โรงน้ำชา ร้านเหล้า เรียวกังและผับบาร์ พัฒนาการที่มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด!!


โรงน้ำชา ร้านเหล้า เรียวกังและผับบาร์
พัฒนาการที่มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด!!


สวัสดีค่ะ ชาวเด็กดีไรเตอร์ทุกคน พบกันอีกครั้งกับพี่หญิง ในวันนี้ มาในหมวด "สาระวรรณกรรม" ซึ่งเป็นบทความที่ให้ประโยชน์แก่นักเขียนทุกคน ให้สามารถนำข้อมูลไปประกอบการเขียนนิยายขอตนได้ค่ะ 
พี่หญิงคิดว่าน้องๆ คงต้องอ่านหนังสือมามากมายใช่ไหมคะ และมีหลายครั้งที่ในนิยายที่เราอ่านมีฉากพระเอก นางเอก โผล่ในผับในบาร์กันรัวๆ โดยเฉพาะถ้าเป็นนิยายแนวจีนโบราณหรือญี่ปุ่น เป็นอันต้องมีฉากหอโคมเขียว โรงเตี๊ยม โรงน้ำชา โผล่มาแทบทุกครั้ง (ภาพเสี่ยวเอ๋อร์หลบลูกหลงฉากต่อสู้ที่ใต้โต๊ะ ลอยมาได้ไงไม่รู้ ฮา) ได้อ่านเจอฉากแบบนี้บ่อยๆ พี่หญิงก็เลยเกิดความสงสัยว่ากิจการเหล่านี้ มีพัฒนาการขึ้นมาได้อย่างไรนะ และเพราะอะไร นักเขียนถึงชอบเลือกมาเขียนกันนัก... สถานที่เหล่านี้พิเศษอย่างไรกันแน่  
 
และในครั้งนี้สิ่งที่พี่นำมาฝากคือพัฒนาการของโรงเตี๊ยม (ผับบาร์) ในประเทศญี่ปุ่นค่ะ เผื่อใครสนใจเขียนนิยายเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น ก็ลองมาอ่านดูนะคะ เอาข้อมูลไปเขียนนิยายได้ค่ะ ไม่หวงๆ 

ปล.พี่หญิงขอแบ่งยุคตามยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดนะคะ ^^


ยุคแรก ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
สมัยมุโระมะชิ (ค.ศ.1333-1568) 


ที่มา 
http://www.sakayanyc.com/blog/wordpress/wp-content/uploads/2007/10/dainihon-meisan-zue-sake-making.jpg
ภาพการผลิตสาเก

แรกเริ่มนั้น ประเทศญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมการดื่มชาและการดื่มเหล้ามาจากประเทศจีน โดยทางคณะทูตและการเผยแพร่ศาสนา ระยะแรก ชาและสาเกถูกใช้เพื่อในพิธีกรรมทางศาสนา การดื่มชา เหล้า มีในชนชั้นสูง ขุนนางเท่านั้น ต่อมามีการปลูกใบชาสำหรับชงดื่มกันเองภายในครอบครัว รวมทั้งหมักเหล้าดื่มเองที่เรียกกันว่า “สาเก” และเมื่อความนิยมในการดื่มชาและดื่มสาเกแพร่ขยายในสังคมมากขึ้น จึงทำให้เกิดโรงน้ำชาหรือโรงเหล้าที่จำหน่ายทั้งน้ำชาและสาเกเพื่อตอบสนองต่อความนิยมของชาวญี่ปุ่น โดยสมัยโบราณก่อน ยุคมุโระมะชิ โรงน้ำชากับร้านเหล้าไม่ได้แยกออกจากกัน โรงน้ำชาจึงมีบริการเหล้าแก่คนชั้นสูงหรือพวกนักรบ พอเข้าสู่ยุคมุโระมะชิจึงเริ่มแยกตัวออกจากกัน ก่อให้เกิดเป็น "ซากะยะ" หรือร้านเหล้า กับ "ซายะ" หรือร้านน้ำชา

