สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงตัวละครผีสุดเฮี้ยนที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคนแล้วล่ะก็ พี่หมิวเชื่อว่าชื่อของ ‘เคาท์แดร็กคูล่า’ จะต้องผุดมาเป็นอันดับแรกๆ แน่นอน ว่าแต่น้องๆ ทราบมั้ยว่าเบื้องหลังตัวตนที่แท้จริงของตำนานผีดูดเลือดสุดคลาสสิกของฝรั่งที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร และนิยายเป็นจำนวนมากเนี่ย แท้จริงแล้วแดร็กคูล่ามีตัวตนจริงหรือไม่? และถ้าคำตอบคือ "ใช่" แล้วเขาเป็นใครกันแน่? ยิ่งคิดตามก็ยิ่งสงสัยใช่มะ? เอาเป็นว่าเรามาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันดีกว่า...
ตำนานแดร็กคูล่าเกิดขึ้นที่โรมาเนีย
ภาพของแดร็กคูล่าที่ใครหลายๆ คนน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีนั้นคงจะเป็นภาพชายวัยกลางคนผิวขาวซีดๆ มีเขี้ยวที่เอาไว้ดูดเลือด สวมเสื้อคลุมสีดำแดง แปลงร่างเป็นค้างคาวได้ ซึ่งจากการที่พี่ไปสืบเสาะหาข้อมูลมาแล้วพบว่าเรื่องนี้อาจมีเค้าความจริงอยู่บ้าง เพราะมีข้อมูลปรากฏว่าต้นกำเนิดของแดร็กคูล่าอันโด่งดังนั้นมาจากประเทศโรมาเนียนั่นเองค่ะ
สาเหตุที่โรมาเนียเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานผีดูดเลือดสุดคลาสสิคนี้ ก็เพราะนักเขียนชาวไอริช 'บราม สโตกเกอร์' (Bram Stoker) ผู้แต่งนิยายเรื่อง 'แดร็กคูล่า' (Dracula) เป็นเรื่องราวของผีดูดเลือดในโรมาเนียที่จะเดินทางไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อที่จะขยายเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดของตัวเอง นิยายเล่มนี้โด่งดังจนกลายมาเป็นตำนานจนถึงปัจจุบันค่ะ ทว่าความน่าสนใจของตำนานนี้ อยู่ที่ความตั้งใจของบรามที่อยากให้เรื่องที่เขียนออกมาสมจริงมากที่สุด จึงหยิบเอาตัวละครเคาท์แดร็กคูล่ามาจากเจ้าชายแห่งโรมาเนียที่ชื่อว่า 'เจ้าชายวลาดที่ 3' แห่งแคว้นวาลาเคีย (Wallachia) ทรานซิลเวเนีย หรือ วลาดิสลาฟ ดรากูล มาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน แถมยังกล่าวถึงสถานที่ต่างๆ ในโรมาเนียประกอบเหตุการณ์ในเนื้อเรื่อง ทั้งที่เจ้าตัวคนไม่เคยเดินทางไปโรมาเนียมาก่อนด้วยซ้ำ แต่กลับทำให้คนอ่านอินไปด้วยได้ เจ๋งสุดๆ เนอะว่ามั้ย?
เจ้าชายวลาด แห่งโรมาเนีย
แล้วเจ้าชายวลาดเป็นใครกัน? พระองค์เป็นบุตรของ 'วลาด ดรากูล ที่ 2' (Vlad II Dracul) จริงๆ แล้วในภาษาโรมาเนียน คำว่า 'Dracul' แปลว่า Devil หรือ Demon ที่แปลว่าปีศาจในภาษาอังกฤษนั่นเองค่ะ เจ้าชายวลาดและพ่อของเค้าเป็นสมาชิกของสมาคมมังกร (Order of Dragon) ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อพิทักษ์และปกป้องศาสนาคริสต์จากพวกเติร์ก (อิสลาม)
เจ้าชายวลาดแห่งแคว้นวาลาเคีย เป็นทั้งนักรบและนักปกครองที่เก่งกาจ แต่ก็มีความโหดเหี้ยมอยู่ภายในตัว พระองค์เกิดและใช้ชีวิตทั้งหมดอยู่ในช่วงสงคราม ในช่วงนั้นโรมาเนียจะต้องต่อสู้เพื่อต่อต้านการโจมตีของพวกเติร์กที่เข้ามารุกราน ทำให้เจ้าชายวลาดต้องทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง พระองค์เป็นที่เลื่องลือในฝีมือการรบมากๆ รวมไปถึงความกล้าบ้าบิ่น และความโหดเหี้ยมอีกด้วย
เจ้าชายวลาดโหดเหี้ยมจนได้ฉายา ‘วลาด จอมเสียบ’
พระองค์เป็นที่รู้จักดีในฉายา "วลาด จอมเสียบ" (Vlad the Impaler) ทุกครั้งเวลาไปออกรบแล้วได้ตัวเชลยกลับมา พระองค์จะเอาเชลยพวกนั้นเสียบไม้แบบทะลุร่างตั้งแต่รูทวารทะลุไปถึงปากเลยค่ะ ซึ่งเป็นการเสียบประจานเอาไว้เพื่อให้นกกามาจิกทึ้งร่างจนเสียชีวิตไปเองในที่สุด โดยพระองค์มีความเชื่อว่าเป็นการข่มขวัญให้พวกศัตรูเกรงกลัวต่ออำนาจของพระองค์นั่นเอง
แน่นอนว่าความโหดร้ายของพระองค์นั้นได้แพร่หลายออกไปสู่สาธารณะชน จนได้ฉายาว่า 'เจ้าชายผู้กระหายเลือด' บ้างก็บอกว่าท่านดื่มเลือดของพวกศัตรู เอาขนมปังจิ้มเลือดแล้วกิน หรือแม้แต่กินเนื้อคนก็มี นอกจากนี้ พระองค์ยังชอบทานอาหารท่ามกลางบรรยากาศของเชลยที่ถูกเสียบประจานไว้อีกด้วยค่ะ (สยองสุดๆ TT) และความโหดร้ายของพระองค์นี้จึงเป็นที่มาให้นักเขียนนิยายอย่าง 'บราม สโตกเกอร์' นำเจ้าชายวลาดมาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งนิยายเรื่องเคาท์แดร็กคูล่าของเค้านั่นเอง
ปราสาทเจ้าชายวลาดกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
เอาเข้าจริงๆ ตอนแรกๆ คนโรมาเนียก็ไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ ที่มาปรักปรำเจ้าชายผู้ซึ่งเก่งกาจการรบผู้ที่เป็นฮีโร่ของพวกเขาว่าเป็นพวกผีดูดเลือด แต่พอเวลาผ่านไป กลับกลายเป็นว่าปราสาทของเจ้าชายวลาดได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญมากๆ ในประเทศโรมาเนีย จนได้ชื่อว่าเป็น 'ปราสาทของแดร็กคูล่า'
ปราสาทแบรน (Bran castle) แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1211 แท้จริงแล้วปราสาทไม่ได้เป็นปราสาทของแวมไพร์หรือแดร็กคูล่าแต่อย่างใด แต่สร้างเพื่อเป็นที่พักของคนในราชวงศ์ที่รวมถึงเจ้าชายวลาดด้วยเท่านั้น แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวที่ชอบในเรื่องลี้ลับจำนวนมากอยากมาพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า ปราสาทของเจ้าชายผีดูดเลือดหน้าตามันเป็นยังไง เลยทำให้ปราสาทนี้กลายเป็นสถานที่ติดท็อปที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวโรมาเนีย (บอกเลยว่าโกยเงินมหาศาลเข้าประเทศเขาเลยทีเดียวค่ะ)
ทว่าความงงงวยก็เกิดขึ้นเพราะเกิดเรื่องก็พลิกล็อกอีกรอบ เนื่องจากมีคนออกมาเปิดเผยว่า ปราสาทแบรน (Bran castle) แห่งนี้ไม่เคยเป็นที่อยู่ของเจ้าชายวลาด พระองค์เพียงแค่เคยมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างก็ตาม อำนาจแห่งความฮิตของนิยายชื่อดังของ บราม ที่ได้หยิบเอาปราสาทแห่งนี้มาเป็นที่อยู่ของท่านเคาท์แดร็กคูล่าในนิยาย ก็ได้ทำให้คนติดภาพจำไปว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งพำนักของเจ้าชายผีดูดเลือดไปซะแล้วล่ะค่ะ
พอทราบข้อมูลเบื้องหลังของนิยายเรื่องนี้ไปแล้ว ก็พอสรุปได้อยู่นะคะว่าแดร็กคูล่านั้นมีเค้าโครงของเรื่องมาจากบุคคลและสถานที่ในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าชาวโรมาเนียจะแบนความเชื่อเรื่องผีดูดเลือดไปเลย เพราะในสมัยโบราณก็มีข้อมูลปรากฏว่าถ้าเกิดมีการสงสัยกันว่าใครเป็นพวกผีดูดเลือดขึ้นมาล่ะก็ คนที่โชคร้ายคนนั้นจะต้องโดนเอากระเทียมยัดปากแล้วเผาทั้งเป็นเหมือนการล่าแม่มดเชียวล่ะ ซึ่งวิธีสันนิษฐานของเขาก็มีหลายแบบซะเหลือเกิน ตั้งแต่ไม่มีเงาในกระจก กลัวกระเทียม กลัวแสงแดด มีผิวขาวซีด มีเขี้ยวยาวเอาไว้ดูดเลือดเพื่อเป็นอาหารและยาอาวุวัฒนะ หรือจะแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ก็มีค่ะ (เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชมด้วยนะจ๊ะ :3)
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับเรื่องราวของเคาท์แดร็กคูล่าที่พี่เอามาฝากกันวันนี้? ถ้าน้องๆ คนไหนอยากเห็นบรรยากาศของปราสาทสุดสยองที่เป็นต้นกำเนิดของ ‘แดร็กคูล่า’ ก็ลองไปดูกันได้ที่ประเทศโรมาเนียนะคะ แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า บั้ยบายยย!
Sources:
history.howstuffworks.com/history-vs-myth/real-count-dracula2.htm
3 ความคิดเห็น
ที่ประเทศโรมาเนียมีตำนานแวมไพร์อยู่จริง
แต่ไม่ใช่ท่านเคาท์แดร็กคูล่าตามเนื้อเรื่องในนิยายของบราม สโตเกอร์ค่ะ
แวมไพร์ตามความเชื่อของชาวโรมาเนียเป็นพวกหมอผีที่ยังมีชีวิตอยู่ ชื่อ
ซตีกอย (Strigoi) แวมไพร์เพศชายและซตีโกอิค่า (Strigoacia) แวมไพร์เพศหญิง
เพราะคำว่า Vampire ในภาษาโรมาเนียนใกล้เคียงกับคำว่า "หมอผี"
//จดๆๆ...
น่ากลัวง่ะ
ขอบคุณ