สวัสดีค่าชาว Dek-D อย่างที่หลายๆ คนรู้กันดีว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นพัฒนาได้แบบก้าวกระโดดตั้งแต่สมัยหลังสงคราม จนกลายมาเป็นประเทศแนวหน้าในด้านเทคโนโลยี ซึ่งส่วนนึงนั้นเป็นผลมาจากการที่ญี่ปุ่นแปลตำราต่างชาติทุกชนิด และหอแปลตำราที่ว่านั้นก็พัฒนามาเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศอย่าง University of Tokyo นั่นเองค่ะ เรียกได้ว่าประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากๆ เพราะฉะนั้นวันนี้พี่เยลลี่จะพาน้องๆ ไปรู้จักกับมหาวิทยาลัยนี้กันให้มากขึ้น ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ!
University of Tokyo หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อ “โทได” (มาจากตัวหน้าของคำว่า Tokyo Daigaku หรือมหาวิทยาลัยโตเกียว) ได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น และเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลกด้วยเช่นกัน ที่นี่เปิดสอนทั้งหมด 10 คณะ มีบัณฑิตวิทยาลัยอีก 15 แห่ง และสถาบันวิจัยหลายด้าน เรียกได้ว่าครอบคลุมแทบทุกสาขาวิชาเลยค่ะ ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเองก็แข่งขันกันเพื่อเข้าเรียนต่อที่นี่ในอัตราที่สูงมากก นอกจากนี้ที่นี่ยังมีวิทยาเขตถึง 5 แห่ง ที่ย่านฮงโง, โคะมะบะ, คะชิวะ, ชิโระคะเนะ และนะกะโนะด้วย
สำหรับศิษย์เก่าของที่นี่ก็ดังและปังไม่แพ้กันค่ะ มหาวิทยาลัยโตเกียวผลิตบัณฑิตคุณภาพมากมาย มีศิษย์เก่าที่เคยได้เป็นนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถึง 6 คน มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ สถาปนิกชื่อดัง นักเขียนรางวัลโนเบล หรือแม้แต่สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ ซึ่งเป็นจักรพรรดินีของญี่ปุ่นปัจจุบันก็จบจากที่นี่ค่ะ นอกจากนี้ยังมีคนไทยหลายคนเลยที่เรียนจบจากโทได ซึ่งแต่ละคนก็กลับมาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหรือดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์กรประเทศไทยทั้งสิ้น
และอย่างที่พี่ได้เกริ่นไปในตอนแรกว่ามหาวิทยาลัยโตเกียวมีประวัติความเป็นมายาวนานและน่าสนใจมาก สามารถย้อนไปได้ถึงสมัยเอโดะที่ยังมีโชกุนปกครองอยู่ด้วยซ้ำค่ะ ในช่วงนั้นที่ญี่ปุ่นมี Astronomy Agency เป็นองค์กรที่ศึกษาความรู้ในเรื่องของดาราศาสตร์และจัดทำปฏิทินเป็นหลัก แต่ในขณะเดียวกันก็มีการศึกษาและวิจัยความรู้ทางฝั่งตะวันตกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดตั้ง Western Books Translation Agency หรือหน่วยแปลขึ้นภายในองค์กร
ป้ายชี้สถานที่ตั้งในอดีตของ Institute for the Study of Barbarian Books
Photo Credit: https://en.wikipedia.org/
จนมาถึงในช่วงท้ายยุคเอโดะ คนเริ่มให้ความสำคัญกับความรู้ตะวันตกมากขึ้น ดังนั้นงานแปลและวิจัยจึงเริ่มเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์ความต้องการนี้จึงได้มีการพัฒนาหน่วย Western Books Translation Agency มาเป็น Institute for the Study of Barbarian Books โดยโฟกัสในด้านการศึกษาและวิจัยของตะวันตกโดยเฉพาะ หนังสือที่แปลหลักๆ ก็จะเป็นหนังสือภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันค่ะ
หลังจากนั้นก็มีการปฏิรูปสถาบันอีกหลายๆ ครั้ง และท้ายที่สุดก็พัฒนามาเป็น Tokyo Kaisei School ซึ่งในยุคเมจิ (เทียบเท่ากับสมัยร.5 ของประเทศไทย) Tokyo Kaisei School ได้รวมตัวกับ Tokyo Medical School และกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยโตเกียวนั่นเองค่ะ แรกเริ่มนั้นมีทั้งหมด 4 คณะด้วยกัน ได้แก่นิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และแพทยศาสตร์ โดยหนังสือที่เคยแปลมาทั้งหมดก็ตกทอดมาจนถึงมหาวิทยาลัย ที่น่าสนใจคือมีการแปลหนังสือของไทย 1 เล่ม เรื่องการวางระบบล้อเลื่อนแบบใหม่ เขียนโดยหลวงวิฑูรวิธีกลในสมัยร.5 ปัจจุบันหนังสือนี้อยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวค่ะ
ประวัติความเป็นมาของมหาวิทยาลัยน่าสนใจมากกก ส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็คือการแปลความรู้และวิทยาการจากภาษาต่างประเทศมาเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้นนี่แหละค่ะ ยิ่งปัจจุบันที่สถาบันแปลกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศยิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นสถาบันที่มีความสำคัญมากจริงๆ
Sources:
0 ความคิดเห็น