อันยองค่ะชาว Dek-D ทุกคน … ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานหลายๆ คนน่าจะได้เห็นข่าวว่าแบรนด์แฟชั่นตะวันตกประกาศแบนการใช้ผ้าฝ้ายที่ผลิตจากเมืองซินเจียง ประเทศจีนกัน ทำให้เกิดกระแสความไม่พอใจในหมู่ชาวจีนจนมีการออกมาแบนสินค้าจากแบรนด์ดังกล่าวกลับไป แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้กระทบแค่เฉพาะทางฝั่งตะวันตกเท่านั้นนะคะ เพราะมันยังลามมาถึงฝั่งเกาหลีใต้ไม้เบื่อไม้เมาเจ้าเดิมด้วย ถ้าอยากรู้ว่ามันเกี่ยวข้องกันยังไง? เกิดอะไรขึ้นบ้าง? ก็ตามมาดูกันได้เลยค่ะ!
......................
ก่อนอื่นเลย "ซินเจียง" หรือชื่อเต็มๆ ว่าเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เป็นพื้นที่ปกครองตนเองที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ความสำคัญของที่นี่คือเป็นแหล่งผลิตฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ แถมยังส่งออกฝ้ายยังคิดเป็น 1/4 ของผลผลิตทั้งโลกอีกด้วย ถือเป็นแหล่งอุตสาหกรรมสำคัญของโลกเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามพื้นที่ซินเจียงนั้นมีพิพาทสำคัญที่ทั้งโลกจับตาดูอยู่ค่ะ เนื่องจากมีประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามด้วย ตลอดหลายสิบปีมานี้มีชาวอุยกูร์ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งถูกขับไล่ออกจากประเทศ ลักพาตัว มีการฉีดยาให้เป็นหมันเพื่อไม่ให้มีทายาทเชื้อสายอุยกูร์เกิดขึ้นต่อไป บางส่วนก็ถูกฆาตกรรม และยังมีการพบหลักฐานว่ารัฐบาลจีนได้ตั้งค่ายกักกันขึ้นมาเพื่อที่จะป้อนชุดความรู้และวัฒนธรรมแบบจีนฮั่นตอบสนองนโยบายจีนเดียว (พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือการล้างสมอง) ซึ่งผลสุดท้ายจะทำให้เผ่าพันธุ์อุยกูร์ ประเพณีวัฒนธรรม รวมไปถึงภาษาถูกลบล้างออกไปนั่นเอง
จากประเด็นนี้ทำให้มีข้อสงสัยด้วยว่าอุตสาหกรรมฝ้ายในพื้นที่ดังกล่าวอาจเป็นแรงงานทาสที่บังคับให้ชาวอุยกูร์ ทำงานอย่างหนัก ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมาแบรนด์แฟชั่นระดับโลกอย่าง H&M, Adidas และ Nike จึงได้ทยอยออกมาประกาศแบนการใช้ฝ้ายที่ผลิตจากเมืองซินเจียง แน่นอนว่าเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันทีค่ะ รัฐบาลจีนออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนรวมถึงใช้แรงงานทาสอย่างที่ถูกกล่าวหา ชาวจีนเองก็แสดงความไม่พอใจและโต้กลับด้วยการแบนสินค้าจากแบรนด์ดังกล่าวทั้งหมด
นอกจากดารานักร้องจีนแล้ว บรรดาไอดอล K-pop ชาวจีนเองก็ออกมาประกาศสิ้นสุดสัญญาที่ตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์กับแบรนด์เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ทั้งแจ็คสัน วง Got7 ที่ยกเลิกสัญญากับ Adidas, วิคตอเรีย วง F(x) ก็ยกเลิกสัญญากับ H&M, เลย์ วง Exo เองก็สิ้นสุดสัญญากับทั้ง
CALVIN KLEIN และ Converse รวมถึงหวังอี้ป๋อ UNIQ ก็สิ้นสุดสัญญากับแบรนด์ NIKE โดยต่างยืนยันว่าจะสนับสนุนการใช้ฝ้ายของซินเจียงต่อไป ที่สำคัญก็คือ "ผลประโยชน์ของชาติสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด และจะปฏิเสธทุกการกระทำที่ให้ร้ายต่อประเทศจีน"
ไม่เพียงเท่านั้น RBW Entertainment ซึ่งเป็นต้นสังกัดของศิลปินอย่าง Mamamoo ก็ได้ออกมาโพสต์สนับสนุนนโยบายจีนเดียว (One-China Policy) ด้วยเช่นกันก่อนจะลบออกไป เรื่องนี้ทำเอาเนติเซนเกาหลีออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเลยค่ะ เพราะในสายตาของชาวต่างชาตินั้นมองว่านโยบายจีนเดียวคือการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นนโยบายที่รุนแรง ยิ่งก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ชาติมีประเด็นความขัดแย้งกันมาทั้งในเรื่องกิมจิและฮันบกมาแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมต้นสังกัดที่ออกมาสนับสนุนจีนเดียวถึงโดนคนเกาหลีที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาวิจารย์ยับขนาดนั้น
"อี กยูแท็ก" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในสาขา Cultural studies ที่ George Mason University Korea ก็ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกันค่ะว่าศิลปินจีนในวงการ K-pop ส่วนหนึ่งที่ออกมาสนับสนุนนโยบายจีนอาจเป็นเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากทั้งแฟนๆ และบรรยากาศการเมืองในบ้านเกิด สังเกตได้ว่าส่วนใหญ่จะออกมาโพสต์ด้วยข้อความคล้ายๆ กัน ในช่วงเวลาไล่ๆ กัน นั่นเป็นเพราะท้ายที่สุดแล้วเมื่อถึงเวลาต้องแยกวงหรือยุติกิจกรรมที่เกาหลี ทุกคนจะต้องกลับมาทำงานที่บ้านเกิดอย่างประเทศจีนนั่นเองค่ะ
แต่ถึงอย่างนั้นผู้ช่วยศาสตราจารย์อีก็ให้ความเห็นว่าอุตสาหกรรม K-pop ในปัจจุบันไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเอเชียเท่านั้น แต่เป็นกระแสไปทั่วทั้งโลก และการที่เมมเบอร์ชาวจีนออกมาโพสต์สนับสนุนการใช้ฝ้ายในซินเจียงก็เหมือนเป็นการสนับสนุนการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอีกแง่มุมหนึ่ง ตราบใดที่ K-pop ยังต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งในตลาดโลก การทำความเข้าใจต่อประเด็นปัญหาในระดับโลกก็ถือเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่ามองแต่ผลประโยชน์สำหรับชาติตัวเองเท่านั้นด้วยค่ะ
และล่าสุดก็มีประเด็นว่าซีรีส์เกาหลีหลายๆ เรื่องมีการนำสินค้าของจีนมา Tie-in ด้วย อย่างเรื่อง 'Vincenzo' ก็มีฉากที่ตัวละครกินบิบิมบับสำเร็จรูปยี่ห้อของจีน ทำเอาเนติเซนเกาหลีเดือดกันยกใหญ่เพราะบิบิบับถือเป็นอาหารประจำชาติอย่างนึงของชาวเกาหลี พอไปโฆษณาสินค้าจากจีนเลยทำให้เกิดความไม่พอใจขึ้น
ส่วนเรื่อง 'Joseon Exorcist' ที่เป็นซีรีส์แนวแฟนตาซีย้อนยุคก็ถึงกับต้องยกเลิกการออกอากาศของตอนที่เหลือหลังจากฉายไปได้แค่ 2 ตอน เพราะผู้ชมออกมาแสดงความไม่พอใจในบทละคร เนื่องจากในเรื่องนั้นมีการอิงบุคคลจริงในทางประวัติศาสตร์เกาหลี แต่ว่ากลับมีการบิดเบือนประวัติศาสตร์ รวมถึงใช้อุปกรณ์ประกอบฉากที่มีความเป็นจีนมากเกินไป ในท้ายที่สุดผู้จัดจึงออกมาขอโทษ รวมถึงต้องยกเลิกการออนแอร์แม้ว่าจะจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์ไปครบแล้วและถ่ายจนใกล้จะจบแล้วก็ตามค่ะ
......................
ถ้าพูดในแง่วัฒนธรรมแล้วคาดว่าจีนและเกาหลีคงมีประเด็นกระทบกระทั่งกันอยู่เรื่อยๆ เลยค่ะ เพราะวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศนี้เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมร่วมที่มีการแลกเปลี่ยนกันไปมาในสมัยโบราณ ส่วนประเด็นเรื่องชาวอุยกูร์นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเหมือนกัน เป็นอีกประเด็นที่น่าติดตามค่ะว่าแบรนด์ต่างๆ มีท่าทียังไงต่อบ้าง
Resources & Photo Credit:https://www.youtube.com/watch?v=2mImh3sefDEhttps://www.koreatimes.co.kr/www/art/2021/04/732_306582.htmlhttps://www.koreatimes.co.kr/www/art/2021/04/688_306739.htmlhttps://www.ecotextile.com/2021020527343/materials-production-news/chinese-report-praises-xinjiang-cotton-industry.html https://asianwiki.com/Joseon_Exorcist
1 ความคิดเห็น