
สวัสดีค่ะชาว Dek-D วันนี้มีเรื่องราวของคนไทยที่ได้ไปเรียนป.โท ภาคอินเตอร์ 'สาขาการออกแบบแสง' อีกแขนงของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่น่าสนใจและท้าทายมากๆ ค่ะ ต้องใช้ทั้งวิทย์และศิลป์ควบคู่กันเพื่อออกแบบการจัดวางแสงตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ นิทรรศการ ผังเมือง ฯลฯ เพื่อให้งานออกมาทั้งเริ่ดทั้งแง่ความสวยงามและฟังก์ชัน โดยปัจจุบันพี่คนนี้ทำงานเป็น Lighting Designer และมีประสบการณ์ทำงานมาแล้วทั้งที่ไทยและเยอรมนี
สาขานี้จะน่าสนใจและตอบโจทย์เรามั้ย? บรรยากาศการเรียนจะเป็นยังไงบ้าง? ตามไปส่องกันเลยค่ะ!
เรียนป.โทแบบฟรีๆ ที่เยอรมนี
(หลักสูตร 2 ปี ภาคอินเตอร์)
สวัสดีค่า ชื่อ 'จิ๋ว' นะคะ เรียนจบป.ตรีสาขาภูมิสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง จากม.ธรรมศาสตร์ หลังจากที่เรียนจบแล้วทำงานเกี่ยวกับการออกแบบแสงมา 3 ปี ก็อยากเรียนต่อด้านนี้โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่เราเจอข้อมูลว่าคณะนี้มีที่โซนยุโรปกับอเมริกา แต่ค่าเรียนอเมริกาจะจับต้องยากหน่อย เราเลยเลือกเรียนต่อ ป.โท สาขา Architectural Lighting Design ที่ Hochschule Wismar (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) ที่เยอรมนีแทน
หลักสูตรนี้ไม่เก็บค่าเทอม แต่มีค่าธรรมเนียมประมาณ 70 ยูโรต่อเทอม (~2,700 บาท) + ค่าธรรมเนียมทำบัตรนักศึกษาอีก 20 ยูโร (~787 บาท) อ้างอิงเรต 1 ยูโร = 39.38 THB อัปเดต ส.ค.64 *แต่ตอนนี้ไม่ใช่ทุกที่ในเยอรมันจะเรียนฟรี อย่างตอนนี้แคว้น Baden-Württemberg (stuttgart ของพี่ก็อยู่ในแคว้นนี้) เค้าเริ่มเก็บค่าเทอมกับนักเรียนต่างชาติแล้ว ต้องเช็กดีๆ ก่อนไปเรียน
Next start: winter semester 2021/2022
Closing date for application: 31 August 2021
** ตอนปีพี่จิ๋วเปิดรับ พ.ค. แต่ปีนี้ปิดรับสิ้นเดือนสิงหาคม ต้องเช็กกำหนดการแต่ละปีเผื่อมีการเปลี่ยนแปลงนะคะ (อ้างอิง: https://fg.hs-wismar.de/storages/hs-wismar/_FG/Studiengaenge/Architectural_Lighting_Design/FAQ_MA_ALD.pdf)
ถ้าเป็นมหาลัยอื่นในโซนเดียวกัน จะเป็นหลักสูตร 1 ปี (เรียน 1 เทอม + ทำธีสิส 1 เทอม) แต่ที่นี่เป็นหลักสูตร 2 ปี แบ่งเป็น 4 เทอม (เรียน 1 ปี + ทำรีเสิร์ช + ฝึกงาน) ตอนสมัครจะใช้ยื่นเอกสารตามใน requirement เช่น ใบรับรองจบการศึกษาป.ตรี, Transcript, ผลสอบ IELTS 6.0 (เราได้ 6.5), Portfolio ฯลฯ แค่ยื่นให้ครบแล้วรอติดต่อกลับ *ไม่มีสัมภาษณ์
