หนังสือ VS ซีรี่ส์ ต่างกันอย่างไร วิเคราะห์ด่วนต้อนรับการกลับมาของซีรี่ส์ "เชอร์ล็อก 4"!


เทียบกันจะๆ
ซีรี่ส์เชอร์ล็อคของ BBC
เหมือนหรือต่างจากในหนังสือยังไง!?


 
สวัสดีค่ะชาวไรเตอร์ทุกคน! มาพบกับพี่น้ำผึ้งอีกแล้วนะคะ ขอสวัสดีปีใหม่และเริ่มต้นปี 2017 อันสดใสด้วยซีรี่ส์ฮอตฮิตสัญชาติอังกฤษอย่าง “Sherlock” จากช่อง BBC ที่ออนแอร์เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2017 ที่ผ่านมา มา รวมทั้งวันที่ 6 มกราคมเองก็เป็นวันคล้ายวันเกิดของนักสืบชื่อก้องโลกอย่าง “เชอร์ล็อค โฮล์มส์” ด้วย ทั้งหมดนี้เลยทำให้พี่ไม่พลาดที่จะนำเรื่องของเชอร์ล็อกมาฝากน้องๆ กันค่ะ

 

Sherlock Season 4 BBC
(เครดิตภาพ : https://www.facebook.com/Sherlock.BBCW)


 
หลายคนคงทราบดีว่าเรื่องราวของนักสืบหนุ่มมาดกวนผู้เป็นขวัญใจของนักอ่านทั่วโลกนั้นถูกดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ, ภาพยนตร์, ละครเวที และซีรี่ส์ โดยเฉพาะซีรี่ส์ Sherlock ที่พี่กำลังพูดถึงอยู่นี้ก็ดำเนินมาถึงซีซั่นที่ 4 อันเป็นซีซั่นสุดท้ายแล้วค่ะ ด้วยเหตุนี้เองพี่น้ำผึ้งก็อดไม่ได้ที่จะหยิบยกซีรีส์เรื่องนี้มาเทียบกับเวอร์ชั่นหนังสือดูว่าเป็นยังไง เหมือนหรือแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ซึ่งพี่น้ำผึ้งเป็นหนึ่งในแฟนคลับที่ติดซีรี่ส์เรื่องนี้มาก ขวัญใจพี่ก็คือ เบเนดิกต์ หนุ่มบริติชเสียงเท่คนนี้นี่เอง อิอิ
 

ซีรี่ส์ Sherlock จากช่อง BBC นั้นออนแอร์ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 ซึ่งผู้สร้างอย่างมาร์ค แกทิส และสตีเฟ่น มอฟเฟท ได้ดัดแปลงจากนวนิยายสืบสวนในตำนานอย่าง “เชอร์ล็อค โฮล์มส์” เขียนโดย “เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์” และพยายามทำโครงเรื่องให้คล้ายกับต้นฉบับจริงมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ด้วยฉากของเรื่องที่ดำเนินอยู่ในยุคปัจจุบันจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  และในวันนี้พี่น้ำผึ้งก็เลยนำมาเทียบกันจะๆ เลยว่าในซีรี่ส์กับในหนังสือเหมือนหรือต่างกันยังไง!? (นอกจากฉากหลังของเรื่องนะเออ) ถ้าพร้อมแล้วตามมาดูกันเลยดีกว่าเนอะ

 

Clip

Sherlock: Series 4 Teaser (Official)


 

ฉาก


แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่แตกต่างจากในหนังสือมากที่สุด เพราะเชอร์ล็อค โฮล์มส์เวอร์ชั่นหนังสือนั้นดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขณะที่ในชีรี่ส์นั้นดำเนินเรื่องอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 21 ชี้เป้าโลเคชั่นเลยว่าอยู่ที่บ้านเลขที่ 221B ถนนเบเกอร์ เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษเหมือนกันเลย

แรกเริ่มตัวละครมีการใช้โทรศัพท์ BlackBerry ในการสื่อสาร ต่อมาจึงเปลี่ยนเป็น iPhone เพื่อความทันสมัย เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้แท็กซี่แทนที่จะเป็นรถม้า มีการส่ง SMS และใช้ GPS นำทาง อีกทั้งชุดของตัวละครที่ใส่ก็ยังมีความทันสมัยด้วยค่ะ
 


โทรศัพท์ BlackBerry ที่โผล่มาในซีซั่น 2
ว่าแต่ทำไมต้องมองไอรีนแรงขนาดนั้นด้วยล่ะ XD
(ขอบคุณรูปภาพจาก : www.bbcamerica.com)
 

นอกจากนี้ถ้าใครที่เคยอ่านผลงานของเซอร์ อาเธอร์ โคนัน ดอยล์มาแล้วล่ะก็ น้องๆ จะพบว่าคนเขียนบทละครเขาทำได้เก่งมากจริงๆ ค่ะ อย่างที่เคยบอกไปว่าทางผู้สร้างพยายามทำให้คล้ายกับเวอร์ชั่นต้นฉบับจริงๆ แต่บางอย่างที่สามารถปรับได้ก็ปรับให้เนียนขึ้นเช่น ตอนเหตุอื้อฉาวในโบฮีเมีย (A Scandal in Bohemia) เวอร์ชั่นหนังสือจะเป็นรูปถ่ายของไอรีน แอดเลอร์กับกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย แต่ในซีรี่ส์จะถูกปรับเปลี่ยนชื่อตอนเป็น A Scandal in Belgravia และใช้รูปที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือแทน ซึ่งพี่คิดว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่าถ้าหากใช้รูปถ่ายที่เป็นรูปถ่ายจริงๆ เลย ก็มีโอกาสสูงที่รูปจะถูกก๊อปปี้ไปได้ง่ายๆ ในยุคนี้สมัยนี้ค่ะ นับว่าเป็นการปรับเปลี่ยนที่ฉลาดมากๆ เลยนะคะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนที่หนังสือกับซีรี่ส์เหมือนกันก็คือฉากเริ่มต้นที่หมอวัตสันเจอกับโฮล์มส์ครั้งแรก และต่อมาทั้งคู่ก็ตัดสินใจเช่าพื้นที่ชั้นสองของบ้านเลขที่ 221B อยู่ด้วยกัน เอ่อ พี่หมายถึงแชร์ห้องกันอยู่ค่ะ (อุ้ย งานจิ้นต้องมา ><)

 


ฉากสุดฮาในตำนานที่อยู่ในตอน A Scandal in Belgravia season 2
(ขอบคุณรูปภาพจาก : www.bbcamerica.com)

 

POV

สำหรับมุมมองการเล่าเรื่องในหนังสือจะใช้บุรุษที่ 1 ซึ่งก็คือคุณหมอวัตสันเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด ดังนั้นตัวตนของเชอร์ล็อคที่เราเห็นในหนังสือจะเป็นตัวตนที่วัตสัน “คิดว่า” เป็นอย่างนั้น ซึ่งมันอาจจะใช่ “ตัวตนที่แท้จริง” หรือไม่ใช่ก็ได้ค่ะ

ขณะที่มุมมองการเล่าเรื่องในซีรีส์จะใช้มุมมองบุรุษที่ 3 ซึ่งจะทำให้เรารู้เลยว่าเชอร์ล็อคกำลังคิดอะไรอยู่ และเชอร์ล็อคจะทำยังไงถึงจะไขปริศนาคดีต่างๆ ได้ เรียกว่าทั้งคนดู ทั้งนักอ่านต่างก็ร่วมด้วยช่วยกันลุ้นเลยทีเดียวค่ะ ข้อดีของการนำเสนอในมุมนี้ก็คือเรารู้จักตัวตนเชอร์ล็อคมากขึ้น เราเข้าใจอารมณ์ของตัวละครมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นมุมแข็งแกร่งหรือมุมอ่อนแอ ซึ่งไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในหนังสือนะคะ ;)

 


เชอร์ล็อค โฮล์มส์กับหมอวัตสัน
(ขอบคุณรูปภาพจาก : www.bbcamerica.com)

 

ตัวละคร

เชอร์ล็อค โฮล์มส์ รับบทโดย เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบทช์


สำหรับตัวละครนี้ แกทิสกับมอฟเฟท ผู้สร้างและผู้เขียนบทละครยังคงรักษาความเป็นเชอร์ล็อคไว้อยู่ นั่นก็คือนิสัยที่รักสันโดษ ชอบการคิดวิเคราะห์และอนุมาน มีความสามารถในการปลอมตัวเป็นเลิศ แต่ก็มักมีอารมณ์แปลกๆ เช่นบางครั้งก็ซึมเศร้า พูดน้อย บางครั้งก็ร่าเริงไปเลย

เรื่องความสามารถพิเศษของเชอร์ล็อค ถ้าหากไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะเขามีความรู้รอบตัวหลายด้านมากๆ โดยเฉพาะเคมี ฟิสิกส์ อนาโตมี และพืชมีพิษตระกูลต่างๆ แถมยังเล่นไวโอลินเก่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นความรู้ด้านดาราศาสตร์ของเชอร์ล็อคเป็นศูนย์เลยค่ะ
 


(ขอบคุณรูปภาพจาก : www.dek-d.com)
 

ในส่วนนี้ทางซีรี่ส์ได้ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ แถมยังดึงเอกลักษณ์ความเป็นเชอร์ล็อคออกมาได้ราวกับถอดแบบมาจากหนังสือเลยค่ะ ที่สำคัญการปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามยุคสมัยยังทำได้ดีด้วย ถ้าน้องๆ เคยอ่านหนังสือจะพบว่าพ่อนักสืบยอดอัจฉริยะของเราเนี่ยชอบสูบไปป์ ฉีดมอร์ฟีนที่แขนตัวเอง ในซีรี่ส์ก็แทนที่ไปป์ด้วยบุหรี่ และแทนที่มอร์ฟีนด้วยแผ่นนิโคตินค่ะ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีส่วนที่แตกต่างระหว่างหนังสือกับซีรี่ส์ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไขคดีปริศนาต่างๆ หรือจะเป็นเรื่องของระดับอารมณ์ของตัวเชอร์ล็อคเอง

เนื่องจากเชอร์ล็อคเวอร์ชั่นต้นฉบับนั้นดำเนินเรื่องอยู่ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคร่วมสมัย ขณะที่เชอร์ล็อคใน BBC เป็นยุคปัจจุบัน การสืบสวนก็ค่อนข้างแตกต่างกันเพราะเชอร์ล็อคยุคปัจจุบันนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ เช่นอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ การเรียกใช้เครือข่ายคนจรจัดก็แอบไม่ค่อยจะมีเท่าไร (ถึงมีแต่ก็ไม่บ่อยเท่าในหนังสือ) นอกจากนี้ในซีรี่ส์ยังมีการเผยแพร่คดีที่เชอร์ล็อค โฮล์มส์สืบสวนลงบนเว็บไซต์ The Science of Deductionด้วยค่ะ ขณะที่ในเวอร์ชั่นดั่งเดิมนั้นเขียนลงในสมุดบันทึกแทน แอบชี้เป้าว่ามีเว็บไซต์อยู่จริงๆ ด้วยนะคะน้องๆ จิ้มเลย
 


เชอร์ล็อค โฮล์มส์กับหมา
(ขอบคุณรูปภาพจาก : www.bbcamerica.com)

 

อีกหนึ่งความแตกต่างที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือเรื่องระดับอารมณ์และความกวนของพ่อหนุ่มนักสืบ ถ้าให้พูดกันตามจริงก็คือพี่น้ำผึ้งรู้สึกว่าเวอร์ชั่นซีรี่ส์นั้นมีความหยิ่งยโส น่าหมั่นไส้ และกวนประสาทมากกว่าในหนังสือค่ะ โดยเฉพาะในซีซั่นแรก เชอรล็อคดูใจดีกับคนที่มาขอความช่วยเหลือจากเขามากๆ ซึ่งบุคลิกนี้ไม่ค่อยจะใกล้เคียงกับในหนังสือสักเท่าไร (แม้เราจะรู้อยู่แล้วว่าลึกๆ เชอร์ล็อคเป็นคนใจดี มีเมตตาก็ตามที) ขณะในซีซั่นสองเริ่มมีความเป็นเชอร์ล็อคขึ้นอีกขั้น ซีซั่นนี้เขาจะเริ่มมีความรู้สึกบ้างแล้วแหละ อย่างน้อยก็กับไอรีน แอดเลอร์และหมอวัตสัน เราจะเริ่มเห็นดาร์คไซด์ เช่น นิสัยเห็นแก่ตัว และค่อนข้างโชว์ออฟของเขา

พอมาถึงซีซั่นสาม เขาเริ่มประกาศว่าตัวเองเป็นHigh Functioning Sociopath หรือโรคจิตประเภทหนึ่งที่ชอบใช้ชีวิตสันโดษ ไม่มีความรู้สึกอาทร ไม่สนใจผู้อื่น เป็นต้น แต่มีไอคิวที่สูงมาก และคนประเภทนี้มักจะใช้ความเป็น Sociopath ให้เกิดประโยชน์ต่องานของตัวเองค่ะ

พอเอาเข้าจริงๆ ไม่ว่าจะในหนังสือหรือในซีรี่ส์ พี่ว่าเชอร์ล็อคไม่น่าจะเป็นโรคนี้หรอกค่ะ เขาแค่เป็นคนที่มี IQ สูงกว่าคนปกติ และเก็บความรู้สึกเอาไว้มากกว่า พูดให้ง่ายก็คือเอาเหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ทั้งหมดทั้งมวลนั่นเองค่ะ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สิ่งที่พี่ชอบก็คือซีรีส์สามารถดึงบุคลิกของตัวเชอร์ล็อคออกมาได้คล้ายคลึงกับในหนังสือ (อย่างน้อยก็คล้ายกว่าหนังฮอลลิวูดล่ะนะ) และยังทำให้พี่แอบคิดว่า เชอร์ล็อค โฮล์มส์เวอร์ชั่นนี้เหมือนกับนักนิติวิทยาศาสตร์เลยค่ะ

 


หมอวัตสันในซีซั่นแรก
(เครดิตภาพ : www.bbc.com)

 

นายแพทย์จอห์น เอช. วัตสัน รับบทโดย มาร์ติน ฟรีแมน


นายแพทย์วัตสัน อดีตหมอทหารที่เกษียณตัวเองหลังกลับจากอัฟกานิสถาน หนึ่งในตัวละครสำคัญผู้มีบทบาทสำคัญมากในชีวิตของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ เขาไม่เพียงแต่เป็นเพื่อนสนิทเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งอีกด้วย

ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือเวอร์ชั่นซีรีส์นั้นนำเสนอหมอวัตสันออกมาได้เหมือนกับต้นฉบับจริงไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับว่าถอดแบบมาจากในหนังสือเลยก็ว่าได้ค่ะ ทั้งความเป็นเพื่อนที่ดี ซื่อสัตย์ รักเพื่อน เป็นห่วงเป็นใยถึงขั้นยอมตายแทนเพื่อนได้ นอกจากนี้เวลาเชอร์ล็อคมีปัญหาก็ยังเป็นที่ปรึกษาที่ดีอีกต่างหาก เรียกได้ว่าหมอวัตสันไม่เพียงแต่เป็นคู่หูดูโอช่วยไขปริศนา แต่ยังเป็นคุณพ่อที่รับมือกับเด็กมีปัญหาอย่างเชอร์ล็อค (ฮา) ซึ่งทาง BBC ทำการบ้านมาดีมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะมุขตลกหน้านิ่งๆ ของหมอวัตสันกับหลักวิชาทางการแพทย์ที่น่าสนใจจนจัดการเชอร์ล็อคได้อยู่หมัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเชอร์ล็อคถึงได้ชอบร่วมงานกับหมอวัตสัน

 


คู่หูดูโอ เชอร์ล็อคและวัตสัน
(เครดิตภาพ : https://www.facebook.com/Sherlock.BBCW)

 

ทั้งนี้ทั้งนั้นในตัวซีรี่ส์เองก็ยังมีสิ่งที่แตกต่างจากในหนังสืออยู่บ้าง เนื่องมาจากยุคสมัยในการดำเนินเรื่อง ดังนั้นการเล่าคดีของเชอร์ล็อค วัตสันจะใช้เป็นการเขียนลงบล็อกแทนการเขียนลงสมุดแบบในหนังสือ ที่สำคัญพี่ชอบมุมมองการนำเสนอของซีรี่ส์ด้วยการใส่รายละเอียดความเป็นมนุษย์บางอย่างลงไป เช่น หมอวัตสันแฉเชอร์ล็อคเรื่องที่เขาไม่มีความรู้เรื่องระบบสุริยะจักรวาลในตอน “The Great Game” มันทำให้พวกเราเห็นเลยว่าจริงๆ แล้วพ่อหนุ่มนักสืบเนี่ยก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึงนะจ๊ะ ขณะที่ในหนังสือหมอวัตสันเองทำให้นักอ่านรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ด้วยการใส่มุมมอง ทัศนคติบางอย่างลงไประหว่างการเล่าเรื่องนั่นเองค่ะ 

 


เจมส์ มอริอาร์ตี้
(เครดิตภาพ : www.bbc.com)

 

ศาสตราจารย์เจมส์ มอริอาร์ตี้ รับบทโดย แอนดรูว์ สก็อต


คู่ปรับตัวฉกาจของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ เจ้าของฉายา “นโปเลียนแห่งอาชญากรรม” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีอาชญากรรมมากมาย แน่นอนว่าเวอร์ชั่นหนังสือกับเวอร์ชั่นทีวีนี่ต่างกันสุดขั้ว ซึ่งมอฟเฟทบอกว่าจริงๆ แล้วมอริอาร์ตี้ที่เขาต้องการไม่ได้อยากจะเป็นแบบในหนังสือเท่าไร แต่เขาต้องการตัวละครที่ “โรคจิต” ขนานแท้ เพราะงั้นเวอร์ชั่นซีรี่ส์จึงเปลี่ยนไปสิ้นเชิง จากมอริอาร์ตี้ที่ดูสุขุมนุ่มนวลและติดหรูหน่อยๆ กลายเป็นมอริอาร์ตี้ยังหนุ่มยังแน่น มองดูเผินๆ เหมือนจะบ๊อง แอบคล้ายเกย์เบาๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความน่ากลัว แถมยังเป็นอาชญากรตัวเอ้เลยค่ะ
 


มอริอาร์ตี้ในมโนภาพของดอยล์ 
(ขอบคุณรูปภาพจาก : wikipedia.com)


 

มอริอาร์ตี้ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนท้ายของซีซั่นแรก มาเป็นแค่เงามืดๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เชอร์ล็อคสนใจในตัวเขา ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่เพราะว่าเชอร์ล็อคไม่สามารถไล่ล่าจับตัวมอริอาร์ตี้ได้โต่งๆ แต่เป็นเพราะสายตาของมอริอาตี้ที่มองมานั้น... ว้าว มันช่างชวนให้คนดูอย่างเราจิ้นกระจาย เอ้ยไม่ใช่ สายตาที่ดูเหงาๆ นี่แหละ มันซ่อนอะไรบางอย่างที่ลึกลับซับซ้อนและน่ากลัวไว้อยู่ ซึ่งแตกต่างจากในหนังสือ เพราะในหนังสือนั้นเป็นมอริอาตี้แก่ๆ แต่ฉลาดเป็นกรดและไม่บู๊ล้างผลาญเหมือนในซีรี่ส์

แต่ไม่เป็นไรค่ะ พี่น้ำผึ้งให้อภัย เพราะบุคลิกโรคจิตหลุดโลกของมอริอาร์ตี้นั้นทำให้เนื้อเรื่องมีความเข้มข้นและน่าติดตามมากขึ้นค่ะ

 


