สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงประเทศที่คนชื่นชอบธรรมชาติอยากไปลองใช้ชีวิตหรือเรียนต่อสักครั้ง หนึ่งในนั้นคงต้องมี “แคนาดา” ทางอเมริกาเหนืออยู่ในลิสต์ด้วยแน่ๆ เพราะบ้านเมืองเขาพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ ที่เที่ยวสุดดีงามเยอะมากๆ แถมผู้คนก็เป็นมิตรด้วย วันนี้เราจะพาไปฟังความท้าทายและความดีงามเหล่านี้จากนักเรียนไทยใน รร.อินเตอร์ที่ตั้งในเมืองวิกตอเรีย (Victoria) ตัวโรงเรียนคือตั้งอยู่กลางป่าและใกล้ทะเล เจอสัตว์ต่างๆ ที่เคยเห็นแค่ในสารคดีเพียบ แถมยังค้นพบความจริงว่า “น้องแรคคูน” ที่สุดจะ cute ในสายตาเรา ที่จริงคือดุมากจนขึ้นชื่อว่าเป็นมาเฟียประจำโรงเรียน!

รู้จักกันก่อน
“สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘ดินหอม’ ได้ทุน UWC (United World Colleges) ไปเรียนต่อที่ UWC Pearson College ในแคนาดาค่ะ ต้องเล่าก่อนว่าทุนนี้เขาจะให้ทุนนักเรียน 16-19 ปีจากประเทศทั่วโลก ไปเรียน ม.ปลายด้วยกันโดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจ ศาสนา เชื้อชาติ หรือภูมิหลังของนักเรียน เลยเป็นเหตุผลที่ไปแล้วเจอเพื่อนหลากหลายมากกก เพื่อนสนิทเราคือมีทั้งแคนาดา คาซัคสถาน กัวเตมาลา ซีเรีย อียิปต์ ฯลฯ”

“จริงๆ มันเป็นความฝันตั้งแต่ประถมแล้วว่าอยากไปต่างประเทศเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ เลยเริ่มหาทุนตั้งแต่ ม.ต้น จน ม.4 ได้มาสมัครทุนนี้ แล้วแคนาดาเป็นหนึ่งในตัวเลือกเพราะได้ยินมาว่าเป็นเมืองร่มรื่น ธรรมชาติดี อีกอย่างคือวันสัมภาษณ์เขาบอกว่าถ้าไปที่นี่จะได้ทุนเต็มจำนวน เพราะปีนั้นมีคนบริจาคให้พอดี เลยชั่งน้ำหนักแล้วเลือกที่นี่ค่ะ สิ่งที่ต้องออกเองคือวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ประกัน ค่าเที่ยว ค่ากิน ส่วนค่าที่พักไม่ต้องเพราะอยู่โรงเรียนประจำ รวมๆ แล้วจ่ายเพิ่มไปประมาณ 100,000 บาท (ขั้นตอนการขอทุนที่ยากสุดน่าจะกิจกรรมกลุ่มและสัมภาษณ์ แนะนำให้ตอบสิ่งที่คิดและเป็นตัวของตัวเอง)”
จ๊ะเอ๋สัตว์ที่เคยได้ยินแต่ชื่อ
(มาถึงได้เรียน How to เมื่อเจอสัตว์ป่า!)
“ตอนไปถึงคือตื่นเต้นมากและชอบมากๆ ด้วย วิกตอเรียเป็นเมืองเล็กๆ สงบร่มรื่น ไม่ค่อยมีตึกสูง บ้านก็เป็นทรงเตี้ยๆ เหมือนกันหมด เวลาเห็นพร้อมกับท้องฟ้ากว้างๆ มันเหมือนในหนังเลย แล้วที่นี่ความปลอดภัยสูงนะ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสัตว์ป่า เพราะ ด้วยความที่โรงเรียนตั้งกลางป่า เลยมีกวางเดินเล่นบ่อยๆ ซึ่งน้องกลัวคนนะะะ ช่วงดึกๆ ก็จะมากินหญ้าแล้วจ้องเราเหมือนถามว่า ‘แอะ จะเดินเหรอ?’ 5555 แต่สัตว์ที่เข้าใจมาตลอดว่าต้องน่ารักน่าเอ็นดู แต่จริงๆ ดุมาก ก็คือ ‘แรคคูน’ นักเรียนจะกลัวกันมากก กลัวน้องกัด ถ้าอยู่หน้าโรงเรียนคือจะยอมกลับช้าเลยค่ะ เป็นเหมือนมาเฟียในโรงเรียน *ตอนเข้ามาเรียน Pearson สัปดาห์แรกเขาจะสอนวิธีปฏิบัติตัวเมื่อเจอสัตว์ต่างๆ ถ้าเจอแมวป่า (cougar) ต้องทำยังไงบ้าง”
“นอกจากโรงเรียนตั้งกลางป่า ก็ยังใกล้ทะเลด้วยค่ะ มันจะมีกิจกรรมนึงที่เคยทำตอนปี 2 คือพายเรือคายัค เรือแคนู ได้ขึ้นไปบนประภาคารแห่งหนึ่งบนเกาะกลางทะเลที่ Pearson ดูแลอยู่ ได้เห็นทั้งนกนางนวล แมวน้ำ สิงโตทะเล (สิงโตทะเลนี่เสียงดังมากกกก) เกาะนี้มีสัตว์ชุกชุมมาก แถมใกล้จนยืนลุ้นว่าจะกระโดดขึ้นมาตอนไหนมั้ย”
เป็นคนไทยคนเดียวใน รร.
เรียนเน้น discuss & จัดเต็ม essay
“ความท้าทายแรกคือเรื่องภาษา เราเป็นคนไทยคนเดียวในโรงเรียน ต้องบังคับให้ตัวเองพูดภาษาอังกฤษตลอดเวลา เราพอสื่อสารได้แต่ก็ไม่ง่ายอยู่ดี แล้วต่างคนก็ยังต่างสำเนียงด้วยค่ะ ใช้เวลา 6 เดือนถึงจะเริ่มชิน จากเคยขี้อายมากก็ต้องพยายามเข้าหาเพื่อนไปทำความรู้จัก ออกจาก Comfortzone ไปทำสิ่งใหม่ๆ ซึ่งเพื่อนที่นี่ถึงไม่สนิทแล้วไปชวนคุย เขาก็ไม่มองแรงนะ เรื่องที่คุยก็มีแชร์ประสบการณ์รั่วๆ ไม่ค่อยมีกำแพงนอกจากไม่ทันกันในบางมุก แล้วธรรมเนียมปฏิบัติที่น่ารักมากๆ ของ Pearson คือเวลาเห็นเรานั่งคนเดียว เขาจะพยายามมาคุยมานั่งเป็นเพื่อน มีกระดาษโน้ตเขียนคำพูดสั้นๆ ดีๆ ติดในห้อง เขียนถึงใครก็ได้ บางคนที่ไม่เคยคุยกันเราก็ยังได้โน้ตจากเขาเลย"
“การที่ได้รู้จักคนเยอะๆ ทำให้รู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องในโลกที่เรายังไม่รู้หรือเข้าใจผิดอยู่ เช่น เคยเข้าใจว่าเอกวาดอร์อยู่แอฟริกา แต่จริงๆ ไม่ใช่ มันอยู่ที่อเมริกาใต้ 555 แล้วยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมโซนอื่นๆ ที่เราไม่คุ้นเคย เช่น คนอเมริกาใต้ชอบการสัมผัส ขอจับมือ ขอกอด (แต่ก็ขออนุญาตก่อน) แล้วเพื่อนจากทวีปนั้นที่รู้จักเขาจะพูดตรงมาก พูดสิ่งที่รู้สึกทุกอย่าง ในขณะที่วัฒนธรรมเอเชียจะชอบพูดอ้อมๆ"


โรงเรียนให้อิสระ ครูเข้าถึงง่าย
เรียนเน้นถาม-ตอบ
“โรงเรียนนี้น่าจะให้อารมณ์เหมือนมหา’ลัยมากกว่าโรงเรียนมัธยม ครูสนิทกับเด็กมากๆ ทำให้เด็กสบายใจและสนุกที่จะเรียน ซึ่งสนิทในที่นี้คือเรียกชื่อเล่นเขาได้แบบไม่มีคำนำหน้า หรือไม่ก็มานั่งกินข้าวกับเด็กเลยค่ะ และแม้จะเป็นโรงเรียนประจำ แต่ไม่มีการเช็กชื่อว่าต้องกลับเข้าห้องเวลาไหน จะแต่งตัวยังไงก็ได้ ไม่ห้ามเรื่องย้อมสีผมหรือเจาะหู แต่จะมีบางกฎที่ห้ามเด็ดขาดคือการ bully หรือ racist, ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และใช้สารเสพติด ถ้า addict จริงๆ จะหาทางช่วย // แต่ทั้งนี้ยิ่งอิสระก็ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นและรู้กาลเทศะ”
"ส่วนหลักสูตรที่เรียนคือ International Baccalaureate (IB) หรือหลักสูตรอินเตอร์นั่นเองค่ะ หลักๆ คือเขียน essay เยอะจนสกิลเขียนพุ่ง อย่างเช่นมีโปรเจกต์ใหญ่เป็น essay 4,000 คำ เลือกทำหัวข้อตามความสนใจและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาวิชาค่ะ ส่วนการเรียนในห้องจะเน้น discuss กัน ครูจะชวนให้แสดงความคิดเห็นเรื่องต่างๆ ว่าเราคิดยังไร? อะไรน่าจะเป็นเหตุผลให้เขาทำแบบนั้น? ฯลฯ ช่วยให้ความคิดเราขยายกว้างขึ้น สามารถพูดสิ่งที่คิดได้โดยไม่ถูกตัดสินหรือมองว่าแปลกใดๆ"
"ยกตัวอย่างวิชาที่โต้ตอบกันเยอะมากๆ คือ ‘ปรัชญา’ คำถามจะท้าทายหน่อย มาแบบล้ำๆ แต่สนุกดี หรือมีครั้งนึงเปิดหนังหุ่นยนต์ชื่อ Ex-Machina ให้ดู แล้วถามว่าหุ่นยนต์ในเรื่องถือเป็น Person มั้ย? (ในทางปรัชญาคือเป็น/ไม่เป็นก็ได้) ทำไมถึงคิดแบบนั้น เราก็ตอบไปว่าหุ่นยนต์ในเรื่องเป็นนะ เพราะเขามีศีลธรรม มีความคิดซับซ้อนเหมือนคน ในขณะที่มนุษย์บางคนก็ไม่ถือว่าเป็น Person”
“ส่วนชีวะนี่เกือบตายยย เขาเริ่มจากเรื่องเซลล์แล้วลงลึกไปแบบว้าวมาก ช่วงแรกทำข้อสอบไม่ได้เลยค่ะ ไม่มีพื้นฐาน แถม mindset คือไม่ชอบวิทย์ฯ เลยมีปิดกั้นตัวเองบ้าง รอดมาได้เพราะมีรุ่นพี่ช่วยไกด์จนคะแนนพุ่งๆ อ่านทุกหน้า เขียน วาดรูป พอเรียนจบก็ลาก่อน~ TT แต่ถ้าถามว่าทำไมลงวิชานี้ ต้องบอกว่ามันคือความเข้าใจผิด แผนเรียน IB จะบังคับให้เราลงหมวดละวิชา มันจะมีวิทย์อีกตัวที่ง่ายกว่าชื่อ ‘วิทย์ทางทะเล’ เราเข้าใจว่าเขาบังคับให้จับสัตว์น้ำ ก็เลยหนีมาลงชีวะแทน แต่จริงๆ ไม่ใช่ กว่าจะรู้ว่าเข้าใจผิดก็ไม่ทันแล้ว”
“วิชานึงที่สนุกมากและได้ฝึกทำงานจริงจัง คือ ‘คลาสละคร’ เน้นทฤษฎี + การแสดง งานบังคับในหลักสูตรคือให้เลือกบทละครมาอ่าน แทนตัวเองเป็นผู้กำกับว่ามีความคิดอะไร งานต่อมาคือ World Presentation ศึกษาการแสดงของประเทศนึงแล้วไปพรีเซนต์ และอีกงานคือแสดงละครกลุ่มที่ต้องคิดเองทุกขั้นตอน โดยจะคิดใหม่หรือ remake ก็ได้ค่ะ”
One World
งานแสดงในโรงละครอลังๆ
“ที่โรงเรียนจะมีงาน One World เป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่มาก เปิดโรงละครใหญ่ๆ ให้คนซื้อตั๋วมาเข้าชม ซึ่งเราได้ทำงานนี้ทั้งปี 1 และ ปี 2 เป็นไฟต์บังคับ แต่เลือกได้ว่าจะทำฝ่ายไหน เช่น เบื้องหลัง จัดไฟ ผู้ช่วยผู้กำกับ ฯลฯ เราสนใจพวกแฟชันอยู่แล้วเลยเลือกเป็นฝ่ายผู้ช่วยคอสตูม ได้ฝึกตัดเย็บ เช็กเสื้อผ้าก่อนขึ้นแสดง แล้วยังได้ลงร้องเพลงประสานเสียงด้วยนะ”
“นอกจากกิจกรรมนี้ ตอนปี 1 จะมีเทศกาลศิลปะ 12 ชม. (2 ทุ่ม - 8 โมงเช้า) มีการแสดงของนักเรียนทั้งเล่นดนตรี ดูดวง เล่นเกม ฯลฯ ส่วนบูธของเราจัดคอนเซปต์ ‘Don't Grow Up, It's A Trap’ ให้เพื่อนๆ ช่วยส่งรูปตอนเด็กเข้ามา และโชว์การเปลี่ยนแปลง แล้วถามว่า ‘ตอนเด็กอยากเป็นอะไร? ความฝันเรายังเหมือนตอนนั้นอยู่มั้ย?’ ส่วนตอนปี 2 เราจัดบูธให้ทุกคนสามารถเขียนจดหมายหาใครก็ได้ แล้วเราจะเป็นคนส่งให้ แสดงให้เห็นว่าจริงๆ ทุกคนมีเรื่องที่อยากบอกคนอื่นแหละ แต่อาจไม่กล้าบอกตรงๆ ด้วยตัวเอง”

One World
Photo Credit: Suyang Li (PC 45/ China)

One World
Photo Credit: Suyang Li (PC 45/ China)

Halloween
มุมฮีลใจของนักเรียน
ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“หนึ่งในสิ่งที่ได้เรียนรู้จากแคนาดา คือ ‘วิธีพูดกับโรคซึมเศร้า’ เขาจะมีคู่มือมาให้เป็นเล่มเลยค่ะ ในนั้นมีบอกทั้งระดับความเสี่ยง อาการ วิธีสังเกต วิธีพูด ฯลฯ อย่างเช่น ห้ามขู่ แต่ให้รับฟังและตอบคำถามให้ตรงจุด อาจมีคำถามเปิดก่อน เช่น เขาบอกว่าของหาย เสียใจมากๆ เราก็อาจถามว่า ‘ทำไมของนี้ถึงสำคัญล่ะ?’ เพื่อให้เขาได้ปลดปล่อยและเปิดใจจะพูดกับเรามากขึ้น ไม่เก็บทุกอย่างไว้ในใจ”

เก็บตกชีวิตความเป็นอยู่
Culture Shock
- เขาไม่ใช้ช้อนส้อม แต่จะใช้ซ้อมกับมีด ตอนแรกก็เอ๊ะ แล้วจะตักยังไง แต่ก็ค่อยๆ เรียนรู้
- เวลาเข้าห้องน้ำจะใช้ทิชชู่ล้วนๆ
- คนที่นั่นสื่อสารกันตรงๆ จนเราตกใจว่าเผลอทำอะไรผิดไปมั้ย แต่จริงๆ เขาแค่ออกความเห็นมุมเขา ในขณะที่เราจะพูดอ้อมๆ
- การสัมผัสที่นู่นจะเน้น skinship แต่เขาก็จะถามก่อนนะ ถ้าไม่โอเคเขาจะเลี่ยง
Foods
"อาหารที่นี่จะหลากหลายเพราะมีคนอพยพเยอะ มีครบทั้งไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฯลฯ ราคาสูงนะแต่ให้จานใหญ่ ข้างนอกตกจานละ 10-15$ ถ้าฟาสต์ฟู้ดจะถูกลงมาหน่อย ถ้าเกิดให้แนะนำว่ามาแคนาดาแล้วกินอะไรดี? ถ้าเป็นร้านกาแฟก็ Tim Horton ดังมากที่นี่ เจอถี่เหมือน 7-11 บ้านเรา ส่วนอาหารว่างที่น่าสนใจของแคนาดาคือ Poutine เฟรนช์ฟรายส์ราดน้ำเกรวี่ แล้วมีชีสข้างบนแปะอีกทีค่ะ ><"

Metchosin Day งานแฟร์ประจำปีของเมือง Metchosin
ทาง Pearson จะมี การเเสดงในงานด้วย เช่น choir หรือ Gumboot dance
ได้ค้นหาตัวเอง
และรู้สึกว่า “โห มีงี้ด้วย”
“โครงการนี้ทำให้ได้เจอคนทั่งโลก ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จนช็อก ‘โห มีงี้ด้วย’ ได้ค้นหาตัวเอง เพราะการเรียนเขาให้อิสระมากๆ ถ้าใครมีโอกาสก็อยากให้ลองมาสมัครดู อย่างน้อยก็รู้ว่าต่างประเทศเหมาะกับเรามั้ยเพื่อใช้ตัดสินใจเรียนหรือทำงานในอนาคต สำคัญคืออย่าเครียดเรื่องทุน อย่าท้อด้วย เพราะเราเองเคยถูกปฏิเสธตอน ม.3 ร้องห่มร้องไห้หนักมาก จนมีคำพูดนึงของอาที่บอกว่า ‘สิ่งที่เราไม่ได้ = สิ่งที่ไม่ใช่เรา เดี๋ยวสิ่งที่ใช่จะมาหาเราเอง’ ถ้าฝันก็ต้องทำให้ถึงที่สุด”
“ส่วนตอนนี้เรายังอยู่ช่วง gap year เพราะกำลังอยากลองทำหลายๆ อย่างว่าเราชอบอะไรมากที่สุด จริงๆ ก่อนหน้านี้มีติดโครงการ Global Citizen Year ได้ไปประเทศเอกวาดอร์ แต่ดันยกเลิกเพราะ COVID-19 ค่ะ TT"
[ อ่านประสบการณ์เด็ก UWC ประเทศอื่น ]

UWC @ เม็กซิโก

UWC @ จีน







0 ความคิดเห็น