ปิ๊งรักตารางฮันกึล: เล่าชีวิตเด็กเอกเกาหลี แลกเปลี่ยนที่ปูซาน ลุยงานล่าม แถมได้ทุนรัฐบาล ป.โท!


           สวัสดีค่ะชาว Dek-D คนเรามีหลายร้อยเหตุผลเลยที่จะตกหลุมรักภาษาหรือประเทศสักประเทศนึง อาจมาจากการนั่งมองรูปภาพ อ่านงานเขียน ฟังคำบอกเล่า ดูหนังฟังเพลง หรือแม้กระทั่งหลังจากเหลือบไปเห็นตารางตัวอักษรที่เพื่อนข้างๆ ปริ้นท์มานั่งอ่านก็ได้! วันนี้เราจะพาไปคุยกับคนนึงที่เริ่มเรียนด้วยเหตุผลเล็กๆ นี้ จนตัดสินใจเรียนต่อเอกเกาหลีจริงจังท่ามกลางเสียงคนรอบข้างที่บอกเธอว่า “คิดดูดีๆ นะ” เพราะยังไม่บูมในไทย
 
          นอกจากฟังเส้นทางการฝึกภาษาเกาหลีและการแลกเปลี่ยนแล้ว ยังพาไปฟังรีวิวความสนุกและความท้าทายของ “งานแปล” และ “งานล่าม” ที่เธอทำตั้งแต่สมัยเรียน ซึ่งเป็นงานที่ต่อยอดทั้งสกิลภาษาและความฝัน และในที่สุดก็ได้เป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ ป.โท  และจะออกเดินทาง ส.ค.ที่จะถึงนี้ด้วยค่ะ :)
 

Photo Credit:   @realcmy

 

แนะนำตัว
 

          “สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘ครีม’ อายุ 26 ปี จบจากเอกเกาหลี คณะมนุษยศาสตร์ มศว แล้วได้มาทำงานที่บริษัทเอกชนสัญชาติเกาหลีแห่งหนึ่งค่ะ ช่วงปี 3 มีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนที่ Busan University of Foreign Studies   และเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้ทุน Korean Government Scholarship Program (KGSP) ไปเรียนต่อที่ International Business, Hankuk University of Foreign Studies เริ่มเรียนเดือน ส.ค. นี้แล้วค่ะ~ :)”

 

จุดเริ่มต้นง่ายๆ
แค่เห็นตารางอัักษรที่เพื่อนปริ้นท์

 

          “จุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มสนใจเกาหลีคือตอน ม.3 เพื่อนข้างๆ ปริ้นท์ตารางอักษรฮันกึลมานั่งอ่าน  เราหันไปเห็นก็รู้สึกมันน่ารักดีจัง กลมๆ เหลี่ยมๆ   เลยขอเพื่อนซีร็อกซ์มาค่ะ จากนั้นก้เริ่มผสมคำดู แล้วก็ศึกษาเพราะอยากอ่านแล้วเข้าใจ จังหวะพอดีกับที่เราติดตามข่าว  ‘แทมิน’ วง SHINee ไม่ได้ถึงกับเป็นแฟนคลับจริงจัง แต่ก็อยากรู้ว่าเขาพูดอะไรร้องอะไรบ้างอะ~ 5555 จะรอคนมาแปลก็รู้สึกไม่ทันใจ  เพราะตอนนั้นคนแปลยังไม่เยอะ คนยังไม่ค่อยรู้ภาษาเกาหลีกัน เราเลยเริ่มขอคุณพ่อไปซื้อหนังสือเกาหลีมาอ่านเพิ่ม และเริ่มเรียนเองตั้งแต่ตอนนั้น"
 
          “พอช่วง  ม.4-6 เราเรียนศิลป์-คำนวณ ครูแนะแนวก็จะชอบถามว่าจบไปอยากเรียนอะไรที่ไหน? ส่วนใหญ่เพื่อนๆ อยากเรียนบริหารกัน มีแค่เราที่บอกอยากเข้าเอกเกาหลี คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่ทั้งครูทั้งคนรอบข้างก็บอกว่า ‘เธอแน่ใจนะ?’ 'คิดดีๆ นะ'  เพราะยุคนั้นความคิดแบบเรามันค่อนข้างแหวก เราเองไม่ได้เก่งด้วย ถ้าตีเป็น TOPIK ระดับ 1 ยังไม่ถึงเลยมั้ง รับสารได้แต่เขียนไม่ได้ แต่ก็มีความฝันแบบนี้เพราะอยากเรียนจริงๆ สุดท้ายเราก็เลือกเรียนเอกเกาหลี"


Photo Credit:   @realcmy

 

ปูซานคือจุดเปลี่ยน
ทั้งภาษาและความมั่นใจ

 

          “ก่อนหน้านั้นเราฝึกจากการอ่านหนังสือ ดูเนื้อเพลงบ้าง แล้วค่อยๆ แกะคำอ่าน ช่วงปี 1-2 ก็เรียนพื้นฐานกับอาจารย์เฉยๆ จนกล้าพูดครั้งแรกตอนปี 3 ที่ไปแลกเปลี่ยนที่ปูซาน   ก่อนไปมีเตรียมคำพื้นฐาน ประโยคเบสิกๆ ให้พอเอาตัวรอดได้ พอไปถึงเจอของจริงก็ช็อกนิดนึงแหละ แต่เขาก็พยายามเข้าใจแล้วพูดภาษากลางกับเรา *จริงๆ มันสำคัญตรงที่ต้องกล้าพูดกล้าใช้  ไม่ต้องคิดหลายรอบ"


Photo Credit:   @realcmy
 
          ตอนไปปูซานคือจุดเปลี่ยนเลยค่ะ จากที่ไม่กล้าตัดสินใจหรือทำอะไรคนเดียว ก็กลายเป็นมั่นใจมากขึ้น แล้วมีเรื่องให้เม้าท์กับคนเกาหลีที่เจอหลังจากนั้นด้วย เพราะโดยธรรมชาติคือถ้าคนเกาหลีรู้ว่าใครเคยไปประเทศเขาก็จะยิ่งอยากคุย ยิ่งช่วยให้ภาษาไปได้เร็ว    พอจบปี 4 เราคิดเป็นภาษาเกาหลีได้ไวขึ้น จนมีครั้งนึงเจอฝรั่งถามทางเป็น BTS เราเผลอตอบกลับภาษาเกาหลีแบบอัตโนมัติ เพราะไม่ได้แตะภาษาอังกฤษมานานมากกกก”
 
          “สรุปคือเราไม่ได้ฝึกเกาหลีแบบกดดันเลย ตอนที่คุณพ่อซื้อหนังสือให้ ก็เอามาอ่านเป็นงานอดิเรกเฉยๆ เวลาเข้าใจแต่ละบทก็รู้แค่ว่าอ่านออก ฟังได้ เรียนรู้ทุกวันเหมือนเป็นช่วงพักจากการเรียนคณิต ไม่ได้มีเป้าหมายชัดเจน"


Photo Credit:   @realcmy


Photo Credit:   @realcmy


Photo Credit:   @realcmy

 

รับงานแปล-ล่ามตั้งแต่เรียน
ความทา้ทายมารอบด้าน!

 

          “เรารับงานแปลพวกบทพากย์ พวกรายการโทรทัศน์กับสคริปต์มาตั้งแต่สมัยเรียนเลย แล้วหลังกลับปูซานก็มั่นใจขึ้นจนกล้ารับงานล่ามตอนปี 4 ค่ะ รับมาเรื่อยๆ ยิ่งคอนเนกชันเยอะก็จะยิ่งมีโอกาสเข้ามาเยอะ ส่วนใหญ่เป็นล่ามธุรกิจ และรับงานล่ามประสานงาน K-POP บ้าง ซึ่งก็จะต่างกันมากๆ  ถ้าล่ามธุรกิจจะไม่ได้สายลุยขนาดนั้น นั่งอยู่ข้างผู้บริหาร ไม่ได้พูดปุ๊บแปลปั๊บทันที แต่ K-POP จะออกแนวลุย และมีเรื่องเหนือความคาดหมายที่อาจไม่เป๊ะตามตารางงานได้เสมอค่ะ แต่เรื่องคำศัพท์จะเป็นระดับสนทนาที่เราคุ้นเคยดีอยู่แล้ว”
 
          แค่ได้ยินคำว่า “ล่าม” ก็รู้สึกได้ถึงความท้าทายแล้ว เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าต้องแข็งทั้งภาษาต้นทางและปลายทาง สติและไหวพริบก็ห้ามขาดสิ่งที่ชาเลนจ์อย่างแรกคือความจำ เขาอาจพูดมา 1 นาทีแล้วเราแปลออกมาได้แค่ 10 วินาที จริงๆ คนฟังอาจตกใจก็ได้ว่า 'เฮ้ย จบแล้วหรอ 5555' แต่มันคือการจับประเด็นเขาออกมาให้ครบ เช่น 1 นาทีมี 3 ประเด็น ต้องจำไว้ให้หัว แล้วเล่าออกมา”


Photo Credit:   @realcmy

 
          ต่อมาคือเรื่องคำศัพท์ เราจบเกาหลีเพียวๆ มาแบบไม่ได้เจาะสาขา (ลองคิดดูว่าขนาดคำภาษาไทยยังมีตั้งเยอะเลย) ดังนั้นต้องขวนขวายฟิลด์ที่ชอบหรือสนใจ เช่น คนที่ถนัดล่ามศัลยกรรม เขาก็จะรู้จักศัพท์วงการนี้เยอะ ถ้าเกิดเปลี่ยนไปรับงานอื่น นั่นก็คือความท้าทายแล้ว ที่สำคัญคือ แม้จะทำการบ้านมาดีขนาดไหน แต่เราได้เจอศัพท์ที่ไม่ได้เตรียมมมาตลอดค่ะ”
 
          “ส่วนตัวพี่ชอบเรื่องธุรกิจมากๆ เพราะมีอะไรให้คิดเยอะดี เช่น เจอสถานการณ์แบบนี้จะแก้ไขยังไง ทางไหน Plan A, Plan B คืออะไร? ช่วงแรกๆ ที่พี่จบเอกเกาหลีมาก็เริ่มจากงานล่ามสาย E-Commerce แปลตามที่ได้ยิน พูดตามนั้นไปก่อน พอเราได้ล่ามแล้วจะได้เห็นการตัดสินใจของพวกเขา  หลังพอเสร็จงานก็เอาคำศัพท์ไปเสิร์ชว่าคืออะไร กลายเป็นความสนใจอีกอย่างนึงของเราขึ้นมาค่ะ งานนี้ต่อยอดไปได้ไกล แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนนะ”


Photo Credit:   https://unsplash.com/
 
          “ถ้าให้เปรียบเทียบ งานแปลเรามีเวลาคิด แต่ก็ยากตรงที่ภาษาเกาหลีจะมีบางแกรมมาร์ที่ไม่มีในไทย แล้วเราจะแปลยังไงให้คนไทย(ที่ไม่รู้ภาษาเกาหลี) สามารถอ่านแล้วเข้าใจได้ ส่วนความยากของงานล่ามคือพูดแล้วเอากลับมาไม่ได้ ต้องคิดว่าสิ่งที่จะพูดทำร้ายจิตใจใครมั้ย สำคัญตรงเราต้องคีพเจตนาไว้ แล้วทำให้ซอฟต์ลง ต้องทนความกดดันจากการเป็นตัวกลางให้ได้
 

เมื่อเส้นทางงานล่าม

นำไปสู่การขอทุนรัฐบาล ป.โท
 

          “หลังทำงานที่บริษัทเกาหลี 4 ปี แล้วทำงานล่ามธุรกิจจนสนใจจริงจัง เลยตัดสินใจขอทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ ป.โท ผ่าน University Track  เลือกสาขา International Business, Hankuk University of Foreign Studies ค่ะ เพราะตอนไปเปิดรายวิชาดูรู้สึกมันตรงใจมาก แถมชื่อมหา’ลัยนี้มีในโปรแกรมแลกเปลี่ยนที่ มศว เลยทำให้เราคุ้นเคยจากรูปภาพกับสิ่งที่คนรู้จักเคยเล่าให้ฟัง”
 



Photo Credit: https://asiaexchange.org/


Photo Credit: https://asiaexchange.org/
 
          “ตอนนั้นพี่มี TOPIK 6, TOEIC 910 กับเกรด 3.92 พี่รู้ตัวว่าจุดอ่อนของตัวเองคือไม่มี Thesis ไม่มีรางวัล ไม่เคยไปค่ายอาสาสมัครเลย ใน essay พี่ก็เลยเล่าเน้นประสบการณ์การทำงานฟิลด์นี้ คิดว่าส่วนนึงที่ติดน่าจะเพราะสิ่งที่เขียนสัมภาษณ์กับคณะที่ยื่นด้วย พี่ใช้เวลาเขียน 6 เดือน เขียนๆ ลบๆ นานมาก 555 แนะนำว่าถ้าเป็นทุนรัฐบาลเกาหลี อาจต้องเชื่อมโยงหน่อยว่าหลังจากได้ทุนไปเรียนแล้ว เราจะทำประโยชน์ยังไงให้กับทั้ง 2 ประเทศ ส่วนเหตุผลที่เลือกเรียน ควรรีเสิร์ชข้อมูลแล้วเขียนเป็นรูปธรรมจับต้องได้ อย่าเขียนแบบเลื่อนลอยหรือกว้างเกินไป
 
          “พอพาร์ตสัมภาษณ์ได้เจอ Professor ของคณะที่เราเลือก เรายื่นด้วย TOPIK 6 เลยได้สัมภาษณ์ภาษาเกาหลี คุยไปประมาณ 20 นาที ถามจากสิ่งที่เราเขียนลงใน essay”
 
ใครอยากอ่านเรื่องขอทุนแบบเต็มอิ่ม ตามไปดู Storylog ของพี่ครีมได้เลยที่
  • Introduction to GKS
https://storylog.co/story/5ee8dc7a3d4413ab4bedc2a3
  • การเตรียมเอกสารยื่นทุน GKS
https://storylog.co/story/5ee8df395d1b281a57bf7119
  • GKS Interview (University Track)
https://storylog.co/story/5ee8e2f03d4413ab4bedc5de
 

Photo Credit:   @realcmy


Photo Credit:   @realcmy
 

ครีมขอทิ้งท้าย

“ถ้าเกิดเราเหนื่อยกับอะไรสักอย่าง”
 

          “ลองคิดถึงตอนแรกที่อยากทำว่าเราอยากทำแค่ไหน แล้วเราก็จะสู้ขึ้นมา เช่น ไปเรียนที่เกาหลีเหนื่อยมากกก เราก็นึกถึงความรู้สึกว่าตอนสอบตั้งใจแทบตายเพื่อให้ได้มาอยู่จุดนี้ เราก็แค่พยายามต่อไปให้สำเร็จ บางทีเราก็จะชอบเขียนในกระดาษหรือโน้ตลงมือถือว่าอยากได้สิ่งนี้มากๆ พอย้อนกลับมาดูก็ เฮ้ย ตอนนั้นเราอยากได้ขนาดนั้นเลยนะ มันก็คือวิธีปลุกพลังให้ตัวเองอย่างนึง 555 แต่ถ้าเหนื่อยตอนไหนก็อย่าหักโหม เดี๋ยวจะท้อไปซะก่อน พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยตื่นมาทำใหม่”
 
          “ส่วนน้องๆ ที่อยากเริ่มฝึกภาษาเกาหลี ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะชอบจริงๆ มั้ย อาจลองเริ่มจากหาข้อมูลในเน็ตก่อนก็ได้นะคะ  แล้วถ้ามั่นใจก็ค่อยไปต่อยอด อาจจะลงเรียนกับฝึกด้วยวิธีที่ตัวเองถนัดก็ได้ค่ะ :)"


Photo Credit:   @realcmy


Photo Credit:   @realcmy


Photo Credit:   @realcmy
 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

2 ความคิดเห็น

heonim 6 ส.ค. 63 21:38 น. 1

อ่านกระทู้นี้แล้วมีแรงบันดาลใจเลยแฮะ แบบว่าตอนไหนที่เหนื่อยให้ไปนึกถึงจุดที่เราขวนขวายและพยายามมากๆเพื่อให้ได้มันมานี่มันจริงแท้เลย ขอบคุณนะคะพี่ครีม ตอนนี้อายุ20แล้ว คือเราติ่งเกาหลีมานานมากแต่ไม่เคยเรียนเลย เพิ่งมาสนใจเอาตอนนี้คงยังไม่สายไปใช่มั้ยคะ : )

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด