สวัสดีค่ะชาว Dek-D เมื่อไม่นานมานี้เราได้พูดคุยกับ 'พี่ปั้นแป้ง’ สิรินดา ธรรมประทีป คนไทยคนที่ไปเรียน ป.โท กฎหมาย 2 ใบ (LL.M.) ได้แก่กฎหมายพาณิชย์ระหว่างประเทศ University of Dundee (สกอตแลนด์) และปัจจุบันกำลังเรียนกฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ Kyushu University (ญี่ปุ่น) บอกเลยค่ะว่าสไตล์ต่างกันมากกแต่น่าสนใจและคุณภาพแน่นทั้งคู่ มาดูกันนะคะว่าแง่มุมการเรียน บรรยากาศคลาส การปรับตัวและใช้ชีวิตของตัวอย่างประเทศจากตะวันตกและตะวันออกว่าเหมือนต่างกันยังไงบ้าง? ใครเป็นสายกฎหมาย มาอ่านรีวิวไว้ประกอบการตัดสินใจกันค่ะ!
............
เห็นความสำคัญของกฎหมาย
และมีภาษาเป็นใบเบิกทาง
เรารู้สึกกฎหมายทำให้เราปกป้องตัวเอง ครอบครัว และนำความรู้ไปช่วยเหลือสังคมได้ด้วย ตอน ป.ตรีเราเรียนกฎหมายที่ ม.ธรรมศาสตร์ หลังจบก็ทำงานเป็นทนายอยู่ระยะนึง และทำงานเป็นทีมบริหารของเครือโรงแรม ก่อนจะไปต่อโทที่ต่างประเทศเพราะอยากเปลี่ยนสายงานในอนาคต
ส่วนเรื่องพื้นฐานภาษาอังกฤษ เราเห็นความสำคัญมาตั้งแต่ ม.2 แล้ว เพราะภาษาช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่คนอื่นบอกด้วยตัวเอง ถ้าสงสัยก็ถามได้เลยโดยไม่ต้องมีคนกลาง บวกกับมีความฝันว่าอยากไปประเทศหนาวๆ มีหิมะ 555 ด้วยความเด็กอ่ะ แต่ถึงเป็นเหตุผลเด็กๆ ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราไปสมัครโครงการเด็กแลกเปลี่ยนที่ Cornerstone Christian academy ในรัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา ช่วงนั้นคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมทำให้เราได้ซึมซับทั้งภาษาและความกล้าพูดกล้าคิด เป็นแต้มต่อให้เราได้ไปแลกเปลี่ยนช่วงสั้นๆ ที่เยอรมันและจีน (ด้านกฎหมาย) แล้วเรียนต่อต่างประเทศได้โดยไม่ติดเรื่องภาษา
............
โทใบแรกที่สกอตแลนด์
University of Dundee
เราไปเรียนกฎหมายพาณิชย์ระหว่างประเทศ (International Commercial Law LL.M) ที่ University of Dundee, Scotland หลักสูตร 1 ปี และ ก.ต.รับรอง (เช็กได้ที่เว็บไซต์ของสำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม อัปเดต เม.ย.64) โลเคชันตัวเมืองไม่ใหญ่ อยู่ติดทะเล และเป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยถึง 2 แห่งคือ University of Dundee กับ Abertay แล้วอีกเมืองใกล้ๆ กัน ห่างไปอีกสัก 20 กิโลเมตรก็เป็นที่ตั้งของ University of St Andrew ที่เจ้าชายวิลเลียมกับชายาเคทเรียนและพบรักกันที่นั่นด้วยค่ะ :)
เรามาเรียนด้วยทุนส่วนตัว แต่ทางมหาวิทยาลัยมีทุนค่าเทอมให้ 40% จาก 8-9 แสนเหลือ 4-5 แสน (เรตเงิน 1 ปอนด์ = 37-39 บาท) ตัวอย่างสวัสดิการจากทางรัฐสำหรับนักศึกษา เช่น ไม่ต้องเสียค่าน้ำและค่าภาษีท้องถิ่นจากการเช่าที่พัก แล้วทางมหาลัยใส่ใจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตเลยค่ะ เรามีปัญหาสะโพกกับหลังตั้งแต่อยู่ไทยก็ยังช่วยดูแล หรือตอนเจอเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจรุนแรง อาจารย์จะซัพพอร์ตเรื่องเรียน เช่น อนุโลมให้ส่งการบ้านหลังเดดไลน์โดนไม่มีบทลงโทษหรือลดคะแนน เอาสิ่งที่เผชิญมาร่วมพิจารณาให้เกรดด้วย นอกจากนี้ยังมีศูนย์ปรึกษาที่ตอบเร็ว นัดเวลาหรือขอเข้าพบฉุกเฉินได้ ซึึ่งเค้าก็หมั่นโปรโมตด้วยนะ มีส่งอีเมลมาถามตลอด ‘คุณรู้สึกยังไง? เครียดอยู่มั้ย? มาหาเราสิ!’ ส่วนนอกมหา'ลัยก็จะมีเบอร์ของศูนย์สุขภาพจิตติดไว้ตามสะพาน