ไอรีน แอดเลอร์
(เครดิตภาพ : www.bbc.com)

 

ไอรีน แอดเลอร์ รับบทโดย ลอร่า พอลเวอร์


ไม่พูดถึงเธอคนนี้คงไม่ได้ ไอรีน แอดเลอร์ หญิงสาวคนเดียวที่เชอร์ล็อคให้ความสนใจ (และมีความเป็นไปได้ว่าจะตกหลุมรักด้วย) ซึ่งพี่ขอแอบมโนเลยว่าไอรีน แอดเลอร์นี่แหละคือเชอร์ล็อค โฮล์มส์เวอร์ชั่นเพศหญิงชัดๆ เพราะเธอทั้งฉลาดหลักแหลม มีเล่ห์เหลี่ยม และรู้เท่าทันนักสืบหนุ่มไปอีก

สำหรับไอรีนเวอร์ชั่นซีรี่ส์นั้นค่อนข้างจะแตกต่างจากเวอร์ชั่นหนังสือ แม้ว่าเธอจะเป็นสาวสวย มีสมองและน่าเกรงขาม แต่เวอร์ชั่นซีรี่ส์นั้นกลับสร้างให้เธอมีความเซ็กซี่ เป็นจอมวางแผนและช่างฉอเลาะ แถมยังเปลี่ยนอาชีพจากนักแสดงสวยๆ กลายมาเป็นสาวขายบริการให้ชนชั้นสูงอีกต่างหาก เรียกได้ว่าต่างกันสุดขั้วเลยค่ะ เพราะงั้นถ้าน้องๆ ดูซีรี่ส์ก็จะพบว่าไอรีน แอดเลอร์เวอร์ชั่นนี้ช่างมีความ “Dominatrix” มากเสียจริง XD

 


ไมครอฟท์ โฮล์มส์
(เครดิตภาพ : www.bbc.com)

 

ไมครอฟท์ โฮล์มส์ รับบทโดย มาร์ค แกททิส


รับบทโดยหนึ่งในคนเขียนบทละครเรื่องนี้นั่นเองค่ะ สำหรับตัวละครนี้นั้นเป็นพี่ชายของเชอร์ล็อค โฮล์มส์นั่นเอง เขาทำงานอยู่ในกระทรวงสหราชอาณาจักร แว่วมาว่ามีตำแหน่งใหญ่โตด้วย อารมณ์เหมือนกับเป็นพวกดูแลหน่วยสืบราชการลับ (ยิ่งใหญ่ไปอีก) ในเวอร์ชั่นหนังสือดูเผินๆ เหมือนไมครอฟท์จะไม่ค่อยห่วงน้องชายสักเท่าไร รักนะแต่ไม่แสดงออกงี้ แต่พอในซีรี่ส์เท่านั้นแหละค่ะ ไมครอฟท์นี่จะให้คนแอบติดตามเชอร์ล็อคเพื่อความปลอดภัยของน้องชายเขาตลอด เรียกได้ว่าทาง BBC ทำการบ้านออกมาดีมากที่ดึงมุมความซึนของพี่ชายออกมาด้วยวิธีนี้ค่ะ

 


ครอบครัว
(เครดิตภาพ : www.bbc.com)

 

คุณนายฮัดสัน รับบทโดย อูนา สตั๊บส์


เจ้าของที่พักที่เชอร์ล็อคอาศัยอยู่นั่นเอง ถ้าให้พูดกันตามจริง พี่น้ำผึ้งคิดว่าในหนังสือกับในซีรี่ส์ไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไรค่ะ เพียงแต่มิสซิสฮัดสันในซีรี่ส์นั้นจะเอ็นดูเชอร์ล็อคมากกว่าในหนังสือค่ะ และคุณนายอัดสันคนนี้นี่แหละที่ทำให้เราได้เห็นมุมอ่อนโยนของเชอร์ล็อค พร้อมกับวลีเด็ดจากปากพ่อหนุ่มนักสืบที่ว่า "Mrs.Hudson leave Baker Street? England would fall" เรียกได้ว่าสัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัวเต็มๆ เลยค่ะ

 


(เครดิตภาพ : www.bbc.com)
 

สารวัตรเลสเตรด รับบทโดย รูเพิร์ธ เกรฟ

แม้ว่าสก็อตแลนด์ยาร์ดหนุ่มจะปรากฏในหนังสือนับครั้งได้ ทว่าในซีรี่ส์กลับพบเขาได้ทุกตอนเลยแหละ เลสเตรดคอยช่วยเหลือเชอร์ล็อค โฮล์มส์เสมอ เขาเป็นเพื่อนที่ดี แม้จะมีทะเลาะกันบ้างก็ตามที เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวละครสำคัญเลยก็ว่าได้ ขณะที่ในหนังสือน่ะเหรอ เลสเตรดอ่ะนะ ลืมๆ ไปซะเถอะ ก็แค่ตัวประกอบตัวนึงที่ชอบสร้างปัญหาให้โฮล์มส์เท่านั้นแหละ

ซึ่งพี่น้ำผึ้งก็ขอบคุณเวอร์ชั่นซีรี่ส์มากๆ ที่ทำให้ตัวประกอบกลายมาเป็นตัวละครสำคัญค่ะ ทำให้การดำเนินเรื่องดูน่าตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิม
 

นอกจากนี้ในซีรี่ส์ยังเพิ่มตัวละครบางตัวขึ้นมาเพื่อเพิ่มสีสันและความเข้มข้นของเนื้อเรื่อง อย่างเช่น มอลลี่ ฮูเปอร์ คุณหมอสาวคนสวยที่คาดว่าน่าจะตกหลุมรักนักสืบหนุ่มนั่นเองค่ะ
 


(ขอบคุณรูปภาพจาก : bbc.com)

 

สำหรับเชอร์ล็อค เวอร์ชั่น BBC ก็ดำเนินมาถึงซีซั่น 4 อันเป็นซีซั่นสุดท้ายแล้ว ก็คงทำให้ใครหลายๆ คนรวมทั้งพี่ใจหายไม่น้อย ในความเห็นของพี่น้ำผึ้ง พี่คิดว่าซีรี่ส์นี้ทำออกมาได้ดีมากค่ะ เบเนดิกต์สวมบทบาทเป็นเชอร์ล็อคได้อย่างแนบเนียน ไร้ที่ติ ขณะที่ตัวของซีรี่ส์เองก็ดึงมุมมองและทักษะกระบวนการคิดของเชอร์ล็อคออกมานำเสนอให้แก่ผู้ชมได้ นับว่าเยี่ยมมากจริงๆ แล้วน้องๆ ล่ะคะ คิดว่ายังไงบ้าง อย่าลืมบอกเล่าให้พี่น้ำผึ้งฟังด้วยนะคะ แต่ก่อนจากกันขอทิ้งเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับซีรี่ส์ Sherlock จาก BBC ให้อ่านกันนิดหน่อย รับรองได้ว่าอ่านจบต้องอยากกลับไปดูแน่ๆ ส่วนวันนี้พี่ขอลาจากไปดูซีรี่ส์เชอร์ล็อคต่อก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ

 



มีความช่วยกันมุงดูด้วย
(ขอบคุณรูปภาพจาก : bbc.com)
 

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย : ว่ากันว่านี่คือซีรี่ส์ครอบครัว!!

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นน่ะเหรอ? คำตอบก็คือ คนที่รับบทเป็นแมร์รี่ ภรรยาของหมอวัตสันก็คือแฟนตัวจริงเสียงจริงของมาร์ติน ผู้ที่รับบทเป็นหมอวัตสัน เท่านั้นยังไม่พอ คนที่รับบทเป็นพ่อและแม่ของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ก็ยังเป็นพ่อแม่แท้ๆ ของเบเนดิกต์อีกด้วย!! นอกจากนั้นในซีซั่น 3 คนที่รับบทเป็นแฟนปลอมๆ ของเชอร์ล็อคก็คือแฟนเก่าของพี่เบน พีคไปอีก



 

พี่น้ำผึ้ง :)

 

