จาก “กาหลมหรทึก” ถึง “ศพหกเหียน” การเดินทางของปราปต์สู่การพัฒนางานสืบสวนที่ซับซ้อนกว่าเดิม

จาก “กาหลมหรทึก” ถึง “ศพหกเหียน” 
การเดินทางของ “ปราปต์” 
สู่การพัฒนางานสืบสวนที่ซับซ้อนกว่าเดิม 

สวัสดีค่ะ ชาว Dek-D ทุกคน พบปะพูดคุยวันนี้เราพามาคุยกับ ปราปต์ - ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์ ผู้เริ่มต้นเส้นทางนักเขียนตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นในเว็บ Dek-D และเติบโตมาเป็นเจ้าของผลงาน “กาหลมหรทึก” นิยายสืบสวนที่คว้ารางวัลนายอินทร์อะวอร์ด และสร้างแรงสะสั่นเทือนให้วงการวรรณกรรมด้วยนิยายสืบสวนไทยแท้ที่หาอ่านได้ยากมากๆ วันนี้เขากลับมาอีกครั้งกับผลงานเรื่อง “ศพหกเหียน” นิยายเรื่องใหม่ที่อ่านได้แล้วบนเว็บ Dek-D ทั้งแบบรายตอนและอีบุ๊ก ใครที่ชอบงานสืบสวนแนวไทยๆ นี่คือจักรวาลคู่ขนานของกาหลฯ ที่คุ้มค่าสมการรอคอยแน่นอนค่ะ

หลังความสำเร็จของ กาหลมหรทึก หลายคนก็คาดหวังว่าเขาจะเขียนงานแนวนี้ออกมาอีก แต่ปราปต์กลับไม่ได้ทำตามสูตรสำเร็จเดิม เขาดูจะสนุกกับการได้ทดลองเขียนอะไรใหม่ๆ มากกว่า แต่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ก็ยังมีคนอ่านเฝ้ารอผลงานที่มีกลิ่นอายแบบกาหลฯ อยู่เสมอ จนในที่สุด เขาก็ตัดสินใจหยิบตัวละครเล็กๆ ที่โผล่มาในกาหลฯ แค่ไม่กี่หน้า มาขยายจักรวาลใหม่เป็นเรื่องราวการสืบสวนสุดเข้มข้นใน ลิงพาดกลอน ที่ใส่ทั้งความโบรแมนซ์ และกิมมิคไทยๆ ลงไป จนประสบความสำเร็จ ก่อนจะต่อยอดไปเป็น อโศกสาง และ ศพหกเหียน ซึ่งถือเป็นบทสรุปของนิยายสืบสวนเซ็ตนี้ได้อย่างน่าประทับใจเลยค่ะ

ย้อนกลับไปเมื่อ 24 ปีก่อน ปราปต์เริ่มเขียนนิยายตั้งแต่อายุ 16 ปี เขาเคยเป็นนักเขียนนิยายรักวัยรุ่นที่มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายเล่ม และลงผลงานบนเว็บเด็กดีมาตลอด จนถึงยุคของกาหลฯ หลายคนก็เริ่มจำปราปต์ในบทบาทใหม่ในฐานะนักเขียนนิยายสืบสวน ผู้ปลุกกระแสนิยายแนวสืบสวนไทยในวงการวรรณกรรม แม้ว่าเขาจะบอกว่าตัวเองมีผลงานที่มีตัวละครเป็นนักสืบเต็มตัวเพียงแค่ 4 เรื่องเท่านั้น ได้แก่ กาหลมหรทึก และอีก 3 เล่มในชุดลิงพาดกลอน ส่วนเรื่องที่เหลือเป็นแนว suspense ที่ใช้วิธีการสืบสวนเป็นเครื่องมือ มากกว่าจะเป็นตัวละครนักสืบแบบชัดเจน 

แต่ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนรูปแบบไหนก็ตาม สิ่งที่ไม่เคยหายไปจากงานของปราปต์เลยก็คือ วิธีเล่าเรื่องที่พาคนอ่านเข้าไปสำรวจพื้นที่ วัฒธรรมไทย และการตั้งคำถามกับสิ่งที่อยู่ในใจของสังคมไทย งานของเขาแสดงให้เห็นว่านิยายสืบสวนไทยยังมีพื้นที่ให้เติบโตอีกมาก ไม่ใช่แค่งานที่คลี่คลายคดีแล้วจบ แต่เป็นงานที่สะท้อนสังคมไทยในอีกมุมหนึ่งด้วย 

ตลอดเส้นทางนักเขียนหลายสิบปีที่ผ่านมา ปราปต์ได้รับรางวัลที่สะท้อนความสำเร็จมาแล้วมากมาย โดยล่าสุดเขาเพิ่งคว้า รางวัล Weibo Thailand Innovative Novelist รางวัลพิเศษที่มอบโดยทีมงาน Weibo ซึ่งอ้างอิงจากสถิติการค้นหาและกระแสตอบรับบนแพลตฟอร์ม ร่วมกับการพิจารณาของคณะกรรมการในประเทศจีน ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเขาบนเวทีนานาชาติอย่างแท้จริง (ข้อมูลวันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ งาน 2025 Weibo Cultural Exchange Night)

วันนี้ เราเลยชวนปราปต์มาพูดคุยถึงพัฒนาการในฐานะนักเขียน จากวันแรกของ กาหลมหรทึก จนถึงวันนี้ที่ ศพหกเหียน กลายเป็นบทสรุปของจักรวาลที่เขาสร้างขึ้นมา และในวันที่คนอ่านคุ้นเคยกับนิยายสืบสวนจากต่างประเทศ ปราปต์ทำยังไงให้นิยายสืบสวนไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้น และยังตรึงใจนักอ่านอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันในบทสัมภาษณ์นี้เลย 

*****

ปราปต์ - ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์
ปราปต์ - ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์

จากนักเขียน Dek-D สู่ผู้ชนะรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด

“สวัสดีครับ ปราปต์ ชัยรัตน์ พิพิธพัฒนาปราปต์ นะครับ คนส่วนใหญ่จะรู้จักปราปต์จากงานแนวสืบสวนสอบสวน อย่างเรื่อง กาหลมหรทึก, ลิงพาดกลอน, อโศกสาง และศพหกเหียน ก็จะค่อนข้างเป็นชุดเดียวกัน หรือว่างานแนววายอย่าง คุณหมีปาฏิหาริย์, คาธ ซึ่งก็ได้เป็นซีรีส์  แต่จริงๆ ปราปต์เขียนงานมาเยอะมาก แล้วก็เติบโตมาจากเด็กดีนี่แหละครับ ตอนนั้นพี่อยู่ม.ปลายแล้ว น่าจะอายุ 16 ปี ส่วนตอนนี้ก็ 39 กำลังจะ 40 ปีแล้วครับ (หัวเราะ) แก่มาก จาก 16 ถึง 40 ก็วนเวียนอยู่แถวนี้ เด็กดี 25 ปี พี่อยู่ที่นี่ 24 ปีก็อยู่นานกว่าพนักงานประจำบางคนอีก (หัวเราะ)”

“จากตอนแรกที่เขียนเรื่องแนวตลกวัยรุ่น พอเราเริ่มโตขึ้นก็รู้สึกว่าไม่อยากเขียนเรื่องตลกอะไรอย่างนี้แล้ว ไม่อยากเขียนเรื่องรักใสๆ แล้ว ก็เลยขยับไปลองเขียนเรื่องสืบสวนดู จนกระทั่งที่มาเขียนสืบสวนแบบจริงๆ ก็คือเรื่องกาหลฯ ใช่ไหม ที่เขียนตอนนั้นเป็นเพราะว่าพี่ไม่ได้ตีพิมพ์อีกเลย ที่ได้เป็นเล่มก็ประมาณ 4-5 เล่ม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ตีพิมพ์อีก แต่พี่ก็ยังเขียนในเด็กดีมาตลอดตลอด จนถึงยุคของ กาหลฯ”

“ปรากฏว่าพอเราเปลี่ยนแนวปุ๊ป สำนักพิมพ์เขาก็ไม่ได้พิมพ์แนวนี้ แล้วก็ไม่ได้ตีพิมพ์ประมาณ 7-8 ปี แต่ระหว่างนั้นก็เขียนตลอดเลยนะ เสาร์อาทิตย์ไม่ไปไหนก็เขียนหนังสือ แล้วสมัยก่อนไม่ได้เขียนแบบพิมพ์นะ คือเขียนในกระดาษก่อนค่อยเอามาพิมพ์ โดยที่คนอ่านก็มีบ้างไม่มีบ้าง แล้วก็ส่งสำนักพิมพ์ เคยส่งไปที่สำนักพิมพ์หนึ่ง บ.ก. คนนี้ตอบมาแล้วว่าไม่ผ่าน อีกหลายปีผ่านไปอยู่ดีๆ ก็มี บ.ก.อีกคนหนึ่งตอบมาว่า “ไม่ผ่านนะคะ” (หัวเราะ) ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ส่งไปใหม่นะ ก็โอเค รู้แล้วนะว่าไม่ผ่าน”

“จนเรารู้สึกว่า เฮ้ย มันนานแล้วนะที่เราไม่ได้ตีพิมพ์ เราอยากจะกลับมาตีพิมพ์ใหม่ ก่อนหน้านั้นมั่นใจในตัวเองมากว่าตัวเองเขียนดีใช่ไหม ก็เริ่มตั้งคำถามว่า ตกลงงานเรามันดีจริงๆ ไหม ทำไมไม่มีคนพิมพ์สักที ก็เลยเริ่มมองหาคนที่จะมาตัดสินเราแบบจริงๆ ก็รู้สึกว่าลองให้คนที่เป็นกรรมการทรงคุณวุฒิดูไหม ก็ลองมองหาเวทีประกวด ทั้งๆ ที่แต่แรกเป็นคนไม่เคยอ่านงานประกวด เพราะรู้สึกว่าอ่านไม่รู้เรื่อง”

“ปีนั้นก็คือโชคดีที่ทางสำนักพิมพ์อมรินทร์ตั้งนายอินทร์อะวอร์ดขึ้นมา แล้วก็ปีนั้นรับงานแนวสืบสวนสอบสวน ซึ่งพี่เป็นคนชอบอ่านแนวสืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว แล้วก็มีพล็อตที่อยู่ในใจว่าอยากลองเขียนอะไรที่เป็นกลโคลง เอามาใช้เป็นเงื่อนงำ แล้วก็โดยที่ไม่เคยเขียนเรื่องสืบสวนแบบเต็มตัว ไม่เคยเขียนเรื่องพีเรียด กาหลฯ ก็เป็นเรื่องแรก และใช้เวลาประมาณ 3 เดือนเพราะว่าเวลามันมีอยู่แค่นั้น ไม่งั้นเขาก็จะปิดรับสมัครแล้ว ก็รีบๆ เขียนแล้วก็ส่งไปที่กองประกวด แล้วก็ปรากฏว่าชนะ ก็เลยกลายเป็นว่าปราปต์เขียนเรื่องสืบสวน แล้วก็ภาพลักษณ์สืบสวนติดมาตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งๆ ที่จริงมันคือเรื่องแรกของเราเลย”

ผลงานสืบสวนไทยสุดปัง จากกาหลมรทึกถึงศพหกเหียน
ผลงานสืบสวนไทยสุดปัง จากกาหลมรทึกถึงศพหกเหียน

“กาหลมหรทึก” สะเทือนวงการนิยายสืบสวนไทย 

“พี่ว่ากาหลฯ เป็นงานชิ้นใหญ่ คือภาพของมันชัดมาก ในยุคที่กาหลฯ ออกมาแทบจะไม่มีนิยายสืบสวนไทยที่เป็นสืบสวนแบบสืบส๊วนสืบสวนเลย ปกติเรื่องสืบสวนไทยจะไปผูกกับนิยายรัก หรือนิยายผี แต่นี่คือสืบสวนที่มีการถอดรหัส มีการหยิบกลโคลงมา เป็นอิงประวัติศาสตร์อีก มันดูเป็นงานที่ใหญ่ และภาพชัดมาก เพราะว่ากาหลมหรทึกเป็นงานที่ถูกสร้างมาเพื่อตอบโจทย์ความเป็นนักอ่านสืบสวนโดยเฉพาะ คนอยากได้ทริกใช่ไหม อยากแก้รหัสลับใช่ไหม ทุกอย่างอยู่ในเรื่องนี้”

“กาหลฯ ณ วันนั้น มันเหมือนมีนักเขียนอยู่ไม่กี่คนที่เขียนอะไรแบบนี้ พอปราปต์ประสบความสำเร็จกับสิ่งนี้ ทุกคนก็เลยคาดหวังว่าปราปต์จะต้องทำสิ่งนี้อีก หลังจากนั้น พี่พยายามจะไปทำงานอย่างอื่น แต่คนก็ยังมีความคาดหวัง ทั้งๆ ที่แบบ เฮ้ย เราก็เปลี่ยนไปตั้งนานแล้วนะ แต่เขาก็ยังมีความคาดหวัง อย่างเรื่องคุณหมีปาฏิหาริย์ ซึ่งจริงๆ พี่ก็ถือว่ามันประสบความสำเร็จระดับประมาณใกล้ๆ กันนะ แต่มันก็ไม่ชัดขนาดกาหลฯ”

“หลังจากนั้น พี่รู้สึกว่าฉันอยากเขียนอะไรอย่างอื่นบ้าง คือมันอาจจะยังมีกิมมิคอะไรบางอย่างที่เราหยิบความสำเร็จจากกาหลฯ มาต่อยอดได้ แต่เราก็ไม่อยากเขียนแบบกาหลฯ แล้ว ฉันรู้สึกว่าฉันทำอะไรได้มากกว่านี้”

ปราปต์คว้า รางวัล Weibo Thailand Innovative Novelist
ปราปต์คว้า รางวัล Weibo Thailand Innovative Novelist  
ถือเป็นอีกหนึ่งรางวัลที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเขาบนเวทีนานาชาติ 
(ข้อมูลภาพจากเพจ ปราปต์)

เมื่อปราปต์พานิยายสืบสวนไทยออกจากสูตรสำเร็จเดิม 

“หลังจากที่เราได้รู้ว่า จริงๆ วรรณกรรมมันมีอะไรมากกว่านี้ พี่ก็รู้สึกว่าพี่อยากให้งานสืบสวนมีความเป็นวรรณกรรมด้วย คือสมัยก่อนงานสืบสวนก็จะวนๆ อยู่แค่นี้แหละ มันไม่ได้มีการต่อยอดไปไหนหรอก หมายความว่าเรื่องมันก็จะมีสูตรสำเร็จ เปิดมามีคนตาย จากนั้นมีคนมาสืบแล้วก็มีล่อหลอกไปว่าคนนี้เป็นคนร้ายหรือเปล่า พอเจอว่าคนนี้ไม่ร้ายนะ สุดท้ายเฉลยว่าเป็นคนนี้ แล้วก็เฉลยว่าทำไมเขาถึงทำ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนไปแค่ไหนสุดท้ายมันก็จะอยู่แค่นี้ พี่ก็จะรู้สึกอึดอัดมาก เราไม่อยากอยู่ในกล่องแค่นี้”

“คือเราพยายามจะหนีตัวเอง ทำยังไงเราให้เราเขียนเรื่องนี้แล้วมันจะไม่เหมือนเรื่องเก่า มันมีวิธีการเล่ายังไงบ้างที่แบบมันยังเป็นสืบอยู่นั่นแหละ แต่เราอาจจะไม่เน้นแบบเดิมได้ไหม เราทำยังไงให้มันพูดมากกว่าเดิมได้ อันนี้ในช่วงแรกของการทำงานนะ พี่จะมีความติดใจอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้มีใครมาด่า แต่เราแค่รู้สึกว่าแบบซ้ำอะ เราไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น” 

“เพราะฉะนั้นทุกงานของพี่ แม้แต่งานที่เป็นเซ็ตเดียวกันอย่างลิงพาดกลอน อโศกสาง ศพหกเหียน ก็จะเห็นว่ามันไม่ได้เล่าแบบเดียวกันเลย สมมติว่าลิงพาดกลอนประสบความสำเร็จ เรื่องต่อมาก็จะไม่เขียนแบบลิงพาดกลอน ก็ไปฉีกเขียนอย่างอื่น อโศกสางประสบความสำเร็จ เขียนภาคต่อ ก็ไม่ได้ทำแบบเดิมอีก ก็เป็นส่วนหนึ่งที่งานของพี่มันอาจจะไม่ได้เฟรนลี่กับนักอ่านขนาดนั้น งานของปราปต์มันจะมีความท้าทายนักอ่านในแง่ต่างๆ บางคนก็จะบอกว่า “เวลาที่จะอ่านงานของปราปต์จะต้องแบบสติดีๆ” คือมันไม่ใช่งานที่อ่านแบบเพลินๆ”

จากกาหลฯ ถึงแฟนฟิกของตัวเองในชุด ลิงพาดกลอน, อโศกสาง 

“ลิงพาดกลอนเป็นเหมือนมรดกตกทอดมาจากกาหลมหรทึกครับ เพราะว่ามันเป็นคล้ายๆ แฟนฟิกของกาหลฯ ที่คนเขียนกาหลฯ เป็นคนเขียนเอง ก็เลยหาอะไรที่เราล้อไปกับกาหลฯ ได้ ก็คือหยิบความเป็นประวัติศาสตร์ ความเป็นวัฒนธรรมจากกาหลฯ มาใช้ แล้วก็มีการหยิบตัวละครที่เป็นโบรแมนซ์จากกาหลฯ มาเป็นเหมือน alternate universe แต่จริงๆ แล้ววิธีการเล่าของลิงพาดกลอนมันก็จะเป็นงานที่เหมือนสะท้อนสังคม และพยายามตั้งคำถามบางอย่างมากกว่า พองานออกมาปุ๊ปมันก็ประสบความสำเร็จพอสมควร” 

“หลังจากลิงพาดกลอนประสบความสำเร็จแล้ว ก็คิดว่า เดี๋ยวจะเขียนภาคต่อคือเป็นคดีใหม่ แต่ก็นานมาก เว้นไปอีกประมาณ 3 ปีถึงจะได้เขียน ก็คือเรื่องอโศกสาง ทีนี้อโศกสางก็มาจากนิทานเวตาลเพราะว่าพี่ชอบนิทานเวตาลมาก พี่คิดว่า ถ้าเราเอานิทานเวตาลมาทำ แล้วงานนี้ประสบความสำเร็จ มันน่าจะทำให้คนอ่านกลับไปอ่านนิทานเวตาลได้อีก”

“แล้วพอมาเขียนอโศกสางก็ไม่เอาแบบเดิมอีก จากตอนแรกที่มันประสบความสำเร็จจากคู่โบรแมนซ์ อโศกสางกลายเป็นเรื่องที่ไม่เล่าโบรแมนซ์เกือบจะทั้งหมด เป็นการเล่าแบบไม่ใช่เรื่องสืบสวน ทั้งๆ ที่จริงมันเป็นเรื่องสืบสวนซึ่งปรากฏว่ามันก็ประสบความสำเร็จอีก อย่างอโศกสาง คือได้รางวัลในความเป็นวรรณกรรมต่างๆ ของมันอีก แต่ในขณะเดียวกัน เสียงตอบรับก็จะเริ่มมีคนด่าว่า “มันไม่เห็นเหมือนเรื่องสืบสวนเลย” คือมันกลายเป็นไปเด่นเรื่องของการสะท้อนสังคม การจิกกัดมากกว่า” 