บทบาทในสังคม
ชาและสาเกจะถูกใช้เพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น พิธีบวงสรวงเจ้าที่ (地鎮祭)จะมีการใช้สาเกสำหรับบวงสรวงเทพเจ้า (お神酒), เทศกาลฉลองเด็กผู้หญิง(雛祭り)มีการดื่มสาเกสีขาวที่ทำจากข้าวและข้าวมอลต์(白酒) เป็นต้น โรงน้ำจะถูกใช้เป็นที่พูดคุย พบปะ จัดการประชุมทางการเมืองและจัดงานรื่นเริงเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีระหว่างขุนนางด้วยกัน นองจากนี้ไดเมียว (เจ้าผู้ครองเมืองมีตำแหน่งรองจากโชกุน) แต่ละหัวเมืองจะให้ความคุ้มครองโรงน้ำชา ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมกำลังทางเศรษฐกิจในเขตปกครองของตนให้เข้มแข็งอีกด้วย

กลุ่มผู้ใช้บริการ
ในยุคนี้กลุ่มผู้เข้าใช้บริการจะเป็นเพียงชนชั้นสูง นักรบ ซามูไร และเป็นเพศชาย

ผู้ให้บริการ
กลุ่มผู้ให้บริการจะเป็น เอกิชา หรือบ่าวรับใช้เพศหญิง
 

าพแสดงการใช้บริการของคนชั้นสูงและการให้บริการของเกอิชา

[**เกอิชา คือผู้ให้บริการ และสร้างความบันเทิงแก่ผู้ชายที่มีอำนาจทั้งหลาย (ไม่ได้เป็นทั้งภรรยาและโสเภณี) คำว่าเก หมายถึง ศิลปะ ในภาษาญี่ปุ่น เกอิชาจะใช้ดนตรี ศิลปะ การขับร้อง หรือการร่ายรำ มาสร้างความบันเทิงแก่ผู้ใช้บริการ คำว่าเกอิชา เป็นชื่อที่คนทั่วไปรู้จัก ทว่าสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วส่วนใหญ่จะเรียกว่า "มาอิโกะ" นักร่ายรำ หรือ "เกอิโกะ" ผู้มีศิลปะ]
 
โรงน้ำชาในสมัยมุโระมะชิ แสดงให้เห็นถึงอะไรบ้าง??
ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ การแบ่งแยกชนชั้นและความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ เพราะการให้บริการของโรงน้ำชามีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน กล่าวคือผู้ที่สามารถใช้บริการได้จะต้องเป็นชนชั้นสูงและผู้ที่มีฐานะความร่ำรวยเท่านั้น โรงน้ำชาทั่วไปเพิ่งเริ่มมีในสมัยเซ็งโงคุแต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก นอกจากนี้ผู้ที่ใช้บริการส่วนมาก (แบบมากๆๆ) เป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงที่เข้าไปใช้บริการจะถูกมองไปในทางไม่ดี อีกทั้งผู้ให้บริการและความบันเทิงยังเป็นผู้หญิง ซึ่งแสดงถึงการกดขี่ทางเพศอย่างชัดเจนเลยค่ะ

(ประเทศญี่ปุ่นมีการรับอิทธิพลความเชื่อ "ขงจื้อ" มาจากจีนที่ให้ความสำคัญกับเพศชายมากกว่า นอกจากนี้ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ผู้หญิงในยุคนั้นที่ยังไม่ออกเรือนห้ามออกจากบ้าน เมื่อแต่งงานไปแล้วก็ให้อยู่แต่ในบ้านสามี)

 
ยุคที่2  ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
สมัยเอโดะ (ค.ศ.1600-1868) 

ยุคนี้เป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบศักดินามาเป็นการปกครองแบบระบอบโชกุน โดยมีไดเมียวตระกูลโทะกุงะวะเป็นผู้ปกครองและได้กำหนดนโยบาย Sankin-Koutai ที่กำหนดให้ไดเมียวของแต่ละหัวเมืองเดินทางเข้ามาพำนักในกรุงเอโดะปีเว้นปี ด้วยเหตุนี้จึงมีการพัฒนาโรงน้ำชาแบบใหม่ขึ้น จากเดิมที่ไม่มีห้องพัก ก็ได้มีการเพิ่มห้องพักเข้าไปด้วยโดยใช้ชื่อเรียกว่า "เรียวกัง" และมีการกระจายตัวตั้งอยู่บริเวณเส้นทางสัญจรของไดเมียวที่เดินทางมาเมืองหลวง รวมทั้งมีการพัฒนาร้านเหล้าสำหรับชาวบ้านที่เรียกว่า "อิซากายะ" ตามตัวเมืองหลวงและริมทางถนนสายหลักอีกด้วยค่ะ
 
[ร้าน อิซากายะ มักจะแขวนป้ายโคมแดงแทนชื่อร้านไว้หน้าร้านจนเป็นที่มาของ ร้านโคมแดงในปัจจุบัน]
 

บทบาทในสังคม

ยุคนี้นอกจากจะใช้ชาและสาเกเพื่อพิธีการทางศาสนาแล้ว ยังมีการดื่มเพื่อเป็นการเข้าสังคมและแสดงถึงฐานะที่ร่ำรวยอีกด้วย ส่วนใหญ่แล้ว โรงน้ำชามักถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงละครคาบูกิ
 

[คาบูกิ เป็นการแสดงละครการร่ายรำประกอบดนตรีของญี่ปุ่น มีพัฒนาการมาตั้งแต่สมัยเอโดะ เป็นการแสดงที่เข้าถึงประชาชนได้ง่าย ระหว่างการแสดง จะมีจัดแสดงตลกหรือที่เรียกว่า "เคียวเง็น" คั่น เพื่อเป็นผ่อนคลายความตึงเครียดจากการแสดงคาบูกิ ซึ่งระยะแรกนั้นมีผู้แสดงทั้งชายและหญิง (ผู้หญิงที่แสดงส่วนใหญ่ช่วงนั้นทำงานเป็นโสเภณีด้วย) ต่อมารัฐบาลโชกุนจึงมีการออกกฏให้นักแสดงคาบูกิเป็นเพศชายเท่านั้น (นี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดการรักร่วมเพศในญี่ปุ่นก็ได้ ถึงว่ากระแส Yaoi ถึงมาแรง อิอิ)]

กลุ่มผู้ใช้บริการ
กลุ่มผู้ใช้ เรียวกัง ส่วนใหญ่ ได้แก่ โชกุน ไดเมียว ซามุไร  ชนชั้นสูงและบรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวย ส่วนใหญ่ผู้เข้าใช้บริการมักจะเป็นเพศชาย (เพศหญิงส่วนใหญ่ที่เข้าใช้บริการ มักจะเป็นลูกสาวของบรรดาไดเมียว ที่มีความจำเป็นต้องเดินทางในสมัยเอโดะ) ชนชั้นล่างไม่สามารถเข้าใช้บริการเรียวกังได้เนื่องจากมีราคาแพง [กลุ่มคนจนและคนชั้นล่างจะดื่มกินตามร้านข้างทาง "อิซายากะ" เพราะมีราคาถูกไม่มีบริการหรูหราอะไร]

เครื่องดื่ม
นอกจากชาและสาเกแล้ว ยังมีการผลิตเหล้าแบบใหม่ขึ้น ได้แก่ บันชูอิคคงสาเก  เหล้าซากะ เป็นต้น


ยุคที่ 3 ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
สมัยเมจิ (ค.ศ.1868-1912) 

เมจิเป็นยุคที่เกิดการปฏิวัติด้วยการโค่นล้มอำนาจโชกุนโดยกลุ่มซามูไรและพ่อค้า คนกลุ่มนี้จึงได้ถูกยกระดับฐานะทางสัมคมและมีบทบาทมากยิ่งขึ้น (ก่อนการปฏิวัติพ่อค้ามีฐานะทางสังคมต่ำมาก รวมทั้งยังโดนดูถูกและกดขี่จากบรรดาชนชั้นสูงอีกด้วย) เศรษฐกิจในญี่ปุ่นในช่วงนั้นก็มีความเจริญมากขึ้นเพราะเริ่มมีการค้าขายกับตะวันตก และในยุคนี้ มีการเปิดบาร์แบบตะวันตกเป็นที่แรกชื่อว่า คามิยะบาร์

เครื่องดื่ม
คามิยะบาร์ เครื่องดื่มชื่อ Denki Bran จัดว่ามีชื่อเสียงมากที่สุด แปลตรงตัวก็คือ บรั่นดีที่ทำจากไฟฟ้า เนื่องจากในยุคนั้นญี่ปุ่นยังไม่มีบรั่นดีกลั่น แต่ได้มีการคิดค้นเครื่องดื่มที่ทำจากบรั่นดี ผ่านกระบวนการทำจากไฟฟ้า และถูกเรียกว่า "Denki Bran" เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างสูง 
 








 



ยุคที่ 4  ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1912-1989)


ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นไม่มั่นคง ส่งผลให้ธุรกิจโรงน้ำชาและร้านเหล้าเริ่มซบเซาลงมาก อัตราการใช้บริการโรงน้ำชาลดน้อยลง รัฐบาลมีการควบคุมการขนส่งธัญพืชต่างๆ โดยเฉพาะข้าว กล่าวคือผู้ผลิตต้องส่งไปยังส่วนกลางและรัฐบาล เพื่อให้รัฐบาลเป็นผู้แจกจ่ายให้แก่ประชาชน เนื่องจากข้าวที่ใช้ในการผลิตไม่เพียงพอนี่แหละก็เลยทำให้มีการผลิตเหล้าสาเกขึ้นด้วยการเติมแอลกอฮอล์ผสมเข้าไปด้วย เรียกว่า ซัมไบโซโจซุ นอกจากนี้ยังมีร้านเหล้าขนาดเล็กเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับผู้ใช้บริการอย่างกลุ่มทหาร 


เครื่องดื่ม

มีการผลิตเบียร์ยี่ห้อ Asahi, Kirin, และ Sapporo ขึ้นมาขาย
 

          
โปสเตอร์โฆษณาเบียร์ Asahi  Kirin  Sapporo


 

ยุคที่5 ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.1970-1990)

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือมีครอบครัวเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เป็นเพราะคนญี่ปุ่นอพยพเข้าสู่ตัวเมืองมาก รวมถึงญี่ปุ่นยังรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามากด้วย (เพราะเป็นช่วงที่ชาวอเมริกันเข้ามาฟื้นฟูประเทศหลังแพ้สงคราม) ยุคนี้ เป็นยุคของ "คาราโอเกะ" ค่ะ 

ลักษณะ ผับ บาร์ ในช่วงนี้
ร้านเหล้ามีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีลักษณะใกล้เคียงกับผับ บาร์ ในยุคปัจจุบัน แม้จะเป็นเพียงร้านนั่งกิน แต่ยังไม่ถึงกับเป็นผับ ก็ตาม มีการเกิดขึ้นของบาร์หรูและบาร์สำหรับคนทั่วไป รวมทั้งร้านคาราโอเกะด้วย
 

 ที่มา http://content.time.com/time/travel/cityguide/article/0,31489,1897812_1897772_1897765,00.html


ผับ บาร์ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นถึงอะไรบ้าง???