Deep Sound แสดงความรู้สึก
พี่น้ำผึ้ง
พี่น้ำผึ้ง - Columnist นักเขียนที่ชอบส่งต่อพลังบวกให้ทุกคน

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Charlienna Member 6 ม.ค. 60 17:22 น. 4

ยังไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ยังมีลูกชายของ Steven Moffat คนนเขียนบทและโปรดิวเซอร์ Sherlock คือน้อง Louis Oliver Moffat แสดงเป็นเชอร์ล็อกตอนเด็กในตอน His last vow อีกด้วยค่ะ

นี่มันธุรกิจครอบครัวชัดๆ อ่ะ 55555555555

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
บั ก จ่ อ ย Member 4 ม.ค. 60 22:45 น. 3

โฮมส์กับวัตสันภาคซีชั่นน่ารักดีฮะ สองคนนี้(นักแสดง)แค่ยืนข้างๆ กันก็จิ้นแล้ว -////-

ชอบตอนที่ไอรินส่ง SMS มาหาโฮมส์แล้วตั้งเสียงเป็น..(เอิ่มเข้าใจตรงกันนะ) หมอวัตสันได้ยินละขยับหนีโฮมส์ของเราเลย " เชอร์ล็อก..นายเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม " " ไม่ใช่เฮ๊ย ! " (บทสนทนาที่ไม่มีในหนังแต่เรามโนขึ้นเอง ฮ่าๆๆ

ปล.แต่ถึงอย่างไรเราปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะยังไม่ดูจนกว่ามันจะออกครบสามตอน(คงขาดใจตายไปก่อนแหง..)

0
กำลังโหลด

6 ความคิดเห็น

กำลังโหลด
กำลังโหลด
บั ก จ่ อ ย Member 4 ม.ค. 60 22:45 น. 3

โฮมส์กับวัตสันภาคซีชั่นน่ารักดีฮะ สองคนนี้(นักแสดง)แค่ยืนข้างๆ กันก็จิ้นแล้ว -////-

ชอบตอนที่ไอรินส่ง SMS มาหาโฮมส์แล้วตั้งเสียงเป็น..(เอิ่มเข้าใจตรงกันนะ) หมอวัตสันได้ยินละขยับหนีโฮมส์ของเราเลย " เชอร์ล็อก..นายเป็นคนแบบนี้ใช่ไหม " " ไม่ใช่เฮ๊ย ! " (บทสนทนาที่ไม่มีในหนังแต่เรามโนขึ้นเอง ฮ่าๆๆ

ปล.แต่ถึงอย่างไรเราปฏิญาณกับตัวเองไว้ว่าจะยังไม่ดูจนกว่ามันจะออกครบสามตอน(คงขาดใจตายไปก่อนแหง..)

0
กำลังโหลด
Charlienna Member 6 ม.ค. 60 17:22 น. 4

ยังไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ยังมีลูกชายของ Steven Moffat คนนเขียนบทและโปรดิวเซอร์ Sherlock คือน้อง Louis Oliver Moffat แสดงเป็นเชอร์ล็อกตอนเด็กในตอน His last vow อีกด้วยค่ะ

นี่มันธุรกิจครอบครัวชัดๆ อ่ะ 55555555555

0
กำลังโหลด
หนอนไชสมอง Member 13 ม.ค. 60 07:13 น. 5

ติดเรื่องนี้จริงๆ เราสามารถดูหลายรอบมาก ย้อนกลับไปอ่านหนังสือหลายรอบ แต่ไม่สามารถกลับไปดูหนังฮอลลีวูดเรื่องนี้ได้เลย ไม่รู้ทำไม เราดูไม่จบด้วยซ้ำ-*-

0
กำลังโหลด
Yin & Yang Member 4 ก.ย. 60 21:36 น. 6

อ่านมาช่วงแรกๆ กำลังเคลิ้มและอินไปกับความสามารถของเหล่าผู้จัดทำซีรี่ส์ แต่พอมาอ่านตอนท้าย บอกได้คำเดียวว่า ตกเก้าอี้แปป

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด