียน” จะเปลี่ยนไป และต้องตกลงกันให้ชัดเจนตั้งแต่แรก เพราะแต่ละแบบมีขอบเขตไม่เหมือนกัน โดยเราสามารถมีบทบาทได้ 3 แบบ ดังนี้

  • ขายสิทธิ์แล้วไม่เกี่ยวเลย: เหมาะกับคนที่อยากจบเลย ไม่ยุ่งกับการดัดแปลง
  • ป็นที่ปรึกษา: ให้คำแนะนำเกี่ยวกับพล็อต คาแรกเตอร์ หรือโทนเรื่อง
  • ร่วมเขียนบทด้วย: ทำงานกับทีมเขียนบทจริงจัง ซึ่งเหนื่อยขึ้น แต่ได้มีส่วนกำหนดทิศทางเรื่อง และได้เครดิตท้ายเรื่องด้วย

สิ่งสำคัญคือตกลงบทบาทไว้ในสัญญาให้ชัดเจน ว่าเราจะมีส่วนร่วมแค่ไหน เพื่อกันความเข้าใจผิดหรือดราม่าในภายหลังค่ะ

Tips: บทบาทของนักเขียนขึ้นอยู่กับสัญญาระบุขายสิทธิ์ และการพูดคุยตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นทำข้อตกลง บทบาทที่นอกเหนือกว่านี้ คืออาจช่วยในเรื่องการโปรโมตลงโซเชี่ยลมีเดีย และหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งบนโลกออนไลน์จะดีที่สุด

 

7. เข้าใจ “ขั้นตอนการทำละคร” ก่อนขาย จะได้ไม่เสียรู้

ก่อนจะขายนิยายให้ใคร ต้องรู้ก่อนว่า การทำละครจริงๆ มีกระบวนการอะไรบ้าง เพราะมันไม่ใช่แค่ได้บทแล้วถ่ายเลยนะ ซึ่งการผลิตละครมี 3 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  • Pre-production: คัดเลือกเรื่อง ทีมงาน นักแสดง เขียนบทให้จบ
  • Production: ถ่ายทำจริงในสถานที่จริง ซึ่งใช้งบเยอะที่สุด
  • Post-production: ตัดต่อ ใส่เสียง ทำ CG ฯลฯ เพื่อให้ออกมาเป็นละครที่พร้อมฉาย

ถ้าเจอคนมาขอซื้อลิขสิทธิ์ แต่ยังไม่มีงบจ่าย หรือขอจ่ายทีหลัง แสดงว่ายังไม่มีทุนจริง อาจไม่ได้ผลิตแน่นอน ถ้าแบบนี้ต้องระวังไว้ให้มากๆ เลยนะคะ

Tips: ถามเลยว่า “ตอนนี้มีทีมแล้วหรือยัง? มีงบพร้อมไหม?” ถามไปเลยค่ะ ไม่ต้องเขิน เพราะมันคือสิทธิ์ของเราที่ควรรู้ ดีกว่างานเราถูกดอง หรือออกมาไม่มีคุณภาพนะ

 

8. ตั้ง “Setting” ให้โดน เลือก “Theme” ให้ชัด

เวลาเขียนนิยาย ถ้าอยากให้ถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ได้ง่ายขึ้น ต้องคิดเผื่อไว้ตั้งแต่แรกว่า ฉาก (Setting) และ แก่นเรื่อง (Theme) ของเรานั้นเหมาะกับงานโปรดักชันมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะ Setting ถ้าฉากที่เลือกยากต่อการถ่ายทำ เช่น โลกแฟนตาซี หรืออยู่ต่างประเทศ อาจทำให้ต้นทุนการผลิตสูง เพราะต้องใช้ CG เยอะ หรือเดินทางไปถ่ายทำในสถานที่จริง ซึ่งอาจทำให้เป็นอุปสรรคในการผลิตค่ะ

มาส่อง Setting ที่โปรดิวเซอร์ชอบกัน เช่น

  • สังคมเมือง: คาเฟ่ ออฟฟิศ คอนโด ฯลฯ
  • ต่างจังหวัด: มีบรรยากาศเฉพาะตัว แปลกใหม่
  • ม.ปลาย/มหาลัย: เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นง่าย

ส่วน Theme คือสารที่อยากให้คนดูได้กลับไป เช่น

  • “รักแท้คือการเสียสละ” (เหมือน Titanic)
  • “บ้านคือที่ที่เราไม่ต้องหนี” (จาก Catch Me If You Can)

Tips:

  • Setting คือ “เวที” ที่เรื่องราวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน, เมื่อไหร่, และมีสภาพแวดล้อมหรือสังคมอย่างไร
  •  
  • Theme คือ “สาร” หรือ “สิ่งที่คนดูควรได้กลับไปจากเรื่องนี้” มักเกิดจากการรวมกันของ ไอเดียและมุมมองของคนเขียน เช่น ความดีปะทะความชั่ว (Good vs Evil) หรือ ถ้ารักใครจริง… เรายอมเสียสละได้ทุกอย่าง (When you truly love someone, you're willing to sacrifice everything)

 

9. พล็อตแบบไหนที่ผู้จัดมองหา?

อยากให้นิยายโดนใจสายตาผู้จัด / โปรดิวเซอร์ ต้องเริ่มจาก “พล็อต” ที่แข็งแรงและขายได้จริงก่อนเลย เพราะนี่คือกุญแจที่ทำให้คนอ่านอยากทำต่อ และคนดูอยากดูยาวๆ ลองเช็กให้ครบตามนี้

โครงเรื่องชัด (3 องค์ / 5 องค์)

เรื่องต้องเดินเป็นเส้นตรงชัดเจน มีจุดเริ่มต้น จุดพีค และบทสรุปที่ตอบคำถามทุกอย่าง เรื่องไม่แผ่วในช่วงกลางจนคนดูหลุดโฟกัส

 

มี Conflict ตลอดเรื่อง

ความขัดแย้งคือหัวใจของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความรัก, ครอบครัว, อำนาจ หรือความลับในอดีต ต้องมี “เดิมพัน” บางอย่างที่ทำให้คนดูอยากติดตามจนจบ

 

มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน

เขียนให้ใครดู? ถ้ารู้ชัดตั้งแต่แรก เช่น วัยรุ่น, Working Woman, หรือกลุ่มผู้ใหญ่ จะช่วยให้ผู้จัดมองเห็นตลาดง่ายขึ้น

 

มี “จุดขาย” ที่แตกต่าง

ต้องมีอะไรที่น่าสนใจจนอยากหยิบไปสร้าง เช่น พล็อตไม่เหมือนใคร หรือหักมุมสุด, คอนเซปต์ใหม่ สด หรือสะท้อนสังคม, คาแรกเตอร์ตัวละครหลักมีมิติ หรือเป็นไอคอนนิค คนจดจำได้, แนวเรื่องผสมหลายแนว เช่น ดราม่าผสมไซไฟ, รักโรแมนติกในโลกธุรกิจ

Tips: นิยายที่ดีคือพื้นฐาน แต่ “นิยายที่ขายได้” ต้องมีจุดขายที่ชัด และต้องรู้ว่าเรื่องนี้เขียนให้ใครดู!

 

10. เตรียมตัวส่งนิยายให้ขายได้จริง

ก่อนจะส่งนิยายให้ค่าย ผู้จัด หรือโปรดิวเซอร์ดู อย่าพึ่งรีบแปะลิงก์นิยายอย่างเดียว เพราะเขาไม่มีเวลานั่งอ่านทั้งเรื่องแน่นอน สิ่งที่ควรเตรียมให้ครบและน่าสนใจในทันที มีดังนี้

 

เรื่องย่อ (1–3 หน้า)

สรุปให้เข้าใจทั้งพล็อต โครงสร้าง จุดหักมุม และตอนจบ (เฉลยหมดแบบไม่มีกั๊ก) เอาให้อ่านแล้วรู้เลยว่า “เรื่องนี้น่าทำเป็นซีรีส์ยังไง”

 

ตัวละครหลัก + Backstory + เป้าหมาย

ใครคือตัวเดินเรื่อง? มีภูมิหลังแบบไหน? และต้องการอะไรในเรื่องนี้? เพราะตัวละครที่ชัด ทำให้ละครมีชีวิต คนดูอินและอยากติดตาม

 

จุดขายของเรื่อง

จะเป็นพล็อตที่แปลกใหม่ คาแรคเตอร์จัดจ้าน หรือคอนเซปต์โดนใจ ขอแค่ “มีอะไรให้จดจำ” แค่นี้ก็พร้อมคว้าใจผู้จัดแล้ว

 

หลักฐานความนิยม

แนบยอดวิว ยอดแชร์ คอมเมนต์ หรือรีวิวจากนักอ่าน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือว่า “เรื่องนี้มีแฟนคลับรออยู่แล้วนะ!”

Tips: ใบสนบอกไว้ว่า “เวลาจะขายนิยาย ต้องไม่ใช่แค่เขียนเก่ง แต่ต้อง ‘พรีเซนต์เป็น’ ด้วย!” จำไว้เลย

 

 

เคล็ดลับสุดท้ายจากใบสน!

“อย่าเขียนตามกระแส เพราะวันหนึ่ง ‘กระแส’ 

จะหมุนวนกลับมาหาเรา... ถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง”

เพราะฉะนั้น แค่เราเขียนในแบบที่เป็นตัวเองอย่างมั่นใจ ผลงานของเราก็มีโอกาสเฉิดฉายได้เสมอในเวลาที่ใช่ เชื่อในสิ่งที่เขียน แล้วลงมือทำให้ดีที่สุด  ทุกคนทำได้แน่นอน!

 

*****

 

เป็นอย่างไรบ้างคะกับเคล็ดลับดีๆ วันนี้ บอกเลยว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความรู้จาก Exclusive LIVE Workshop “จับมือนักเขียน ส่งนิยายให้ขายเป็นซีรีส์ by ใบสน” ใครที่อยากดูเนื้อหาเต็มๆ โหลดสไลด์ และดูไลฟ์ย้อนหลังฟรี เข้าไปที่กลุ่มนี้ได้เลย

ช่วยกันเขียนนิยาย by นักเขียน Dek-D 

Exclusive Live

อย่าลืมกดจอยเข้ากลุ่มไว้ จะได้ไม่พลาดคลาสดีๆ แบบ Exclusive ครั้งต่อไปแน่นอน!

และถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอยากเริ่มลงมือส่งนิยาย หรืออยากฝึกเขียนเรื่องย่อแบบโปร ติดต่อทีมพี่ใบสนได้ที่ writetilllight@gmail.com นะคะ

 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น