เรื่องเรียนคือวิชาจะน้อยแต่เน้นลงลึก เทอมนึงเรียนแค่ 3 วิชา ปีนึงก็ตก 6 วิชา (ไม่รวมวิทยานิพนธ์) ในจำนวนนั้นจะมีวิชาหลัก และบังคับเรียนของสาขา International Commercial Law เลยเหลือ slot ให้เลือกลงเองได้น้อยหน่อย
ตัวอย่างวิชาเรียน
- กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Law)
- กฎหมายภาษีระหว่างประเทศ (International Taxation Law)
- กฎหมายจัดการทรัพยากรน้ำ (Legal Frameworks for water resource management)
- กฎหมายควบคุมทรัพยากรน้ำ (Governanace and Regulation of Water Service) เราขอเข้าเรียนแบบไม่ลงทะเบียน เพราะหน่วยกิตเต็มแล้ว
- กฎหมายธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (Principles of E-Commerce Law)
- กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Private International Law of Business Transactions)
- กฎหมายการควบคุมดูแลบริษัทนิติบุคคล (ธรรมาภิบาล / Corporate Governance) = ต้องการให้บริษัทคำนึงเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในสายงานทั้งหมด
อยากเล่าถึงวิชานึงที่ชอบสุดคือ ‘กฎหมายจัดการทรัพยากรน้ำ’ เรามีแหวกไปลงวิชาแนวบริหารกับสิ่งแวดล้อมเพราะมหาลัยเด่นด้านนี้ แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใกล้ตัวเราจริงๆ เวลาเกิดปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง น้ำเค็มรุกล้ำน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำมีสิ่งเจือปนหรือเป็นพิษ ฯลฯ ก็ล้วนเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพน้ำและเกิดจากบริหารจัดการน้ำผิดพลาดทั้งนั้น แล้วก็จะจะเชื่อมโยงไปถึงเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อมด้านอื่นๆ ด้วย ((ความน่าสนใจอีกอย่างคือสกอตแลนด์มีสวัสดิการที่นักเรียนจะใช้น้ำฟรีเท่าไหร่ก็ได้ และน้ำอร่อยมาก 5555 เราอยากรู้ว่าเขาจัดการยังไงถึงให้ฟรีได้แบบนี้))
แต่ถ้าวิชายากสุดยกให้ 'กฎหมายภาษีระหว่างประเทศ' เพราะมีกฎหมายเยอะและซ้ำซ้อนกันในแต่ละประเทศ ไหนจะเรื่องสนธิสัญญาอีก ฝั่งโน้นเก็บ ฝั่งนั้นก็จะเก็บ แต่ละประเทศใช้คนละอย่าง เช่น เคสคนอเมริกาไปทำการค้าที่ประเทศอื่น เขาก็ไม่อยากต้องมาเสียซ้ำซ้อนกัน เพราะอเมริกาเป็นประเทศเดียวในโลกที่เก็บภาษีบุคคุลโดยถือตามสัญชาติ *ซึ่งตัวกฎหมายของแต่ละประเทศเองก็มีอัปเดตตลอด ต้องคอยตามให้ทันด้วย
เว็บไซต์หลัก
https://www.dundee.ac.uk/postgraduate/international-commercial-law
ศึกษารายละเอียดอื่นๆ เช่น หลักสูตร คุณสมบัติ วิธีสมัคร ค่าเทอม
https://www.dundee.ac.uk/postgraduate/international-commercial-law/entry-requirements
ทุนสนับสนุน
............
โทใบที่สองที่ญี่ปุ่น
Kyushu University
เรามาเรียนโทอีกใบที่ญี่ปุ่น สาขากฎหมายสาขาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economic and Business Law International Programs in Law) ที่ Kyushu University ก.ต. รับรองเหมือนกัน เป็นหลักสูตร 1 ปี การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ โดยได้ทุนสนับสนุนค่าใชจ่ายประจำเดือนบางส่วนจาก JASSO และยื่นขอการสนับสนุนค่าเทอมจากทางมหาวิทยาลัย *ส่วนตัวมองว่าญี่ปุ่นมีทุนให้ขวนขวายเยอะกว่าทางโซนสกอตแลนด์เยอะมาก สำหรับนักเรียนต่างชาติ ทั้งทุนที่ได้ก่อนไปเรียนหรือทุนที่ขอระหว่างเรียน
ความแตกต่างคือเราเรียนเทอมนึงประมาณ 10 ตัว เรียนกว้างให้รู้ครบแต่ไม่ลงลึกเหมือนตอนเรียนโทใบแรกที่สกอตแลนด์ และเนื้อหาเป็นเชิง adapt มองด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ตัวอย่างวิชาที่เราเรียน
- ทรัพย์สินทางปัญญา
- กฎหมายทางทะเล
- กฎหมายที่เกี่ยวกับการผสมผสานเทคโนโลยี สังคม และการพัฒนา IT (Cross-disciplinary) ที่จะมองถึงเรื่องสภาพเศรษฐกิจ สังคมด้วย
- วิชาเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ย การใช้อนุญาตตุลาการ เป็นทางเลือกที่ไม่ใช่ศาล
เว็บไซต์หลัก Kyushu University Graduate School of Law
http://www.law.kyushu-u.ac.jp/programsinenglish/html/kyushu-univ-law/
รวมข้อมูลทั้งหมด เช่น การเรียน การสอบเข้า ทุน ค่าเทอม ฯลฯ
http://www.law.kyushu-u.ac.jp/programsinenglish/html/programs-admissions/academic-programs/ll-m/
............
เทียบความต่าง Japan VS UK
(*จากประสบการณ์ส่วนตัว)
1. ภาษา
สกอตแลนด์
เขาตั้งมาตรฐานว่าเราภาษาดีแล้วจึงสามารถเรียนระดับนี้ได้ เราควรจะต้องได้ภาษาอังกฤษระดับที่เขียนด้านวิชาการ (Academic) รู้เรื่อง เช่น การสอบเทอมที่สอง เราจะต้องทำ 3 วิชาซึ่งเราจะรู้หัวข้อล่วงหน้า 1 เดือน แต่ต้องเขียน 3 ฉบับในเวลา 1 เดือน ดังนั้น จะต้องบริหารจัดการเวลา และสุขภาพกายและใจให้ดี ต้องเขียนอ้างอิงให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ format เป๊ะ อักษรพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ เลือกคำศัพท์พิถีพิถันเพราะเป็นด้านกฎหมาย
ญี่ปุ่น
เขาเข้าใจว่าเราไม่ใช่เจ้าของภาษาและความรู้ด้านภาษาไม่ได้ตัดสินความรู้ความเข้าใจของเราทั้งหมด (แต่เราก็ต้องเขียนให้รู้เรื่องอยู่ดี) เขาไม่ได้ซีเรียสมาก เขาแค่อยากรู้ความคิดของเรา จากสิ่งที่ตอบ เพราะอาจารย์ก็เป็นต่างชาติหรือคนญี่ปุ่นที่มาสอนต่างชาติและเคยเรียนต่างประเทศมากก่อน เขาจะเข้าใจว่าเราไม่ได้ภาษาเป๊ะเหมือนเจ้าของภาษา
2. บรรยากาศในคลาส
สกอตแลนด์
- เรียนแบบเน้น Critical Thinking เริ่มคลาสมาอาจารย์อาจจะไม่สอน แต่ให้ไปศึกษามาก่อนแล้วมา discuss กันในคลาส เวลาส่งงานหรือสอบต้องเขียนอ้างอิงให้ครบทุกจุด ถ้าเขียนมาลอยๆ จะได้คะแนนน้อย แล้วอาจารย์ก็จะถามด้วยว่าเอามาจากไหน คุณต้องมีเหตุผลสนับสนุนความคิด มีหลักเกณฑ์หรือหลักฐาน ว่าทำไมคิดแบบนี้
- อาจารย์จะวางตัวกับเราเหมือนเพื่อน คุยได้ ตรงไปตรงมา เจอหน้าเรียกชื่อเลย เวลาสอนชิลล์มากก ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ นั่งปนกับเด็ก ไขว่ห้างมือเคาะโต๊ะ ‘เอ้า คุณล่ะคิดยังไง?’ เหมือนมาพบปะพูดคุยลับสมองประลองปัญญา อะไรแบบนี้ ตอนเรียนออนไลน์ก็เหมือนกัน สอนไปสอนมามีแมวกระโดดมาอี้ก มีเรียกหลานให้มาทักทายทุกคน 55555
- เคยมีเหตุการณ์ที่คนในคลาสพูดเยอะเกินไป เพราะเค้าสนใจด้านนี้มาก + อ่านหนังสือมาเพิ่มจากที่อาจารย์กำหนดด้วย พอเลิกคลาสเราบังเอิญได้ยินอาจารย์คุยกับนักเรียนคนนั้นว่า ‘คุณมีความคิดที่ก้าวออกไปนอกขอบเขตที่เราจะเรียนกัน ดังนั้นถ้า you สนใจให้มาคุยกันนอกคลาสแทนดีกว่า’ เขากังวลว่าจะทำให้เพื่อนร่วมคลาสสับสน ทั้งยังทำให้คนอื่นเสียสิทธิ์ ไม่กล้าแทรกและไม่มีโอกาสถาม คนที่นั่นเค้าให้ความสำคัญกับความเสมอภาคมากๆ
- เพื่อนในคลาสมาจากฝรั่งเศส เยอรมนี เม็กซิโก อเมริกา จีน ไนจีเรีย เซาท์แอฟริกาใต้ ฯลฯ ไม่ได้แชร์ข้อมูลเจาะลึกเต็มที่ เพราะอาจารย์ต้องสนตามเนื้อหาที่เป็นโซนสหราชอาณาจักรและยุโรป รวมทั้งประเทศในระบบคอมมอนลอว์ด้วยกัน
ญี่ปุ่น
- เรียนแนวเลกเชอร์หน่อยๆ มีงาน presentation เดี่ยว/กลุ่ม ขึ้นอยู่กับเนื้อหาและสไตล์การสอนของอาจารย์
- อาจารย์มีระยะห่างชัดเจน ใส่สูทยืนสอน เวลาเด็กจะถามก็อาจจะแบบ ‘ขอโทษนะ Prof. ที่ขัดจังหวะ บลาๆๆ’ เหมือนเป็น format ยังกับเขียนอีเมล
- เวลาเรียนแบบสัมมนา ถ้ามีนักเรียนกระตือรือร้นจะแชร์ประสบการณ์ตัวเอง อาจารย์ก็ไม่ค่อยห้ามไม่เบรก แชร์ได้เต็มที่ ดูเกรงใจนักเรียนมาก แต่อาจจะเป็นลักษณะของทางเอเชียที่มีเรื่องของความเกรงใจ
- เรียนในสภาพแวดล้อมที่เป็นเอเชียสูง เพื่อนในคลาสมีทั้งจากอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย พม่า บังคลาเทศ กัมพูชา จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ คอนเนกชันระหว่างเพื่อนในภูมิภาคเดียวกัน มีวัฒนธรรมการใช้ชีวิตคล้ายกัน ทำให้ได้ความรู้เจาะลึกของประเทศนั้นจริงๆ และเข้าใจได้ง่าย (ทางยุโรปหรือโซนอเมริกาก็มี แต่ไม่มากค่ะ)
3. การสอบและการให้คะแนน
สกอตแลนด์
- อาจารย์จะให้ข้อสอบมาล่วงหน้า เป็นคำถามปลายเปิดให้ตีความ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้แต่ต้องมีเหตุผลสนับสนุน จากนั้นก็จำมาเขียนตอบภายใน 2 ชม.ในห้องสอบ
- เวลาตัดเกรดจะมีเกณฑ์ชี้วัด (Critirea) ชัดเจนมาก แบ่งเป็น 23 เกรด แล้วแรเงามาเป็นประโยค คอมเมนต์ละเอียดทุกจุดมากกก เราสามารถโต้แย้งได้ทันที
- ดูแลเรื่องสิทธิและความเป็นส่วนตัวของนักเรียนดีมาก มีระยะห่างนักเรียนกับครูชัดเจน เช่น ทุกคนต้องใช้อีเมลมหาวิทยาลัยติดต่อกันเท่านั้น นักเรียนห้ามใช้อีเมลส่วนตัวติดต่ออาจารย์เด็ดขาด และอาจารย์จะติดต่อเราช่องทางอื่นไม่ได้เช่นกัน และอาจารย์จะตรวจสอบโดยไม่รู้ชื่อและรหัสนักศึกษาด้วย
ญี่ปุ่น
- อาจารย์จะให้ข้อสอบมาล่วงหน้า หรือให้เป็น ข้อสอบที่มีเวลาทำ 24 ชั่วโมง ข้อสอบถามไม่ซับซ้อนมาก การอ้างอิงอาจไม่จำเป็นหากเหตุผลประกอบดีพอ และต้องเขียนชื่อนักเรียนบนข้อสอบทุกครั้ง
- ในบางวิชา จะเป็นการเขียนตอบ 24 ชั่วโมง บางก็รายงาน บางก็รายงาน + พรีเซนเทชั่น +การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน หลากหลายแล้วแต่อาจารย์เลยค่ะ นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดการสอนหรือสอบได้ เช่น เราอาจจะรวมใจกันขอให้อาอารย์ วัดผลโดยการพรีเซนต์และถามตอบ แทนข้อสอบหรือรายงาน เป็นต้น
- มี 4 เกรด A B C D F ถ้ามีข้อสงสัยสามารถส่งอีเมลให้อาจารย์ช่วยชี้แจงได้
............
รีวิวเมืองและชีวิตความเป็นอยู่
พร้อมพาไปชมภาพสวยๆ กันค่ะ!
สกอตแลนด์
- ทุกอย่างประหยัด Eco-friendly มหาวิทยาลัยก็รักษ์โลก ไฟจะติดก็ต่อเมื่อเดินในบริเวณนั้น (แต่ในเมืองไม่มีแยกขยะนะ งงปะ 555)
- สกอตแลนด์ก็เป็นอีกประเทศที่ไปแล้วมีโอกาสถูก bully ได้ เช่น มีครั้งนึงเราปั่นจักรยานตามปกติ มีเด็กวัยรุ่นมาแกล้ง ‘แบร่!’ ให้เราตกใจ หรือเห็นเป็นเอเชียก็พูดใส่ ‘โควิดๆๆๆ’ ยังมีการเหยียด แต่ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้ัน อีกอย่างคือกลิ่นกัญชาแรงมาก ซึ่งก็ผิดกฎหมายนะ แล้วแอลกอฮอล์ราคาถูกทำให้คนกินกันเป็นเรื่องปกตื แล้วอาจทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัยในบางครั้ง
- ช่วงกลางคืนจะยาวนานมากในฤดูหนาว เห็นพระอาทิตย์แค่ 6 ชม.เอง จิตตกมากกก ป่วยง่ายด้วย TT
- อันนี้เซอร์ไพรซ์มาก! ในห้องน้ำทุกห้องจะมีผ้าอนามัยให้นักศึกษาหยิบใช้ได้ฟรี
ญี่ปุ่น
- ข้อดีของญี่ปุ่นคือความปลอดภัย มีอาหารที่เราคุ้นชิน // แต่ส่วนตัวเรารู้สึกว่านมสดที่ญี่ปุ่นไม่อร่อย รสชาติเหมือนนมผสมน้ำ ถ้ากินนมสดอร่อยจริงๆ จะมีแพงมาก ร้อยกว่าบาท แต่ถ้าเป็นแถบออสเตรเลียหรืออังกฤษ ถึงแม้จะเป็นนมราคาถูกๆ ก็อร่อยและดี
- มีนโยบายให้ประชาชนต้องแยกขยะตามประเภท ถุงแดง ถุงเหลือง ถุงเขียว ฯลฯ ค่าถุงขยะแพงเพราะมันมีรวมค่าบริหารจัดการของเสีย ซึ่งจะมีค่าน้ำ-ค่าไฟตั้งต้น ค่าบำบัดน้ำเสียที่เพิ่มจากค่าน้ำไปอีก
- ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ให้ความสำคัญกับแพ็กเกจมากกก ของชิ้นนึงห่อ 4-5 ชั้นได้ อย่างเช่นเราเคยซื้อคุกกี้กล่องนึง กล่องทำทรงบล็อกที่กันกระแทกระดับนึงแล้ว แต่ยังมีบับเบิลแทรกระหว่างห่อคุกกี้แต่ละชิ้นอีก ทุกอย่างใส่ถุงพลาสติก
- ถึงจะขึ้นชื่อเรื่องความเป็นระเบียบวินัย ต่อแถวเป๊ะ ของลืมไว้ไม่หาย แต่ถ้าอะไรที่ระบุไม่ชัดเจนเขาก็จะหละหลวม ไม่ค่อยแคร์กฎหมายกัน อย่างเช่นช่วงโควิดที่รัฐบาลออกมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (State of Emergency) ในข้อความระบุว่า ‘ขอความร่วมมือ’ แต่ไม่ได้มีบทลงโทษ ฟังดูไม่หนักแน่นมั่นคง ไม่เด็ดขาด แต่ละคนก็คิดตีความต่างกัน ผลคือ social distancing ไม่มีเลย คนไม่ใส่ mask กันเยอะมาก(ในที่อากาศเปิด) วัยรุ่นเด็กๆแทบจะไม่ใส่กันเลย ใส่ก็คาดปากไม่แนบจมูกและหน้า ต่างจากภาพลักษณ์ความเป็นระเบียบที่คนภายนอกเห็นค่ะ (ในขณะที่สกอตแลนด์ ปิดคือปิดจริง ปิดทุกห้าง พอเปิดปุ๊บก็ลดราคากระหน่ำค่า)
……….
Before & After
ต่างประเทศเปลี่ยนอะไรเราบ้าง?
จากที่ไปแลกเปลี่ยน เรียน หรือทำงานในหลายๆ ประเทศ ทั้งออสเตรเลีย เยอรมนี สกอตแลนด์ อเมริกา ช่วยหล่อหลอมนิสัยเราให้ไปทางที่ดีขึ้น เราพยายามพึ่งตัวเอง ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่า ระวังและดูแลตัวเองทั้งสุขภาพและการใช้ชีวิต แล้วยังเผื่อแผ่ไปจนถึงคนที่เรารัก เพื่อนและครอบครัวด้วยค่ะ
เรื่องทัศนคติก็เปลี่ยนเหมือนกัน ประสบการณ์เปลี่ยนให้เรามองทุกอย่างเป็นกลาง ยอมรับความความคิดเห็นของคนอื่นและไม่ตัดสินผู้อืื่นจากภายนอกหรือเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้ง เราเลยยินดีมาก ถ้าได้โอกาสและสนับสนุนคนอื่น แต่เราก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าช่วยแค่ไหน ถ้าช่วยแล้วตัวเองลำบากก็ไม่ควรทำ เรายินดีจะช่วยเท่าที่ทำได้โดยไม่หวังผลตอบแทน เราเข้าใจว่าคนบนโลกเป็นล้านๆ และเราจะหวังให้เขาดีกับเราทุกคนไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราก็เริ่มจากตัวเราเอง และทำดีกับคนอื่นๆ ได้นะ
ปล. ตอนนี้พี่อยู่ที่เมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น สามารถติดตามหรือสอบถามเรื่องที่สงสัยทาง inbox เพจ DoubleS JP roaming ได้เลยค่ะ :)
......
ชวนอ่านต่อ
How to "เรียนกฎหมาย" ที่อเมริกา ต้องจบปริญญาตรีมาก่อน จึงจะเรียนได้!
https://www.dek-d.com/studyabroad/43144/
10 คำถามกับเด็ก ‘Harvard Law School' : รีวิวกว่าจะสอบติด, วิธีเรียน, สภาพแวดล้อม ฯลฯ
https://www.dek-d.com/studyabroad/55963/
คุยกับเด็กโทกฎหมาย 2 ใบที่ 'อังกฤษ' และ 'สกอตแลนด์' เปิดโลกทั้งระบบเรียนและคุณภาพชีวิต
6 ความคิดเห็น