ถึง “ศพหกเหียน” นิยายที่กลับมาสืบสวนเต็มรูปแบบอีกครั้ง

“พอมาเรื่องศพหกเหียน เราก็รู้สึกว่า เดี๋ยวเราจะเสิร์ฟเลยว่าเป็นเรื่องสืบสวนจริงๆ ในขณะเดียวกันมันก็จะไม่ได้เป็นสืบสวนแบบ old school แบบยุคคลาสสิก มันจะมีความคล้ายๆ จราชนหรือโจรกรรมอะไรบางอย่างนิดหนึ่งนะ คือตัวละครมันก็จะมีการต่อสู้กันระหว่างองค์กรใหญ่กับตัวละครที่เป็นนักสืบ”

“พอจะต้องเขียนคดีใหม่มันจะมีความยากตรงที่เราจะหยิบกิมมิคอะไรมาใช้ แล้วเราจะพูดอะไรต่อดี เพราะว่าลิงพาดกลอนก็พูดอย่างหนึ่ง และเล่าด้วยวิธีการอย่างหนึ่ง อโศกสางก็พูดอย่างหนึ่ง และเล่าด้วยวิธีการอีกอย่างหนึ่ง ก็รู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นมันควรจะเชื่อมกันด้วยเมนไอเดียนะ”

“จากตอนแรกลิงพาดกลอนมันพูดถึงเรื่องโครงสร้างทางสังคม พูดถึงระบบกฎหมาย ระบบความยุติธรรมที่ประชาชนพึ่งไม่ได้ อโศกสางมันพูดถึงสื่อ ก็คือว่าประชาชนมันพึ่งระบบความยุติธรรมไม่ได้แล้วไงมันก็เลยมาพึ่งสื่อแทน แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องเจอว่า เฮ้ย สื่อบางเจ้าก็ไม่ได้พึ่งได้ มันกลายเป็นว่าปัญหาของประชาชนมันกลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงเรตติ้งของเขา ซึ่งมันทำให้ปัญหาที่มันมีอยู่แค่หย่อมเดียวยิ่งกว้างเข้าไปอีก เรื่องสุดท้าย ศพหกเหียน มันก็จะเป็นการตอบโจทย์นั้นว่าเมื่อประชาชนไม่สามารถพึ่งกฎหมายได้ ไม่สามารถพึ่งสื่อได้ ประชาชนจะพึ่งอะไรดี มันก็จะเป็นคำตอบในส่วนนั้น คือพึ่งที่จิตใจของคุณไงล่ะ” 

“ศพหกเหียนเนี่ยเป็นงานชิ้นสุดท้ายในเซ็ตลิงพาดกลอนแล้ว ก็จะเป็นตัวปิดจบตัวละครโคร่งกับไตร ก็จะมีบทสรุปของตัวละคร บทสรุปของเมนไอเดียตั้งแต่ต้นจนจบว่าทำไมมันถึงต้องเป็นตอนจบ ทั้งๆ ที่มันก็สามารถเขียนต่อไปได้เรื่อยๆ นอกจากนั้น เรื่องนี้มันจะใช้วิธีการสืบสวนที่มันแปลกไปกว่าเรื่องอื่น คือมันจะมีนิติพฤกษศาสตร์ แล้วก็จะมีวิธีการอ่านภาษากายของมนุษย์เข้ามาร่วมด้วย คิดว่าน่าจะไม่ได้เจอบ่อยที่จะเป็นงานที่เอามาใส่ในงานสืบสวน โดยเฉพาะในงานสืบสวนไทย ก็ฝากทุกๆ คนนะครับ สามารถติดตาม จะอ่านเป็นตัวอย่างก่อนก็ได้ทางเว็บไซต์เด็กดีนะครับ แล้วก็ถ้าชอบก็สามารถซื้อเป็นรายตอนก็ได้หรือว่าซื้อเป็นอีบุ๊กทางเด็กดีก็ได้เหมือนกันครับ”

ว่าด้วยลายเซ็น “ปราปต์” ในงานสืบสวนสอบสวน 

“ก็มาจากกาหลนั่นแหละ จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นลายเซ็นอะไรหรอก แต่มันเป็นเหมือนความคาดหวังของคนอ่าน ว่าเขาอยากจะเจออะไรแบบนี้มากกว่า พี่ก็เลยรู้สึกว่าโอเค งั้นเราก็เสิร์ฟเขาในส่วนนั้น พวกแบบไทยๆ แล้วก็เล่นกับพื้นที่ที่มันเป็นสถานที่จริง ก็เอามาใส่ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว ในรายละเอียดมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คือเรามีบางอย่างที่เรารู้สึกว่าอันนี้คือปราปต์ เหมือนเสิร์ฟสิ่งที่เขาต้องการ แต่อะไรที่หนีได้พี่ก็จะหนี เพราะรู้สึกว่าจริงๆ แล้วในที่สุดอะ ความเป็นลายเซ็นต์ของปราปต์จริงๆ มันก็จะดิ้นไปเรื่อยๆ นะ”

“ภาพลักษณ์ของปราปต์มักจะติดอยู่กับความเป็นนักสืบ ทั้งๆ ที่ถ้าไปดูตามลิสต์จริงๆ ปราปต์เขียนนักสืบอยู่แค่ 4 เล่มเองนะ คือ กาหลฯ แล้วก็ชุดลิงพาดกลอน 3 เล่มนี่แหละ นอกนั้นจะเป็นแบบ suspense ที่แบบมีตัวละครบางตัวเข้ามาสืบมากกว่า จะไม่ได้ขนาดนักสืบ ไม่ได้แกะคดี แล้วก็ในความเป็นจริงแล้ว งานของพี่ถึงแม้ว่ามันจะหยิบกิมมิคอะไรบางอย่างมาต่อยอด ซึ่งกิมมิคนั้นก็คือความเป็นไทยบ้าง วัฒนธรรมบ้าง หรือการเล่นกับพื้นที่ แต่ทุกเรื่องก็จะไม่เหมือนกันนะ 

“พี่รู้สึกว่ามันเป็นการต่อยอดที่ยกระดับสังคมได้ แล้วงานตั้งแต่นั้นของพี่มันก็จะมีความเป็นแบบนี้มาเรื่อยๆ แต่ว่าช่วงหลังๆ เราก็ต้องยอมรับว่าสังคมมันเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง คนอ่านก็อาจจะไม่ได้อยากได้อะไรที่มันหนักขนาดนั้นแล้ว คนอ่านอยากได้อะไรที่ง่ายขึ้น เสพง่าย สนุกเลย พล็อตล้วนๆ ดราม่าไม่ต้อง เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป แต่ว่าโดยส่วนตัว พี่รู้สึกว่าพี่ก็ไม่ได้ กำหนดว่าตัวเองจะต้องเป็นแบบไหน แต่ว่าในที่สุด เดี๋ยวความเป็นตัวเรามันจะออกมาเอง”

สรุปบทเรียนจาก “กาหลมหรทึก” ถึง “ศพหกเหียน”

1. จากเขียนตามสัญชาตญาณ สู่การเขียนอย่างมีหลักการ เริ่มจากไม่รู้จักวรรณคดีเปรียบเทียบ ไม่รู้แม้แต่คำว่าธีมหรือเมนไอเดีย จนค่อยๆ พัฒนาการเขียนมีโครงสร้างมากขึ้น 

2. ประสบการณ์และการเรียนรู้คือเครื่องมือสำคัญของนักเขียน หลังสร้างชื่อจากกาหลฯ เริ่มหาความรู้เพิ่ม ทั้งการอ่านและการเรียน ทำให้จับโครงสร้างและพล็อตได้ชัดเจนขึ้น 

3. ข้อมูลสำคัญมาก จากที่เคยคิดว่าแค่เขียนสนุกก็พอ กลายเป็นว่าการมีข้อมูลอยู่แล้ว ช่วยให้เราเข้าใจในเรื่องราว เขียนได้ง่าย และสนุกขึ้นกว่าเดิม

4. พล็อตที่ดีเริ่มจากเมนไอเดียที่ชัดเจน ทุกวันนี้ต้องวางเมนไอเดียตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเรื่อง เพื่อให้ทุกอย่างในเรื่องเชื่อมโยงกันได้

5. ตัวละครต้องซับซ้อนและสะท้อนความเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่แค่ดีหรือร้าย แต่มีหลากหลายมุมมอง ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนมองหรือตีความ 

6. ตัวละครที่ดีต้องมีภูมิหลังที่ลึก การสร้างตัวละครทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่ตัวตนในวัยเด็ก แต่ต้องลงลึกไปถึงรากของครอบครัว พ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อให้เห็นว่าเขากลายมาเป็นแบบนี้เพราะอะไร 

7. นิยายสืบสวนคือเครื่องมือในการพูดเรื่องสังคม ไม่ใช่แค่ใครฆ่าใคร แต่คือการใช้การสืบสวนเปิดประเด็นใหม่ๆ สะท้อนความเป็นไทย และตั้งคำถามต่อสังคม

“ถ้าคุณชอบงานสืบสวน คุณต้องอ่านมันแน่นอน แต่การอ่านอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องสังเกต หาคำตอบให้ได้ว่าอะไรทำให้งานชิ้นนั้นดี อะไรที่ไม่ควรทำ คุณไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเก่งกว่าใคร แต่ถ้างานคุณดี มันจะบอกคนอื่นเองว่างานคุณมีคุณค่าแค่ไหน ในที่สุด งานจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณถูกจดจำ แม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหน แม้ใครจะพยายามเปลี่ยนน้ำเสียงของคุณ แต่งานนั้นก็ยังเป็นของคุณ”

*****

เราเชื่อว่าใครที่อ่านสัมภาษณ์มาจนถึงตอนนี้จะต้องได้แรงบันดาลใจดีๆ จากปราปต์ไปต่อยอดงานเขียนของตัวเองได้อย่างแน่นอน 

ถ้าให้เราสรุปว่า ปราปต์พานิยายสืบสวนไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้ยังไง คำตอบอาจไม่ใช่แค่การวางพล็อตที่ซับซ้อนขึ้น แต่เป็นวิธีคิดที่อยากให้งานสืบสวนไทย มีความเป็นวรรณกรรมที่สามารถนำไปต่อยอดได้

เหมือนอย่าง “กาหลมหรทึก” ที่พลิกวงการวรรณกรรมไทย ในวันที่แทบไม่มีใครเขียนแนวนี้เลย ปราปต์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นิยายสืบสวนไทยยังมีพื้นที่ให้เติบโตได้อีกมาก ไม่จำเป็นว่านิยายสืบสวนจะต้องไปผูกกับนิยายรัก หรือนิยายผี แต่เล่าแค่สืบสวนเน้นๆ พาไปถอดรหัสกิมมิคแบบไทยๆ หรืออิงประวัติศาสตร์บ้านเรา ก็ปังได้ไม่แพ้นิยายสืบสวนจากต่างประเทศเลย 

นอกจากนี้ ปราปต์ไม่ได้เดินตามรอยความสำเร็จเดิม หรือออกผลงานแนวเดิมๆ อย่างที่หลายคนคาดหวัง เขาเปลี่ยนวิธีเล่าใหม่หมด พยายามพาคนอ่านเปิดประตูบานใหม่ๆ และทำในสิ่งใหม่ๆ ให้คนอ่านลุ้นเสมอว่าวันนี้ปราปต์จะแหวกแนวไปทางไหนอีกบ้าง แล้วนิยายสืบสวนของปราปต์ ก็ไม่ได้จบอยู่แค่ใครคือคนร้ายตัวจริง เขาใช้พล็อตสืบสวนเป็นเครื่องมือสะท้อนสังคม และแฝงกิมมิคไทยๆ ขยายซอฟพาวเวอร์ไทยเข้าไปในใจคนอ่านได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย 

ใครที่มีความฝันอยากเป็นนักเขียนเหมือนปราปต์ มาเริ่มต้นเขียนนิยายเพื่อทำความฝันให้สำเร็จที่ Dek-D กัน หวังว่าคนที่เราจะได้ชวนมาคุยคนต่อไปจะเป็นคุณ แล้วเจอกันนะ ^^

พี่แนนนี่เพน

อ่านผลงานของปราปต์ได้ที่ 

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น