'มอส' โชเฟอร์วัย 22 อดีตเด็กเกเรกลับใจ ขับแท็กซี่ส่งตัวเองเรียนหลังพ่อป่วยหนัก!



 
        สวัสดีค่า พบกับคอลัมน์เด็กพลังบวกที่จะพาน้องๆ ไปรู้จักวัยรุ่นทัศนคติดีๆ ที่จะมาสร้างแรงบันดาลใจให้เราใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ทำกิจกรรมดีๆ เพื่อตัวเองและสังคมค่ะ 
 
        เชื่อว่าหลายคนเคยเผลอใช้ชีวิตแบบผิดๆ รู้ตัวอีกทีก็เจอเรื่องร้ายๆ ที่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำของเราไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสิ่งนั้นจะกลายเป็นบทเรียนให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น อย่างเช่นเด็กพลังบวกของเราในวันนี้ค่ะ เขาคือเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่รีโนเวตตัวเองจากเด็กเกเรเที่ยวเตร่ไปวันๆ มาเป็นคนขยันที่ตั้งใจขับแท็กซี่เพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว โดยทั้งหมดนี้เขาตัดสินใจหลังจากคุณพ่อต้องเข้าผ่าตัดรักษาโรคหัวใจตีบ! ขอบอกเลยค่ะว่าชีวิตและทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าให้เทียบกับหนัง...คงเหมือนหนังที่โดนคนเขียนบทแก้พล็อตเรื่องแบบสุดขั้ว ถ้าผู้อ่านพร้อมแล้วไปรู้จักเขากันเลยดีกว่าค่ะ ^^ 

ภาพจากโพสต์ของผู้ใช้เฟซบุ๊ก Kewarin Khiawwandee ที่มีชาวเน็ตแชร์จำนวนมาก
Photo Credit: Kewarin Khiawwandee 

 
แนะนำตัวแบบหล่อๆ
 
        "สวัสดีครับ ผม 'มอส' ภวัต คำนึงสิทธิ อายุ 22 ปี ปัจจุบันเรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจการตลาด มหาวิทยาลัยรามคำแหงครับ"

        อันที่จริงก่อนหน้านี้มอสเคยเรียนอยู่คณะอุสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่เหตุผลที่ทำให้เขาต้องจำใจลาออกจากมหา'ลัยเดิมนั้นคืออะไร? ลองตามอ่านเรื่อยๆ นะคะ ^^


Photo Credit: Pawat Mos
 

ความเดิมตอนที่แล้ว "ผมเกเรจนพ่อล้มป่วย..."

        "เมื่อก่อนผมเกเรมากจริงๆ ใช้ชีวิตตามใจตัวเอง เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ขอเงินพ่อเยอะมากแบบไม่รู้ค่าของเงินเลยครับ ไม่รู้ว่าค่าเทอมที่จ่ายแต่ละครั้ง พ่อต้องอดหลับอดนอนวิ่งรถถึงเที่ยงคืนทุกวันเพื่อหาเงินมาให้ผม (การจะได้เงินวันละพัน ต้องทำงานอย่างน้อย 15 ชั่วโมง) ทำให้ท่านแทบไม่ได้กินไม่ได้นอนเลย อายุก็เกือบจะ 60 แล้ว พ่อผมเองก็คิดบวกตลอด ลึกๆ ท่านคงรู้แหละว่าผมขอเงินเยอะๆ ไปเที่ยว ไม่ได้ไปใช้เรื่องเรียนอย่างที่ผมอ้างไป แต่ท่านอยากให้ผมเปิดหูเปิดตา ถึงเหนื่อยแต่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากผมเลย"

        "...จนวันนึงท่านล้มในห้องน้ำเพราะเป็นโรคหัวใจตีบ ต้องเข้าทำบอลลูนกับทำบายพาสหัวใจ ผมว่าท่านเป็นแบบนี้เพราะผมขอเงินพ่อเยอะไปนั่นแหละ ผมทั้งไม่สบายใจ ละอายใจและสงสารพ่อ ผมคิดได้ตอนที่ท่านต้องผ่าตัดหัวใจ เลยตัดสินใจเลือกทิ้งชีวิตแบบเดิมไปครับ"


Photo Credit: Kewarin Khiawwandee 
 

อาชีพมากมาย...ทำไมต้องขับแท็กซี่?