ที่เห็นชัดเจนเลย คืออิทธิพลของชาติตะวันตกที่เข้ามาในญี่ปุ่น เห็นได้จากการพัฒนารูปแบบของบาร์ให้เป็นแบบตะวันตกเพราะ มีเก้าอี้โซฟาและเคาน์เตอร์บาร์ รวมทั้งอีกหนึ่งความชัดเจนก็คือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของร้านเหล้าและการเกิดขึ้นของร้านคาราโอเกะ นั่นเป็นเพราะความเครียดของคนญี่ปุ่นในยุคนั้นเพิ่มมากขึ้น พื้นที่ร้านเหล้าและร้านคาราโอเกะเลยถูกใช้เป็นที่ปลดปล่อยความเครียด นั่นเองค่ะ


ยุคที่6 ผับบาร์และเครื่องดื่มมึนเมา
(ค.ศ.1990- ปัจจุบัน)

ยุคนี้เป็นยุคที่รุ่งเรืองสุดอะไรสุดของผับ บาร์ เพราะเกิดรูปแบบผับบาร์ที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความเครียดและความกดดันจากการเรียนหรือการทำงานที่มีการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงในสังคม รวมทั้งผู้บริโภคมีรายได้มากขึ้น จึงทำให้มีการปรับรูปแบบให้เข้ากับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภค

ลักษณะ ผับ บาร์ ในช่วงนี้
มีลักษณะคล้ายผับบาร์ที่เห็นทุกวันนี้ค่ะ และยังมีรูปแบบที่หลากหลายเช่น เกิดโฮสต์คลับบาร์สำหรับผู้หญิง หรือแม้กระทั่งบาร์เกย์ นอกจากนี้ยังเกิดคาเฟ่รูปแบบต่างๆ ขึ้นอีกด้วย และในยุคนี้นอกจากเหล้าของญี่ปุ่นแล้ว ยังมีการรับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากต่างชาติเข้ามาบริโภคในประเทศอย่างแพร่หลาย
 


Host club คลับสำหรับคุณผู้หญิง
ที่มา https://jonellepatrick.me/2013/04/02/whats-it-like-to-visit-a-host-club/
 
ผับ บาร์ ในปัจจุบันนี้ แสดงให้เห็นถึงอะไรบ้าง??

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในยุคนี้คือ การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมความคิด เช่น มีความเท่าเทียมทางเพศมากขึ้น เห็นได้จากการที่ผู้หญิงสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้ และมีบาร์เฉพาะสำหรับผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น (โฮสต์คลับ พี่หญิงอยากไปจริงๆ ค่ะ อิอิ) อีกทั้งยังมีการยอมรับเพศที่สามมากขึ้น เห็นได้จากบาร์เกย์ที่มีการขยายตัวมากมายในยุคนี้ การเปลี่ยนแปลงทางความคิดและสภาพที่หรูหรามากขึ้นของผับบาร์ แสดงให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่มั่นคงและเป็นระบบ บอกให้รู้ว่าญี่ปุ่นเดินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว 


ส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับข้อมูลคร่าวๆ ในหัวข้อเรื่องเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของผับ บาร์ รวมทั้งเครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ ที่พี่หญิงเอามาฝาก ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ใช่ไหมคะ เห็นไหมคะว่า... กว่าผับบาร์จะวิวัฒนาการมาถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย จากมุมมองของพี่หญิงเอง รู้สึกได้เลยว่า... นอกจากผับ บาร์จะเป็นสถานที่ผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ซ่อนอยู่มากมายเลยค่ะ ขอแค่เราสังกตสักนิด ก็มีโอกาสได้พล็อตนิยายที่น่าสนใจ และช่วยให้เราได้ความรู้ดีๆ ได้ด้วย 

พี่หญิงหวังว่าบทความนี้จะจุดประกายความคิดและทำให้น้องๆ ได้ทำความรู้จักผับ บาร์ในด้านอื่นๆ กันมากขึ้นนะคะ แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีค่ะ


ขอบคุณข้อมูลและเครดิตรูปภาพจาก
http://coolmaterial.com/feature/drinking-denki-bran-the-mysterious-japanese-cocktail-from-the-meiji-era/
http://www.sakayanyc.com/blog/wordpress/wp-content/uploads/2007/10/dainihon-meisan-zue-sake-making.jpg
https://ja.wikipedia.org/wiki/%E3%83%95%E3%82%A1%E3%82%A4%E3%83%AB:Kamiya_bar_at_asakusa_tokyo_at_night.JPG
https://s-media-cache-ak0.pinimg.com
https://www.pinterest.com/daikaya/contemporary-japanese-art/
http://www.moippai.com/blog/2010/01/old-japanese-kirin-and-asahi-posters/
http://www.japan50.com/2015/kamiya-bar-asakusa/
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Beer_in_Japan
https://th.wikipedia.org/wiki/เกอิชา
http://nippon-kichi.jp/article_list.do?kwd=4020
http://www.gnavi.co.jp/th/articles/cuisines/izakaya/
http://www.sessakai.com/skmpepe50.htm
http://www.japaneseprints-london.com/

พี่หญิง

พี่หญิง
พี่หญิง - Columnist มนุษย์บ้านิยายที่สิงอยู่แถวๆ คลังนิยายเด็กดีเป็นประจำ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

มัณทนา Member 6 ต.ค. 59 16:34 น. 1

นั่งดูพวกหนังจีนกำลังภายในแนวย้อนยุคทีไร แอบสงสารพวกเสี่ยวเอ๋อร์ทุกทีเลย

โรงน้ำชาพังตลอด ต้องแอบหลบใต้โต๊ะ

(ตัดฉากมาที่เสี่ยวเอ๋อร์คนหนึ่งนอนชักกระแด่วๆน้ำลายฟูมปากบนพื้นเพราะโดนลูกหลง

พร้อมสั่งเสียกับเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยว่า

"เถ้าแก่ เถ้าแก่เนี้ย พวกท่านช่วยดูแลลูกเมียของข้าด้วย ข้าน้อยขอลาก่อน อ่อก")

ถ้าเป็นพวกหนังบู๊ที่มีพล็อตเรื่องอยู่ในยุคสมัยใหม่

สงสารพวกบาร์เทนเดอร์ พนักงานเสิร์ฟ และลูกค้าคนอื่นๆ

ต้องมีฉากที่พวกพระเอก-นางเอกกับพวกตัวร้ายยิงกันและตบตีกันในผับบาร์

พวกเขาต้องวิ่งหลบหนีลูกกระสุน ฝ่าดงบาทา มือตบ เท้าตบ

0
กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

มัณทนา Member 6 ต.ค. 59 16:34 น. 1

นั่งดูพวกหนังจีนกำลังภายในแนวย้อนยุคทีไร แอบสงสารพวกเสี่ยวเอ๋อร์ทุกทีเลย

โรงน้ำชาพังตลอด ต้องแอบหลบใต้โต๊ะ

(ตัดฉากมาที่เสี่ยวเอ๋อร์คนหนึ่งนอนชักกระแด่วๆน้ำลายฟูมปากบนพื้นเพราะโดนลูกหลง

พร้อมสั่งเสียกับเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยว่า

"เถ้าแก่ เถ้าแก่เนี้ย พวกท่านช่วยดูแลลูกเมียของข้าด้วย ข้าน้อยขอลาก่อน อ่อก")

ถ้าเป็นพวกหนังบู๊ที่มีพล็อตเรื่องอยู่ในยุคสมัยใหม่

สงสารพวกบาร์เทนเดอร์ พนักงานเสิร์ฟ และลูกค้าคนอื่นๆ

ต้องมีฉากที่พวกพระเอก-นางเอกกับพวกตัวร้ายยิงกันและตบตีกันในผับบาร์

พวกเขาต้องวิ่งหลบหนีลูกกระสุน ฝ่าดงบาทา มือตบ เท้าตบ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด