สวัสดีค่ะน้องๆ... ช่วงนี้ใครที่เล่นเฟซบุ๊กเป็นประจำอาจจะเห็นการประชาสัมพันธ์บนไทม์ไลน์เกี่ยวกับการรับบริจาคโลหิตในขณะนี้ เนื่องจากสภากาชาดไทยขาดแคลนโลหิตทุกกรุ๊ป มีปริมาณโลหิตที่ได้รับบริจาคเหลือเพียงวันละ 1,200 ยูนิต ในขณะที่ยอดขอใช้โลหิตจากโรงพยาบาลทั่วประเทศสูงถึงวันละ 5,000 ยูนิต
พอข่าวนี้กระจายปุ๊บ วันต่อๆ มาก็มีผู้ใจบุญไปร่วมบริจาคกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ต่อให้มีคนไปบริจาคมากแค่ไหน คลังเลือดก็ยังต้องการเลือดอยู่ตลอดเวลานะคะ เพราะฉะนั้นหากสามารถบริจาคได้ก็อยากเชิญชวนให้น้องๆ ไปบริจาคโลหิตกันสักครั้งค่ะ
เบื้องต้น พี่มิ้นท์จะขออธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บริจาคซักเล็กน้อย เผื่อหลายคนกำลังสงสัยอยู่ว่าตัวเองบริจาคได้รึเปล่า? มาเช็คพร้อมๆ กันเลยค่ะ
- อายุ 17-60 ปี หากอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม (สาวๆ หลายคนบริจาคไม่ได้เพราะข้อนี้นี่แหละ)
- ควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคเลือด และต้องนอนหลับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- ไม่อยู่ระหว่างกินยาปฏิชีวนะ และไม่อยู่ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการถอนฟัน รวมถึงไม่มีแผลสด แผลติดเชื้อตามร่างกาย
- ไม่มีโรคที่อาจถ่ายทอดไปยังผู้ป่วย
- สำหรับผู้หญิงไม่ควรเป็นช่วงที่มีประจำเดือน เพราะจะทำให้เสียเลือดซ้ำซ้อน
- ไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะน้ำนมผลิตมาจากเลือก หากบริจาคเลือดอาจทำให้น้ำหมดลดน้อยลง
คุณสมบัติที่กำหนดไว้ก็เพื่อให้ได้เลือดที่มีคุณภาพและปลอดภัยมาใช้กับผู้ป่วยและเป็นการห่วงใยสุขภาพผู้บริจาคเลือดไปในตัวด้วย เพราะถ้าผู้บริจาคเลือดร่างกายไม่พร้อมแล้วยังจะมาบริจาคเลือดอีก คนที่แย่อาจเป็นตัวเองก็ได้
ศิลปินมาบริจาคเลือด หน้าตาอิ่มสุขทุกคน
มาถึงตรงนี้น้องๆ หลายคนมีคุณสมบัติครบ ขาดแค่อย่างเดียว! คือ ความกล้า แค่เห็นเข็มกับเลือดก็อยากจะถอยหนี และจินตนาการกันไปก่อนว่าจะต้องเจ็บแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงก็อาจจะเจ็บ(พูดกันตามตรง) แต่ก็เจ็บเพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ถ้าแลกกับการได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พี่มิ้นท์ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเลยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้ช่วยชีวิตผู้อื่นซึ่งเป็นหัวใจของการบริจาคแล้ว พี่มิ้นท์จะบอกถึงข้อดีอื่นๆ เชื่อได้ถ้าได้อ่านแล้วอาจเปลี่ยนใจน้องๆ ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ให้ลุกขึ้นแล้วไปที่สภากาชาดอย่างเต็มใจได้ค่ะ :D
ข้อดีข้อที่ 1 ทำให้สุขภาพแข็งแรง
น้องๆ สงสัยกันมั้ยคะ ว่าการบริจาคเลือด เป็นการเอาเลือดออกจากตัวแล้วร่างกายจะแข็งแรงขึ้นได้ยังไง? จริงๆ เลือดที่บริจาคออกไปเป็นเลือดส่วนเกินของร่างกายค่ะ หรือประมาณ 7% ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย โดยก่อนจะบริจาคจะมีการพิจารณาจากน้ำหนักตัวของผู้ให้บริจาคก่อน ดังนั้นเลือดที่เสียไปจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาแทน ระบบไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรมตามมาค่ะ
แต่อย่าลืมว่าบริจาคเสร็จไม่ได้แข็งแรงทันทีถึงขนาดออกไปเตะบอลได้นะคะ ของเหล่านี้ต้องใช้เวลาซักเล็กน้อย ที่สำคัญเมื่อบริจาคเสร็จแล้ว น้องๆ ควรนั่งพักและทานของว่างที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ ให้ร่างกายปรับสภาพน้ำในร่างกายได้ก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับนะคะ
ข้อดีข้อที่ 2 หุ่นดี เพรียวลม ผิวเปล่งปลั่ง
มีความเชื่อผิดๆ กันอยู่อย่างนึงว่าการบริจาคเลือดจะทำให้อ้วนขึ้น ทำให้สาวๆ ไม่ค่อยกล้าบริจาค แต่จากข้อมูลของ สสวท.ได้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นความเชื่อที่ผิด การบริจาคเลือดไม่ได้ทำให้อ้วน แต่กลับทำให้ผู้บริจาคมีรูปร่างที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้เลือดใหม่ที่ถูกผลิตขึ้นรวมทั้งการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้น จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้หน้าใสขึ้นด้วยนะคะ
ไม่ต้องกินวิตามินเสริม น้องๆ ก็สามารถมีผิวพรรณสดใสได้เหมือนกันนะ^^
ข้อดีข้อที่ 3 ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ด้วย
สถาบันคาโรลินสกา สตอคโฮล์ม สวีเดน ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้บริจาคเลือดสวีเดนและเดนมาร์ค พบว่า การบริจาคเลือดช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้หลายชนิดเลยค่ะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าในรายที่มีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป มีผลต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหรือมะเร็งบางชนิด การบริจาคเลือดจะช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินเหล่านั้นออกไปได้
และที่เซอร์ไพร์สสุดๆ เลย ก็คือ ยิ่งเราบริจาคเลือดบ่อยเท่าไหร่ ความเสี่ยงโรคมะเร็งจะลดลงมากเท่านั้น โดยเฉพาะในเพศชายค่ะ แต่ความถี่ของการบริจาคเลือดระบุไว้ว่า เพศชายสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน และเพศหญิงทุก 6 เดือน ดังนั้นอย่ากลัวมะเร็งจนวิ่งบริจาคทุกเดือนนะคะ ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา
ข้อดีข้อที่ 4 มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคเลือด
ผู้บริจาคเลือดยังได้สิทธิพิเศษในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ โดย
1. ผู้บริจาคโลหิต 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้ไม่เกินร้อยละ50
2. ผู้บริจาคโลหิต 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เชน ตรวจหาน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับ การทำงานของไต เป็นต้น
3. ผู้บริจาคโลหติ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล+ ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
4. ผู้บริจาคโลหิต 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
5. ผู้บริจาคโลหิต 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ "ขอพระราชทานเพลิงศพ" ได้เป็นกรณีพิเศษ
เห็นมั้ยล่ะคะว่า การบริจาคเลือดนั้นเราไม่ได้เป็นผู้ให้เพียงอย่างเดียว แต่เรายังเป็น "ผู้รับ" ที่เกิดจากการให้ของเราเอง ยิ่งเราให้เลือดเพื่อต่อลมหายใจของเขา ก็เท่ากับยืดอายุของเรามากขึ้นด้วย เรียกว่าเป็นผลบุญติดจรวด ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าค่ะ
น้องๆ ที่มีคุณสมบัติครบ สามารถบริจาคเลือดได้ หากสนใจบริจาคสามารถไปได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยได้ทุกวัน หรือที่รถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ สำหรับน้องๆ ที่ยังบริจาคไม่ได้ ไม่ว่าจะอายุไม่ถึง น้ำหนักไม่ผ่าน หรือมีโรคประจำตัวที่ห้ามบริจาคเลือด ก็สามารถบอกต่อคนอื่นและแนะนำให้มาบริจาคเลือด แค่นี้ก็ได้บุญแล้วล่ะจ้า
ขอขอบคุณแหล่งอ้างอิงข้อมูลและรูปภาพ
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาติไทย,
http://knowledgesharing.thaiportal.net, http://fineartamerica.com,
http://bpkcsrproject.blogspot.com,
72 ความคิดเห็น
เสียใจมาก
ช่วงนี้ที่เค้าขาดเลือดกันอยู่อยากไปบริจาคมากเลยค่ะ แต่นอนไม่พอซะที เสียใจอ่ะ
ในขั้นตอนทุกอย่างที่ตรวจสอบสุขภาพอ่ะผ่านหมดเลย
พอไปนอนบนเตียงนะ เขาก็เริ่มเจาะอ่ะ แต่เลือดมันไม่ออกมา
เขาก็พยายามหาเส้นเลือดอ่ะ แบบเลื่อนเข็มเบาๆ ไปทางนี้ทีทางนั้นที
แบบว่า "เจ็บมาก"
แต่ก็หาไม่เจอ พอเขาถอดเข็มออกมาอ่ะ เขาบอกว่าเลือดเรามันไปอุดท่อถุงเก็บเลือดอ่ะ
แต่เราก็ยังคงยืนยันความคิดที่จะบริจาคอยู่ ก็เลยเปลี่ยนไปเป็นอีกข้างแทน
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พยาบาลบอกว่า"เส้นเลือดเราแตก" แบบว่าเส้นเลือดมันบวมอ่ะ
เขาก็เลยไม่เจาะให้
สุดท้าย !! เราเจ็บตัวถึงสองครั้งแถมยังไม่ได้บริจาคเลือดอีก
แต่เราก็ถามเขานะว่ายังบริจาคได้อีกหรือเปล่า และเขาก็บอกว่าได้
เราเลยตั้งใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต้องบริจาคเลือดให้ได้ 555
ถึงแม้ครั้งแรกของการบริจาคเลือดของเรานั้น มันจะเลวร้ายก็ตาม ฮ่าๆๆ
***แต่ที่เรามาเล่าไม่ได้จะมาทำให้เพื่อนๆกลัวนะ
การบริจาคเลือดมันดีนะ ได้ทำบุญด้วย ดีกับร่างกายด้วย
ที่ไปบริจาคเลือดแล้วเป็นแบบเราอ่ะมีน้อยมาก
ที่โรงเรียนเขาจะมีพยาบาลมาเจาะให้ สำหรับพี่ๆม.6
แต่ตอนนี้เราม.4 ยังมีเวลาเพิ่มน้ำหนัก ฮึบ!!
บริจาคมาครั้งที่ 3 แล้วค่ะ ตั้งแต่อายุถึง17 เราก็บริจาคทุกเกือบ4เดือนตามที่โรงเรียนประกาศมา
2ครั้งที่ผ่านมาก็ปกติดีนะ ซีดบ้างนิดหน่อยตอนที่บริจาคเสร็จแล้ว สักพักก็กลับมาปกติ
แต่คราวนี้เป็นลมเลยอ่ะ ตอนแรกนึกว่าเป็นเพราะเรารีบบีบบอลเกินไป หรืออาจจะมีส่วน? เลือดเลยไหลเวียนไม่ทัน แต่พอบ่ายมา หลังจากนอนพักบนห้องในชั่วโมงกิจกรรม ตื่นมาก็รู้ว่าตัวเองประจำเดือนมาโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เพลียมาก ตัวซีดเบาๆตลอดเวลาเลย งื้อออ..T^T
เราก็เป็นคนหนึ่งที่กลัวเข็มมาก เพราะเรามีประสบการณ์ฉีดยาตอนเด็กที่ไม่ดีเท่าไหร่
ตอนนี้ก็ยังกลัวอยู่นะ เราโดนทักว่าหน้าซีดทุกครั้งที่รอต่อเตียงบริจาคเลือด เห็นคนอื่นแล้วใจหายอ่ะ ไม่ชินสักที ทั้งที่เคยบริจาคแล้วด้วยซ้ำ แต่ใจที่อยากบริจาคทำให้เรากล้าที่จะทำ ไหนๆก็มีกรุ๊ปเลือดแห่งการให้อยู่แล้ว ก็เลยท้าทายความกล้าตัวเองสักหน่อย
ส่วนตัวคิดว่าบริจาคเลือดแล้วทำให้ผิวพรรณดีขึ้นจริงๆนะ อาทิตย์หนึ่งหลังจากบริจาคเลือด เพื่อนเราหลายคนเลยที่ดูมีออร่าขึ้น วิ้งๆอ่ะ อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน สำหรับคนที่มีคุณสมบัติที่บริจาคเลือดได้ ควรหาโอกาสบริจาคดูนะค่ะ ความสุขของผู้ให้มันเป็นอะไรที่น่าสัมผัสมากจริงๆ ^^
ปัญหาอย่างเดียวคือเราเป็นพาหะ ทาลัสซีเมีย (แบบแฝงอ่ะ) เราบริจาคไม่ได้ใช่มั้ย
(. .) อยากบริจาคบ้างจัง
ขอให้ไปช่วยกันบริจาคเยอะๆนะจ๊ะ อนุโมทนาบุญด้วยจ้า
ขาดอย่างเดียวค่ะ
ความกล้า
http://cybermondaybudget.com
http://blackfridaybudget.com
http://findbestitem.com
http://cybermondaystyle.com
http://findcheapitem.com
http://blackfridaybuysave.com
กะว่าจะไม่บริจาคแล้ว กลัว แค่เจาะปลายนิ้วก็เจ็บแล้วอ่ะ
แต่พอมาอ่านกระทู้นี้ ก็ฮึดสู้ ... อีก 1 เดือนเจอกันนะคะ สภากาชาติไทย !!!
มีคนบอกว่า ความจริงแล้วมีงานวิจัยออกมาหลายชิ้นว่า การบริจาคโลหิตบ่อยหรือมากเกินไป จะส่งผลไม่ดีต่อร่างกายในระยะยาวซึ่งค่อนข้างจะรนแรงด้วย แต่ไม่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ เพราะถ้ามีรายงานวิจัยออกมาแบบนั้น ก็จะทำให้คนกลัวที่จะไปบริจาคโลหิตกัน
แต่ไม่ว่ายังไง ก็ไปบริจาคโลหิตกันนะ