       "หลักๆ คือผมอยากให้พ่อได้พักบ้างครับ ถ้าผมไม่ขับ พ่อก็ต้องขับเรื่อยๆ อีกไม่กี่เดือนรถพ่อก็จะปลดระวางแล้วด้วย และอีกส่วนนึงผมมองว่าการขับแท็กซี่คืออิสระที่ล้อหมุนได้เงิน น่าจะหาเงินง่าย แล้วแบ่งมาเลี้ยงครอบครัวได้ ไหนๆ ผมก็ชอบขับรถเล่นเป็นปกติอยู่แล้วด้วย ตอนนี้เรายังเป็นวัยรุ่นอยู่ แรงกำลังดีเลย (แต่จริงๆ ก็แอบปวดหลังเหมือนกันนะ555)"

        เวลาทำงานของเราเป็นยังไง? "ปกติจะวิ่งตี 5 ถึงเที่ยงคืนครับ แต่ทั้งหมดนี้คือรวมเวลาพักแล้วนะ ส่วนรายได้คงบอกยากครับ เพราะมันไม่แน่นอน อาจจะตีเป็นชั่วโมงละ 100 บาท ถ้าวิ่งตลอด คร่าวๆ วันละ 500-600 (หักค่าแก๊สแล้ว) แต่บางครั้งวิ่งไปไม่ได้คนเลย ก็เสียแก๊สฟรีๆ เหมือนกัน" 
        "ถึงมอสจะเพิ่งเริ่มขับได้อาทิตย์เดียว แต่เจอลูกค้าหลายรูปแบบมากเลยนะ ตั้งแต่ลูกค้าน่ารักๆ คุยกับเราดีๆ จนถึงลูกค้าใจร้อน สั่งให้เราแซง ตัดเข้าเลนส์นั้นเลนส์นี้ บางทีรถติดๆ ก็จะให้เราปาดหน้า มอสเองก็ห่วงเรื่องความปลอดภัย ถ้าอยากเร็ว โอเคถ้าถนนโล่งอาจทำให้ได้ แต่ถ้าอะไรที่อันตรายมอสก็อาจต้องขัดใจเขาบ้างครับ"

        เราเชื่อว่าหลายคนอาจมีประสบการณ์เรื่องแท็กซี่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเอะอะส่งรถ แก๊สหมด ฯลฯ แล้วโชเฟอร์มอสเป็นแบบนั้นด้วยรึเปล่า? "ผมพยายามไม่ปฏิเสธผู้โดยสารนะ เพราะคิดว่าถ้ามิเตอร์ได้กดคือได้ตังค์ ยกเว้นว่าเราไม่รู้จักทางตรงนั้นเลย กลัวลูกค้าจะเสียเวลาแล้วหงุดหงิด อาจต้องปฏิเสธไปบ้างเพราะเหตุผลนี้ครับ"

ปรับตัวแบบสายฟ้าแลบ

        ถ้าอ่านถึงตรงนี้แล้วจะเห็นเลยว่าทั้งชีวิตและทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปมาก อยากรู้ว่ามอสใช้เวลาปรับตัวนานแค่ไหน? "ทำงานวันแรกนี่กลัวมากครับ อายเพื่อนกลัวเจอเพื่อนนิดหน่อย กลัวพาลูกค้าไปหลงด้วย 555 พอผ่านเข้าวันที่สองเริ่มชินเพราะมีปัจจัยเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง เราเลยต้องหันหัวรถเข้ากรุงเทพฯ และวันที่สาม ผมเริ่มสนุกกับการหาเงิน รู้ว่าจะคุยกับลูกค้าแต่ละแบบยังไงบ้าง"

        "ผมเป็นคนปรับตัวเร็วในระดับนึงครับ ไม่งั้นจะอยู่ไม่ได้ อย่างถ้าวันไหนผมหยุดวิ่ง ค่าใช้จ่ายที่มาจ่ออยู่ตรงหน้าทุกวันมันจะกลายเป็นดินพอกหางหมู ทุกอย่างเลยต้องอาศัยความขยันล้วนๆ เลยครับ"


Photo Credit: Kewarin Khiawwandee 
 

        อีกหนึ่งวิธีปรับตัวของมอสคือการลาออกที่เดิมเพื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเปิด อย่าง ม.รามคำแหง "ออกมหา'ลัยเดิมเพราะถ้าอยู่ต่อจะหาเงินไม่ได้ครับ ไหนจะค่าเทอม ค่าหอ ค่ากินอีก ถ้าเรียนรามฯ ก็ดีที่ใช้การอ่านหนังสือไปสอบ ทุกวันนี้เวลาพักรถก็จะเอาเวลามาอ่านหนังสือ ไม่ได้มาตะบี้ตะบันอ่านเหมือนเมื่อก่อน อ่านทุกวันดีกว่าอ่านรวดเดียว ถ้าถามว่าเสียดายมหา'ลัยเดิมไหม...ก็เสียดายนะ เพราะผมก็เป็นคนนึงที่อยากจบเกษตรฯ เหมือนกัน"

 
บทเรียนใหม่จากชีวิตนอกห้องเรียน

        "พอมาทำงาน มอสได้รู้คุณค่าของเวลามากขึ้น ได้ใช้เวลาเพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเอง หาเงินเข้าบ้าน ได้พาพ่อแม่ไปกินอะไรอร่อยๆ ได้ใช้เวลาร่วมกัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้นเยอะเลยครับ เพราะก่อนหน้านี้เวลาที่บ้านขาดเงินจะเครียด พ่อเองบอกว่าสบายใจมากที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้"

        "ส่วนนิสัยใช้เงิน เมื่อก่อนใช้ไม่คิดเลย หมดก็ขอๆ เดี๋ยวนี้รู้คุณค่าของเงินแล้ว ไม่เชิงประหยัดอะไรมากมายหรอก แต่กินเป็นมื้อ จากมื้อละ 300 มาเดี๋ยวนี้กินแค่อิ่ม อาหารตามสั่งอะไรก็ว่าไป ทุกวันนี้ใช้วันนึงไม่เกิน 200 บาท นอกจากเรื่องนี้ผมก็รู้จักการพูดคุยปรับตัวเข้าหาคนมากขึ้น และรู้จักเส้นทางมากขึ้นครับ"


ความฝันที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง

        ก่อนหน้านี้มอสเล่าว่าเขาใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ทุกวันนี้..."ผมอยากเรียนให้จบแล้วหางานดีๆ ทำ อยากมีงานประจำที่มั่นคง เพราะเอาจริงๆ นะ งานตอนนี้เราต้องเสี่ยงอันตรายบนท้องถนน เหมือนหย่อนขาข้างนึงไปไว้ในโลง แถมร้อยพ่อพันแม่ขับรถไม่เหมือนกันด้วย จะเกิดอุบัติเหตุตอนไหนก็ไม่รู้ ระหว่างนี้ทำไปก่อนให้มีเงินแบบพอมีพอกิน"

        แล้วมอสเล็งงานสายไหนไว้? "ผมสนใจการตลาดนะ อยากมีธุรกิจส่วนตัว อย่างเช่นมีหอพักเป็นของตัวเอง ได้ดูแลห้องพัก ปล่อยเช่า หรือไม่ก็ธุรกิจด้านการท่องเที่ยวครับ"
 

อดีตเด็กเกเรขอทิ้งท้าย

        "อยากให้รักพ่อแม่เยอะๆ ครับ อย่าเกเรเหมือนผม เชื่อไหมครับถ้าวันนั้นมูลนิธิมาช่วยพ่อไม่ทัน หรือคุณหมอวินิจฉัยโรคช้าไปนิดเดียว พ่อผมไปเลยนะ และถ้าใครมีโอกาสได้เรียนอย่างเต็มที่ ตั้งใจเรียนให้จบนะครับ"


        ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะที่คนๆ หนึ่งจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เด็ดขาดขนาดนี้ สุดยอดและเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ เลยค่ะ คราวนี้พี่อยากชวนให้น้องๆ ชาว Dek-D ลองทบทวนว่าเรากำลังมองข้ามคุณค่าของตัวเราและคนรอบข้างอยู่รึเปล่า ถ้านึกออกแล้ว พี่อยากให้ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนแปลงดูทีละนิด ถ้าตั้งใจจริงๆ สักวันจะต้องสำเร็จ อย่ารอให้เวลาผ่านไปจนแก้ไขไม่ทันนะคะ ^^ 
 
อย่าลืมย้อนอ่านเด็กพลังบวกคนก่อนหน้านะคะ ><
"กอล์ฟ" เด็ก ม.6 กับพรแสวงด้านศิลปะ
ผู้ใช้เวลาแค่ 15 นาทีวาดภาพเพื่อเทิดพระเกียรติ ร.9
 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด