รีวิวแลกเปลี่ยน 10 เดือนที่เบลเยียม (Brussels) หลายอารมณ์เหมือนไปมาหลายประเทศ!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D หลังจากวันก่อนทีมงานหมวด TCAS Idol ได้ชวน 'บีบี-ปวริศ พงษ์ชัยไกรกิติ' มาเล่าประสบการณ์สอบติดแพทย์ 4 ที่รอบ Portfolio 64 พร้อมเทคนิคค้นหาตัวเอง ทำให้รู้ว่าจริงๆ น้องเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ  AFS Belgium French รุ่น 57 และได้ไปเมืองหลวงแห่งความหลากหลายอย่าง 'กรุงบรัสเซลส์' (Brussels) ที่คนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักด้วย (ก่อนไปคือภาษาเป็นศูนย์) มาดูกันว่าระบบเรียน สังคม สวัสดิการของคนเบลเยียมเป็นยังไงบ้าง? ต้องปรับตัวปรับหูนานแค่ไหน? แล้วอะไรคือความท้าทายและความสนุกใน 10 เดือนนี้?  เลื่อนลงมาอ่านกันเลยค่ะ!

........

"มันไม่ใช่แค่ Year in a life 
แต่มันคือ Life in a Year 
แค่เกือบปีแต่เหมือนเราได้เริ่มชีวิตใหม่"

........

Bonjour, Brussels!
อะไรจะหลากหลายขนาดนี้ครับเนี่ย?

ตอนไปสอบทุนแลกเปลี่ยน ผมเลือกเบลเยียมไว้ 1 ใน 3 อันดับเพราะรู้สึกมันเป็นประเทศที่เล็ก ไม่แมส แต่น่าสนใจมาก ประเทศนี้แบ่งการปกครองเป็นโซนทางเหนือ (Flanders) คนพูดภาษาดัตช์เป็นหลัก /  โซนใต้ (Wallonia) พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก / เมืองหลวง (Brussels) ที่เป็นโซน Bilingual แบบไม่ธรรมดามากๆ เพราะคนที่อยู่มีทั้งเชื้อสายอาหรับ, จีน, โรมาเนีย, ตุรกี, โมรอคโค, แอฟริกัน, อาหรับ ฯลฯ กลายเป็นว่ามีคนพูดฝรั่งเศสหลากหลายสำเนียง แต่ละกลุ่มก็จะผสมคำสแลงกับภาษาที่สามของตัวเองลงไปอีก

ดังนั้นภาษาคือปัญหาใหญ่แน่นอน ไปถึงคือฟังโฮสต์ไม่ออก เพราะผมไม่มีพื้นภาษาฝรั่งเศสเลย มีเรียนมาแค่คอร์สภาษาที่โครงการบังคับก่อนเดินทางเฉยๆ แต่โฮสต์ก็พยายามพูดปนกับฝรั่งเศสเพื่อสื่อสารกับเรา ส่วนเราก็พูดอังกฤษปนภาษามือ พยายามเรื่อยๆ จนพ้น 3 เดือนแรกหูก็ชินไปเอง  เริ่มเข้าใจอัตโนมัติ พีคสุดคือช่วงก่อนกลับฟังรู้เรื่อง พูดคล่อง ทุกวันนี้ผมกลับมา 2 ปีแล้วสกิลอาจจะถดถอยเพราะไม่มีโอกาสได้ใช้ แต่ถ้าเห็นก็จะพออ่านออก

คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ของภาษาฝรั่งเศส? "เวลาออกเสียงจะเหมือนเป็นขุนนางสมัยก่อนอะครับ เหมือนที่คนบอกว่าเป็นภาษาโรแมนติก มีเล่นลิ้นเล่นเสียง การจะออกเสียงให้ถูกมันไม่ง่าย แต่ถ้าออกได้จะโคตรประสบความสำเร็จอ่ะ ถ้ายากสุดสำหรับผมคือเรื่องการเขียน เพราะแกรมมาร์ซับซ้อน มีแบ่งเพศของแต่ละคำ ฯลฯ ตอนอยู่เบลเยียมถึงจะพอสื่อสารได้แต่เรื่องเขียนก็ไม่รอดเหมือนกัน" 

 

ระบบเรียนยืดหยุ่น สอบจริงจังมาก
ไม่เน้นจิตพิสัยและคะแนนเก็บ

หลักๆ เบลเยียมแบ่งการเรียนเป็น 4 สาย
 

  • General Education แบ่งย่อยอีก เช่น วิทย์-คณิต (วิทย์หน่อยๆ วิทย์เข้มข้น) ศิลป์-ภาษา (ลงเรียนภาษาที่ 3 ได้ เช่น สเปน อิตาลี) วิชาจะเหมือนมาเป็นใบเมนูให้เลือก
  • Technical Education วิชาที่เน้นลงภาคปฏิบัติมากกว่า เช่น การท่องเที่ยว การโรงแรม
  • Vocational Education เรียนเหมือนฝึกทำงานแบบจริงจัง
  • Art Education เรียนฝั่งศิลปะ เช่น วาดรูป ดนตรี ร้องเพลง ฯล

*แต่ละโรงเรียนจะมีหลักสูตรและภาษาที่ใช้ต่างกัน  เช่น L’Athénée Royal Gatti De Gamond  ที่ผมเรียนมีแค่ General / Technical และใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก

ตอนนั้นผมเลือก General แบบวิทย์น้อย + ภาษา ก็เลยได้เรียนวิทย์แค่ 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ มีภาษาสเปนวีคละ 4 คาบ คาบละ 1.5 ชั่วโมง รวมๆ 6 ชั่วโมง ส่วนระยะเวลาเรียนจะคล้ายไทยเลย เรียนวันจันทร์-ศุกร์ 8.00-18.00 น. วันละ 6-7 คาบ ยกเว้นวันพุธเลิกครึ่งวัน แล้วจะมีช่วงว่างคาบเว้นคาบให้นักเรียนอยู่ใน Study room อ่านหนังสือหรือทำการบ้าน (ขึ้นอยู่กับตาราง)  แต่ๆ ลุ้นกันคาบต่อคาบเหมือนกันนะว่าครูจะเข้ามั้ย บางทีเด็กมานั่งรอกัน อยู่ดีๆ "เอ้าาา ครูแคนเซิลคลาส" ก็เลยได้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันเฉยเลย 55555

  • การเรียนจะมีทั้งพาร์ตเลกเชอร์ที่เล่า fact เฉยๆ แล้วครูจะให้การบ้านที่คำตอบได้จากการไปค้นคว้าเพิ่ม +  เขียนวิเคราะห์ออกมาเป็น essay ภาษาฝรั่งเศสความยาว 1-2 หน้า ขนาดวิชาเลขยังต้องเขียนรายงานเพื่อทบทวนว่าเราเรียนอะไรมาบ้าง
     
  • มีสอบ 1 ครั้งรวบเนื้อหาต้นปียันปลายปี วิชาละ 3-4 ชั่วโมง วันละ 1-2 วิชา  คะแนนสอบคิดเป็นสัดส่วน 60-70% ไม่มีแจกเกรด ไม่มีคะแนนจิตพิสัยหรือคะแนนพิสวาส ถ้าตกก็ซ้ำชั้นเลย อย่างเพื่อนผมในคลาสบางคนซ้ำมาแล้ว 2 ปีก็มี ส่วนปีที่ไปเรียน เพื่อนผ่านกันแค่ครั้งห้อง อีก 12 คนรอสอบซ่อม

นักเรียนห้องผมมี 20-30 คนได้ ไม่มีคนเบลเยียม100% มีแต่ผสมเชื้อสายอื่น อย่างเช่นคนแขก คนแอฟริกัน คนอาหรับ คนจีน โมรอคโค โปแลนด์ คองโก โคโซโว ฯลฯ  เวลาเรียนจะเป็นสไตล์ประเทศเสรีนิยมมากๆ ถ้ามีข้อโต้แย้งก็แชร์กับครูได้เลย 

ตัวอย่างวิชาเรียน

  • เลข ผมว่าเลขที่นี่ไม่ง่าย ต่างกับไทยตรงที่นั่นให้ใช้เครื่องคิดเลข พอผมคิดมือหน้าห้องเพื่อนทุกคนเลยว้าวมาก 55555  ส่วนวิชาฟิสิกส์กับเคมีง่ายกว่าไทย เวลาสอบต้องจำสูตร แต่เอาตารางธาตุเข้าห้องสอบได้
     
  • ภาษาอังกฤษ แฮปปี้เพราะเข้าใจสุด 555 มีคาบนึงเรียนวรรณกรรมเชคสเปียร์ (William Shakespeare) เค้ามีพาไปดูโรงละคร เห็นของเก่าๆ ที่เกี่ยวกับเรื่อง Macbeth หรือ Romeo and Juliet  ที่นู่นเค้าให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากชนิดมีแทรกอยู่แทบทุกบทเรียน เพราะเค้ามองว่าวรรณกรรมเป็นสิ่งสะท้อนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ฝังลึกในสังคมเบลเยียมมานาน 
     
  • ภาษาสเปน เริ่มเรียนตั้งแต่ตัวอักษร A B C เรียนเสร็จจะพออ่านได้นิดหน่อยกับ Basic Conversation น่าจะระดับ A1-A2 แหละ ผมว่ามันมีส่วนคล้ายกับฝรั่งเศสบ้าง
     
  • ภาษาฝรั่งเศส หนักใจสุดยกให้วิชานี้ละกัน  ลำพังก็อ่านภาษาฝรั่งเศสแทบไม่ออกอยู่แล้ว แต่วิชานี้เราต้องอ่านวรรณกรรมด้วย  T___T ผมได้เรียนงานเขียนแต่ละยุค เช่น Renaissance, Baroque, Romantic แล้วมีแบ่งลัทธิอีก เช่น Surrealism, Realism ฯลฯ เค้าก็เหมือนแบ่งเป็นแก๊งๆ แก๊งนั้นจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน พอจะสะท้อนวิถีชีวิตยุคนั้นได้ ที่ชอบสุดคือวรรณกรรมเรื่อง Les Misérables ของ Victor Hugo ที่คุณครูพาไปดูละครเวทีมิวสิคัลด้วย หลายๆคนจะรู้จักเรื่องนี้จากเพลง Do you hear the people sing?  ครับ  // การบ้านวิชานี้ก็ประมาณว่าให้เขียน essay จากละครบทนึงของวิกตอร์ อูว์โก ว่าเค้าเป็นคนคริสต์ที่ดียังไง
  • ประวัติศาสตร์ สนุกเพราะทำให้รู้ประวัติศาสตร์ของยุโรป ไล่ตั้งแต่ยุคกลาง สงครามโลก ฯลฯ มีการเรียนพวกการปกครองแบบต่างๆ ด้วย เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม ฟาสซิสต์  ซึ่งที่นี่จะไม่ได้สอนแบบท่องจำ แต่จะเน้นถามว่า ‘ทำไม’ ให้เราค้นคว้า วิเคราะห์ มีงานกลุ่มให้ทำโปรเจกต์มานำเสนอ ความน่าสนใจคือได้เรียนความผิดพลาดที่ยุโรปเคยทำในอดีตเพื่อเป็นบทเรียนให้คนไม่ทำซ้ำ เรียนสงครามโลกแล้วถามว่าทำไม // ผมว่าที่นู่นทำ presentation สู้ไทยไม่ได้ แต่งานเขียนจริงจังมากกก เขียนตัวเขียนด้วย อ่านยากมากเวลาลอกการบ้าน (หลอกกๆๆๆ)
     
  • ปรัชญา ชื่อเต็มๆวิชานี้จะเป็นปรัชญาและหน้าที่พลเมือง จะออกแนวคล้ายแบบวิชาหน้าที่พลเมืองของบ้านเราครับ

สังคมที่เคารพความต่าง
และพื้นที่ส่วนตัว

ด้วยความที่สังคมหลากหลายมากก ก็ยิ่งทำให้เมกเฟรนด์ง่าย แต่คนเบลเยียมอาจจะไม่เข้าหาเราก่อน แต่นั่นเป็นเพราะเค้าเคารพพื้นที่ส่วนบุคคลของเรามากๆ ไม่ก้าวก่ายโลกส่วนตัว แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน เค้าก็จะคุยกับเราต่อนะ ผมรู้สึกพวกเค้าชิลล์และเปิดกว้างมาก ชอบความแตกต่าง เวลาเราไปเล่าเรื่องที่ไทย เค้าก็จะ "ว้าววว ไม่เหมือนบ้านเราเลย  บ้านเราจะเป็นแบบนี้ๆๆ"  เท่ากับเราก็ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์เลยขึ้นอยู่กับเด็กต่างชาติว่าจะเข้าหามั้ย 

แล้วความหลากหลายยังช่วยสร้าง Cultural Awareness มันเป็นอะไรที่พิเศษมากในชีวิตการแลกเปลี่ยน เมื่อก่อนโลกของเรามีแค่บ้าน - โรงเรียน - เพื่อน แต่เราได้มองรอบด้านและลึก ได้เห็นว่าภายใต้ยอดภูเขาน้ำแข็งที่เราเห็นมันยังมีอะไรอีกเยอะ เราเริ่มเห็นตัวเองในบทบาทพลเมืองโลก (Global Citizen) ได้คิดเชิงวิพากษ์ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นบนโลกบ้าง ซึ่งเราควรจะช่วยกันเพื่อให้สังคมโลกน่าอยู่และเท่าเทียมขึ้นมากกว่าจะตีกรอบว่าตัวเองเป็นแค่พลเมืองของประเทศใดประเทศหนึ่ง 

Culture Shock!
ปรับตัวหนักรองจากภาษาคือเรื่องนี้

อาหารคือเรื่องใหญ่เลย มื้อเช้าของคนที่นี่จะเบาๆ ส่วนใหญ่เป็นขนมปัง โทสต์ กาแฟสักแก้ว  มื้อกลางวันเป็นซุปกับแซนด์วิช พอตอนเย็นเป็นมื้อจัดหนัก ดังนั้นปริมาณแต่ละมื้อจะตรงข้ามกับที่ผมกินปกติ  จนบางทีผมจะเอามื้อเย็นของเมื่อวานมาอุ่นกิน โฮสต์เขาก็จะงงๆ 5555 สรุปคือก็ต้องใช้เวลาปรับตัวหน่อย มีแอบไปซื้ออาหารจีนมากินบ้าง แต่ข้อดีของบรัสเซลส์ที่เป็นแหล่งรวมชาติพันธุ์ เราจะหาได้หมดทั้งอาหารเลบานอน ตุรกี เคบับ สแน็ค ร้านแซนด์วิชที่เปิดโดยคนอาหรับ ตุรกี ฯลฯ เหมือนกับเอา element อาหารของเค้ามา อยู่นู่นผมได้ชิมอาหารหลายชนชาติมากๆ

แต่ถ้าพูดถึงอาหารของเบลเยียมเอง 'วาฟเฟิล' (gaufre / wafel) เป็นขนมประจำชาติที่หาซื้อได้แทบทุกร้านริมถนน แล้วยังเป็นประเทศต้นกำเนิดของ 'เฟรนช์ฟรายส์' (frites/fritjes) ด้วย มีซอสให้เลือกเยอะมากๆ  นอกจากนี้แต่ละบ้านจะมีตู้เก็บ 'ช็อกโกแลต' โดยเฉพาะ พอถึงช่วงเทศกาลพิเศษก็หยิบออกมาฉลอง มีแบบแพงและถูก รสชาติเข้มข้นมาก ค่อนข้างต่างจากที่ขายทั่วไปในไทย เพราะไทยน่าจะ add นมกับน้ำตาลเยอะเพื่อให้ถูกปาก แต่คนเบลเยียมชอบช็อกโกแลตขมๆ (Dark Chocolate) มากกว่า

รีวิวความเบลเยียมใน 5 ข้อ

  • เมืองบรัสเซลส์ให้ได้ทุกฟีลจริงๆ มี Arab Town, China Town และอีกหลายโซนให้ไปเที่ยวชมบรรยากาศ เพื่อนเคยพาผมไปตัดผมโซนตุรกีด้วย ตรงนั้นก็จะมีคนอาหรับมาตั้งตลาดขายของกัน เหมือนได้ไปอยู่อีกประเทศนึงเลย
  • เบลเยียมเป็นประเทศที่โซนสีเขียวเยอะละระบบขนส่งมวลชนดีมาก เดินทางสะดวกสบาย มีทั้งรถแทรม รถเมล์ แล้วรถไฟเชื่อมต่อกันหมดโดยไม่ต้องขับรถเอง แล้วเวลาก็เป๊ะมากทำให้คนไม่ต้องแกร่วรอนาน  ซึ่งแต่ละเขตทั้ง Flanders, Wallonia และ Brussels จะมีระบบขนส่งเป็นของตัวเอง และมีส่วนกลางที่เชื่อมถึงกันหมด อาจเป็นข้อดีที่เบลเยียมเป็นประเทศเล็กด้วยแหละ แค่นั่งรถชั่วโมงครึ่งก็ไปสุดขอบชายแดนได้แล้ว
  • ถึงจะเป็นประเทศเล็ก แต่อยู่ใจกลางยุโรปที่อาณาเขตติดฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี กับลักเซมเบิร์ก ขอวีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) ไปเที่ยวได้ ค่าเดินทางก็ไม่แพง  เพียงแต่กฎของโครงการคือต้องแจ้งทำเรื่องและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองที่ไทยและเบลเยียม // ตอนนั้นผมมีไปโปแลนด์ เยอรมนี แล้วก็มีไปเล่นสกีที่ฝรั่งเศสกับโฮสต์ด้วย
     
  • วันอาทิตย์จะเหมือนเป็นวันครอบครัวของคนเบลเยียม ทุกห้างร้านปิดหมด คนอาจจะไปปั่นจักรยาน ปิกนิก หรือเยี่ยมญาติกัน เพราะคนเบลเยียมไม่อยู่เป็นครอบครัวใหญ่ พอลูกๆ โตก็จะแยกย้ายไปอยู่กันเอง
     
  • มีคนตกงานบ้าง แต่โดยทั่วไปทุกคนไม่ได้ดิ้นรนหรือกดดันว่าจะต้องอัปเงินเดือน เพราะปกติเงินเดือน ค่าครองชีพก็สมดุลกับรายรับที่เขาได้อยู่แล้ว และสวัสดิการทุกอาชีพดีเหมือนกันหมด หาหมอทีรัฐก็จ่ายให้ เพราะโฮสต์เล่าว่าแค่มีบัตรประกันสังคม (EU Citizen Card) ก็ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลหมด (ตอนอยู่ที่นู่นผมเคยป่วยครั้งนึงแล้วเข้าโรงพยาบาล ผมว่าเค้าทำงานเป็นระบบและไม่ต้องรอคิวนานด้วย)

"จากที่เคยอยากเป็นคนอื่น
ก็ได้รู้ว่าเป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว"

ก่อนไปผมคือเด็กเนิร์ด เรียนพิเศษ ติดเกม พอแลกเปลี่ยนปุ๊บอย่างแรกเลยมีค่ายก่อน ได้เจอพี่ๆ หลายโรงเรียนที่ไปแลกเปลี่ยนเหมือนกัน ได้เปิดโลกระดับนึงแล้วว่ามีสังคมอื่นนอกจากโรงเรียนเราอีกนะ  แล้วผมยังได้รู้จักคนต่างชาติที่อาจมีโอกาสเวียนมาเจอกันในโลกการทำงาน หรือแม้แต่คนไทยด้วยกันเอง ไม่ว่าจะสายสถาปัตย์ฯ รัฐศาสตร์ฯ อักษรฯ หลากหลายมากก เป็นทั้งเพื่อนและคอนเนกชัน เรามีประสบการณ์ที่ทำให้คุยกันได้ แล้วทุกบทสนทนาคือการแลกเปลี่ยนความรู้ 

หลังจากนั้นก็ได้ไปอยู่กับโฮสต์ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน สถานการณ์ก็ช่วยฝึกให้เราคุยกับคนอื่นง่ายขึ้น กล้าแสดงออก มีส่วนร่วมในบทสนทนา ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ (หลิ่วตาตามได้ทุกที่) แต่ในขณะเดียวกัน ถึงจะอยู่บ้านโฮสต์แต่เราก็ได้บริหารจัดการชีวิตตัวเอง ใช้เวลาสะท้อนตัวเองว่าเราเป็นคนยังไง ชอบหรือไม่ชอบอะไรกันแน่ ได้แพลนสิ่งที่อยากทำ แล้วมั่นใจกับเป้าหมายมากขึ้น จากที่เคยรู้สึกอยากเป็นคนอื่น  เราก็เข้าใจแล้วว่าเป็นตัวของตัวเองนี่แหละดีที่สุดแล้ว ทุกคนมีความเก่งของตัวเอง

สำหรับผมแล้วมันคือเวลาปีเดียววางรากฐานคาแรกเตอร์ของผมในปัจจุบัน แล้วเชื่อว่าอีก 30-40 ปีก็ยังคงได้ใช้สิ่งต่างๆ ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนแค่ 10 เดือนที่ผ่านมา ทั้งทักษะความสามารถ คอนเนกชัน กับวิธีมองโลกที่กว้างขึ้น บางคนอาจยังลังเลที่ต้องเสียเวลาซ้ำชั้นปีนึงสำหรับบางโรงเรียน  แต่มันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ถึงใครจะเล่าให้ฟังก็ไม่เหมือนกับเราไปประสบด้วยตัวเอง ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสเข้ามาแล้วพร้อม ก็ไม่อยากให้ทิ้งโอกาสไปแลกเปลี่ยนครับ

........

[ ชวนอ่านต่อ ]
"บีบี-ปวริศ" แชร์ประสบการณ์สอบติดแพทย์ 4 ที่ รอบ Portfolio 64 
แถมเทคนิคค้นหาตัวเอง
 

ขอบคุณภาพประกอบจากเจ้าของเรื่อง
และ vector บางส่วนจาก Freepik / Flaticon.com 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น