ในหลักสูตรจะมีคลาสภาษาอังกฤษให้ แต่จะเน้นไปที่ technical terms สำหรับ lighting designer ดังนั้นการจะเรียนไหวภาษาอังกฤษไม่ต้องถึงขั้นดีมาก แต่อย่างน้อยต้องสามารถเขียนได้ เพราะเค้าไม่มีการสอนแกรมมาร์เพิ่มเติม แล้วเราก็ควรจะต้องฟังออก พูดได้เพราะเวลาทำงานกลุ่มต้องคุยกับเพื่อน สู้เพื่อเสนอไอเดียของเรา และมีพรีเซนต์หน้าห้องด้วย (ปีเรามีเอเชียกับยุโรปอย่างละครึ่งๆ คนฟิลิปปินส์กับอินเดียภาษาอังกฤษดีมากกก) เราเองก็ไปพร้อมพื้นภาษาอังกฤษระดับกลางๆ มีบ้างที่คนพูดมาหรือฟังเลกเชอร์แล้วหลุดๆ ไม่เข้าใจ แต่สักพักจะชินและปรับตัวได้
แต่ถ้าในแง่การใช้ชีวิต ถ้าไม่ได้ภาษาเยอรมันเลยจะใช้ชีิวิตลำบากมากมากกกบอกเลย ก่อนเดินทางเราเรียนภาษาเผื่อไว้จบแค่ระดับ A1 (ขั้นเบสิกสุด) กำลังจะเรียน A2 แล้วก็บินไปเลย คิดว่ายังไงก็หลักสูตรภาษาอังกฤษ100% อยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำงานที่นั่นด้วย แต่ปรากฏว่าเมืองที่ไปคือ Wismar เป็นเมืองเล็ก มีผู้สูงอายุเยอะ และคนไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษกัน เวลาเราไปซื้อของแล้วถาม เค้าอาจจะฟังไม่ออกหรือตอบกลับเป็นเยอรมัน
เล่าก่อนว่า "นักออกแบบแสงสว่าง" คืออะไร?
นักออกแบบแสงสว่าง (Lighting Designer) ทำงานร่วมกับสถาปนิกและนักออกแบบภายในโดยโฟกัสเรื่องแสงสว่างโดยเฉพาะ อย่างเช่นในโรงแรม รีสอร์ท ร้านอาหาร อาคารสำนักงาน สวน ถนนในโครงการ หรือสถานที่ใดก็ตามที่เน้นฟังก์ชันและต้องการความสวยงามไปพร้อมๆ กัน สเกลใหญ่สุดคือระดับผังเมือง ทำงานร่วมกับนักออกแบบผังเมือง
นอกจากนี้การออกแบบแสงยังประยุกต์ได้หลายอย่างมาก เช่น Art Installation (=ศิลปะจัดวาง เป็นแบบ 3D และตั้งเฉพาะจุด) งานผลิตภัณฑ์ตามโรงงานผลิตโคมไฟต่างๆ หรืิออย่างเพื่อนเรามีคนจบด้านเวทีละครแล้วมาเรียน เพราะแสงก็คือองค์ประกอบสำคัญบนเวทีเหมือนกันค่ะ
Cr. Elevation.maplogs.com
Cr. https://www.ignant.com/
สำหรับที่ Hochschule Wismar จะมีเปิดภาคอินเตอร์แค่บางหลักสูตร หนึ่งในนั้นคือสาขา Architectural lighting design ที่เราเรียน ในรุ่นมี 21 คน มีคนเยอรมันแค่ 2 คนนอกนั้นต่างชาติหมด (แล้วแต่ปี แต่ละปีไม่เหมือนกัน) *ที่ Hochschule Wismar มีในโปรแกรมทุน Erasmus ด้วยนะคะ ถ้าใครลงแล้วอยากแลกเปลี่ยนสามารถเลือกเรียนที่นี่ได้ แต่เป็นสาขา Architect
อย่างที่บอกว่าเป็นหลักสูตร 2 ปี แบ่งเรียนเป็น 4 เทอม มีทั้งวิชาบังคับและ slot ให้เราเลือกลงได้ตามความสนใจ มีทั้งเรียนแบบฟังเลกเชอร์แล้วทำการบ้าน และวิชาปฏิบัติ เป็นพวกการดีไซน์และเวิร์กชอป
ตึกเรียนของคณะสถาปัตยกรรม
ตัวอย่างวิชาเรียน
ตั้งแต่วิทย์จ๋าไปถึงศิลปะ
อย่างเช่นวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแสง เช่น แสงคืออะไร การทำงานของตา เมื่อจอประสาทตารับแสงแล้วจะมีกระบวนการอะไรเกิดขึ้นบ้าง อันนี้เป็นเบสิกๆ เรียนแบบเลกเชอร์ และ วิชาทฤษฎีเกี่ยวกับโคมไฟ เช่น วิวัฒนาการ เทคโนโลยี ประเภท ฯลฯ มีเชิญ Supplier บริษัททำโคมไฟมาพูดให้ความรู้เชิงลึกวิชาที่เราจะต้องทำโคมไฟเป็นของตัวเอง คิดตั้งแต่ concept เลือกวัสดุ ชิป LED ที่เค้ามีให้ ถ้ากำลังไฟมาหรือน้อยไปจะต้องใช้ตัวต้านทานมาช่วยลด
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายวิชา Strategic Management / Project Management / Design and Economics / Light and Health / Light and Materials
ส่วนที่สำคัญที่สุดคือในแต่ละเทอมเราจะต้องทำ Project Design 1 งาน เป็นงานกลุ่ม ซึ่งเราจะทำทั้งเทอม + Workshops 2 งาน ตัวอย่างเวิร์กชอปอย่างเช่นเวลามหาลัย/คณะ/ภาควิชามีจัดปาร์ตี้หรืองานเปิดตัว นักเรียนภาคนี้จะเข้าไปดูแลเรื่องการจัดแสงให้ หรือไปจัดไฟที่เมืองอื่น ซึ่งมันจะแตกต่างกันไปในแต่ละปี เราว่ามันคือหนึ่งในความสนุกสุดๆ ของชีวิตป.โท เพราะบางอันเราได้ไปทำนอกสถานที่ เลยได้เปิดโลกกับเห็นสถาปัตยกรรมของเมืองอื่นๆ ด้วย เวลาไปทีก็ไปกันครึ่งคลาสหรือยกคลาสนั่นแหละ เลยยิ่งสนุกไปอีก กับอีกตอนที่ชอบเหมือนกันคือไปดูงานตามโรงงานผลิตไฟ เพื่อนในรุ่นแบ่งกลุ่มกันเช่ารถขับข้ามเมืองเลยจ้าา ไปสามวันดูเป็นสิบโรงงาน โรงงานหลังๆ สติหลุดแล้ว 55555
ดูคอร์สเรียนทั้งหมดได้ที่นี่เรียนจบจะมีโคมไฟเป็นของตัวเอง~
เลือกทำ thesis ได้ 2 แบบ
- ทำ Research
- ทำ Project Design **เราเลือกอันนี้ ได้นำเสนอแนวทางออกแบบแสงสว่างของ The Archaeological Museum ของเมือง Beirut ที่ประเทศเลบานอน เพราะในช่วงฝึกงานแล้วออฟฟิศมีโปรเจกต์นี้อยู่พอดี เลยได้นั่งคิดว่าถ้าเกิดต้องออกแบบไฟให้ที่นี่ เราจะทำอะไรได้บ้าง (เป็นขั้นที่บริษัทยังไม่เริ่มดีไซน์ก็เลยทำได้ค่ะ)
เราคิดว่าการเรียนป.โทชิลล์กว่าป.ตรีอีกนะ แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารเวลา เราเองเจอช่วงหนักๆ คือตอนเทอม 2 วิชาที่ลงเรียนไว้มีงานส่งทุกวัน งานกลุ่มเยอะมาก กับอีกช่วงคือตอนที่ฝึกงานพร้อมทำธีสิสไปด้วย
(ตัวอย่างผลงานเด็กไลท์ติ้งของม.นี้)
ไม่มีพื้นฐาน/ประสบการณ์ เรียนได้มั้ย?
เรียนได้ แต่ถ้าให้ดีควรจะอ่านแบบเป็น ไม่ควร blank มาเลย อย่างคนในคลาสเราไม่ใช่ทุกคนที่จบสถาปัตย์ฯ มา บางคนจบ Product Design ซึ่งปกติจะต้องดูแบบของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว เค้าเลยมีพื้นฐาน ส่วนคนที่ไม่มีประสบการณ์ก็เรียนได้เหมือนกัน สมมติเรียนจบป.ตรี(อันนี้พูดถึงคนที่จบสถาปัตย์มาโดยตรง) ก็สามารถเอาโปรเจกต์ที่ทำแต่ละปีตอนเรียนมาใส่ Portfolio ยื่นสมัครเรียนได้
ช่องทางหลักคณะ
- Website: https://www.hs-wismar.de
- Facebook: @HochschuleWismar
- Instagram: @hochschule_wismar
- YouTube: HSPRE
- LinkedIn: hochschule-wismar/
ทำงานด้านแสงมา 2 ประเทศ
มีจุดเหมือนต่างยังไงบ้าง?
เราไปฝึกงานบริษัทที่เยอรมนีที่รับออกแบบทั้งภายในภายนอก แต่ดังเรื่องการออกแบบไฟให้พิพิธภัณฑ์ เราโชคดีไปอยู่พาร์ตนี้พอดี ตอนฝึกงานเค้าให้เราช่วยเขียนแบบ เลือกไฟ ทำสเปคไฟ แล้วมีพาไปนอกสถานที่ด้วย ดูจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการปรับไฟที่หน้างานเพื่อให้แสงลงที่วัตถุที่โชว์ และปรับความสว่าง
เรารู้สึกออฟฟิศที่เยอรมนีจะเปิดกว้างและสนุกกับการเล่นสีมากกว่า เค้ามีความ colorful ดูมีชีวิตชีวา แต่อาจเพราะที่เราทำเป็นงาน museum ด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็มีกฎที่กำหนดชัดเจนและเราต้องทำตาม เช่น ค่าความสว่างต่างๆ มาตรฐานของโคมไฟ แต่ตอนอยู่ไทยเราได้ทำแต่แนวโรงแรมกับร้านอาหาร ไฟที่ใช้ก็ค่อนข้างไปในทางคุมโทน กลมกลืนไปกับงานสถาปัตยกรรม แต่ก็แล้วแต่ประเภทและโจทย์ด้วยแหละ ถ้าเกิดเจ้าของอยากได้อะไรหวือหวาเราก็จะนำเสนอไอเดียได้มากหน่อย อีกเรื่องหนึ่งคือเวลาทำงาน ที่เยอรมนีเวลาเลิกงานจะค่อนข้างตรงเวลา ไม่มีการทำโอทีโดยไม่จำเป็น ซึ่งแตกต่างจากที่ไทยมากกก
ที่สำคัญคือเรารู้สึกว่าที่เยอรมนีเค้าให้ความสำคัญกับงานศิลปะกับงานดีไซน์จริงๆ หรืออย่างน้อยๆก็เรื่อง museum เห็นได้จากการที่แต่ละเมืองมี museum เยอะมาก ทำให้เราได้มีโอกาสทำงานที่หลากหลาย และเห็นตัวอย่างมากมายจากที่อื่นๆ
โดยรวมงานออกแบบแสงจะต้องอาศัยวิทย์กับศิลป์เข้าด้วยกัน เราต้องจินตนาการภาพสำเร็จเอาไว้ว่าจะให้ออกมาประมาณไหน ตอนเราวางผังว่าจะมีไฟอะไรตรงไหน จะต้องเลือกชนิดของโคมไฟของไฟที่จะใช้ไปด้วย // ดังนั้นเลยไม่แปลกที่เวลาไปไหนมาไหน เราจะคอยเงยหน้ามองโคมไฟตลอดว่าเค้าใช้แบบไหน อยู่ตำแหน่งไหนบ้าง คอยสังเกตแล้วเก็บเป็น reference ไว้ 555
*สิ่งที่ต้องระวังสำหรับงานนี้คืออุบัติเหตุเวลาเราต้องปีนขึ้นไปปรับไฟ แล้วสมมติเป็นงาน museum เราจะต้องใส่ไฟในราง (Track Light) ปกติจะขยับเลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งตามที่ต้องการได้ เสร็จแล้วล็อกไฟไว้ ซึ่งถ้าล็อกไม่ดีแล้วไฟในรางนี้ตกใส่ของเข้าคือซวยมาก! หรือบางทีเราออกแบบไว้ แต่พอหน้างานพบว่าของมาแบบเล็กไปใหญ่ไป ส่องไม่โดนของที่โชว์ ก็ต้องมาคอยแก้ปัญหาหน้างาน
รีวิวชีวิตใน Wismar
เมืองเล็กที่มีกลิ่นอายสแกนดิเนเวีย
เล่าเรื่องเมืองบ้าง เมือง Wismar มีติดหนึ่งในในลิสต์ของ UNESCO ด้วยนะ ที่นี่เป็นเมืองท่าเรือเล็กๆ บรรยากาศจะเงียบๆ หนาวๆ อยู่ทางตอนเหนือของเยอรมนี // ตึกน่ารักมากกกก เวลาเดินเล่นที่เขตเมืองเก่ากับแถวท่าเรืออาจจะรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในเยอรมนีเพราะเมื่อก่อนเมืองนี้เคยตกอยู่ใต้อาณานิคมของสแกนดิเนเวีย ทำให้ได้รับอิทธิพลด้านสถาปัตยกรรมมาเยอะ แล้วด้วยความเป็นเมืองเล็ก ก็จะมีแค่รถบัส 2-3 สาย มาทุกครึ่งชั่วโมง ไม่เหมือนเมืองใหญ่ที่มีแทรม เหมือน MRT ที่ไทย ดังนั้นแทบจะทุกคนจะมีจักรยานของตัวเอง พวกร้านค้าจะปิดเร็วและปิดวันอาทิตย์ คาเฟ่ไม่เยอะ มีเมนูเฉพาะคือแซนด์วิชกับปลาแฮร์ริ่งรมควัน มีขายที่ท่าเรือเท่านั้น (ซึ่งไม่อร่อยสำหรับเรา 555)
ด้วยความที่เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ใครที่ชอบแสงสี หรือกิจกรรมทำนู่นทำนี่ ชอปปิง ดูหนัง ไปคาเฟ่ อาจจะไม่ชอบ Wismar เพราะเมืองมันไม่ค่อยมีอะไรให้ทำ กิจกรรมส่วนใหญ่นอกจากเรียนก็จะเป็นแฮงก์เอาท์กับเพื่อนๆ ทำอาหารกินกัน ไปเที่ยวเมืองใกล้ๆ และบางทีทางมหาลัยก็มีจัดปาร์ตี้บ้าง
ช่วงหน้าร้อนมีให้นั่งเรือเที่ยวด้วย
ค่าครองชีพ
ปกติเวลาจะไปเรียนที่เยอรมนี เค้าจะบังคับให้เราเปิดบัญชีชื่อ Blocked account และเราต้องใส่เงินเข้าไปในบัญชีนั้นสำหรับอย่างน้อย 1 ปี และเค้าจะเฉลี่ยให้เราถอนมาใช้ได้ทุกเดือนจนครบปี โดยทางเยอรมนีจะกำหนดมาให้เลยว่าขั้นต่ำเท่าไหร่ เช่นตอนพี่ไปต้องใส่ในบัญชี 8640 ยูโร และถอนมาใช้ได้ 720 ยูโรต่อเดือน เป็นยังงี้ 1 ปี แต่เร็วๆ นี้จะขึ้นเป็น 10,236 ยูโรแล้ว
Note: ขณะที่เรียน เราจะใช้เงินจาก Blocked account ตามที่อธิบายไปตะกี้ หรือถ้าอยากทำงาน mini job ก็ทำได้ แต่ต้องไม่ให้เกินชั่วโมงที่กำหนดไว้ในวีซ่านักเรียน และถ้าอยากทำงานระหว่างเรียนที่ wismar ต้องสามารถพูดเยอรมันได้ พอมาฝึกงานเราจะได้เงินเดือนนิดหน่อย จะพอใช้มั้ยอันนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทให้เราเท่าไหร่ และหลักๆ คือที่พักแพงมั้ย แล้วตอนทำงานถึงจะได้เงินเดือนเต็มๆ ที่ตอนแรกๆ อาจจะพอแค่ค่ากินค่าอยู่เท่านั้น แต่ก็แล้วแต่อีกทีว่าบริษัทที่เราทำจ่ายมากแค่ไหน
เราคิดว่าโดยรวมมันสมเหตุสมผลกับค่าครองชีพ เงินเดือนเริ่มต้นก็พอค่าเช่าห้องและค่าอาหารอยู่แล้ว อาจต้องทำกินเองบ้างบางมื้อ ถ้าเป็นมื้อง่ายๆ ถูกๆ ตก 4-5 ยูโร (ส่วนใหญ่เป็นเคบับ ฟาสต์ฟู้ด ไส้กรอก ฯลฯ) ส่วนที่พักตอนเรียนเราอยู่หอในมหาลัย ตก 200-250 ยูโรต่อเดือน ส่วนใหญ่เป็นยูนิตนึง แชร์ห้องน้ำห้องครัวกัน แต่ช่วงไปฝึกงานที่เมือง ชตุทท์การ์ท (Stuttgart) ค่าหอจะอยู่ช่วง 350-600 ยูโร (เมืองใหญ่กว่า Wismar เยอะ หอเต็มตลอด) หรือถ้าจะเช่าห้องสตูดิโออยู่คนเดียวก็ประมาณ 600 ยูโรได้
หรือถ้าอยากซื้อรถอ่ะไม่แพง (ปกติคนที่นั่นจะขับ Volkswagen) แต่ที่แพงมากคือใบขับขี่ 5555 ถ้าจะลงเรียนเพื่อสอบใบขับขี่จนจบคอร์สจะประมาณ 2,000 ยูโร หรือจะเอาใบขับขี่ที่ไทยไปเปลี่ยนก็ได้ แต่พี่ไม่รู้ว่าเสียกี่ร้อยยูโร แล้วที่ Wismar จะไม่มีบริการเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าอยู่ Wismar คือซื้อจักรยาน ถ้าอยู่ Stuttgart ระบบขนส่งมันค่อนข้างครอบคลุมอยุ่แล้ว ถ้าทำงานไปซักพักค่อยมีเงินเก็บพอซื้อรถ **ทั้งนี้ กฎหมายที่นั่นคือถ้ารถเก่าเกิน 7 ปีต้องเปลี่ยน ห้ามขับในเขตเมืองเพราะเหตุผลเรื่องมลพิษด้วยค่ะ
ทัวร์เมือง Stuttgart ปิดท้าย!
.
.
.
[ชวนอ่านต่อ]
รวมลิสต์ 5 ทุนเรียนต่อ "เยอรมนี" มอบให้เต็มจำนวน-ไม่ต้องใช้ทุน! (update พ.ค. 2021)
https://www.dek-d.com/studyabroad/57739/
เคลียร์ข้อสงสัย! แนะนำการเรียนต่อ "เยอรมนี" สำหรับทุกคนทุกระดับ
https://www.dek-d.com/studyabroad/45846/
รวมมาให้แล้ว! ประเทศไหนในยุโรปให้ "เรียนฟรี" บ้าง?
https://www.dek-d.com/studyabroad/40336/
2 ความคิดเห็น
ถ้าจบ ป.ตรี ไฟฟ้า สามารถไปเรียนต่อด้าน light design ได้ไหมครับ
สมัครงานด้านออกแบบแสงในไทย มีบริษัทไหนบ้างคะ มีแนะนำมั้ยคะ