
สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงดินแดนรองเท้าบูทแห่งยุโรปตอนใต้ อย่าง 'อิตาลี' แน่นอนว่ากิตติศัพท์ด้านความเฟื่องฟูของศิลปะที่ไปสุดในทุกแขนงก็ได้ดึงดูดนักเรียนและนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสศิลปะกลิ่นอายยุคคลาสสิกที่ฉายชัดมาถึงปัจจุบัน เพราะหากย้อนไปราวๆ ศตวรรษที่ 14-17 ที่นี่คือศูนย์กลางของศิลปะยุคเรเนอซองส์ (Renaissnace = 'rebirth') ก่อนความรุ่งเรืองจะเผยแพร่ไปทั่วยุโรป
และวันนี้เราจะพาไปรู้จัก 'เบลล่า - สนิทพิมพ์ ศิริชาติปภากุล' ศิษย์เก่าอักษรจุฬาฯ เอกภาษาอิตาเลียน หนึ่งในสมาชิก CU BAND ที่ได้ทุนรัฐบาลอิตาลีไปเรียน ป.โท ในหลักสูตรด้านการละครที่ชื่อ Discipline della musica e del teatro (Master in Music and Theatre Studies) คณะ Human Studies ที่ Università di Bologna ซึ่งเมืองก็ตั้งอยู่ใจกลางเมือง 'โบโลญญา' ที่เป็นเมืองมหา'ลัยและถูกฉาบด้วยฟิลเตอร์สีส้มอิฐ มาดูกันว่าเรื่องเรียน การใช้ชีวิต และมุมมองการให้ค่าของศิลปะจะน่าสนใจแค่ขนาดไหน (รูปเยอะมาก! ขอขอบคุณภาพจากเจ้าของเรื่อง IG: @sanitpims นะคะ)
เด็กเอกภาษาอิตาเลียน
ผู้หลงรักศิลปะและการขับร้อง
จริงๆ แล้วทุกอย่างไม่ได้ตั้งต้นที่อิตาลีเลยค่ะ เราเคยอินกับญี่ปุ่นมาก ทั้งเคยแลกเปลี่ยนแล้วตั้งใจจะเข้าป.ตรีเอกญี่ปุ่นจริงจัง แต่พอเจอการแข่งขันที่สูงชนิดที่ว่าคะแนนสอบเต็ม 30 แล้ว medium อยู่ที่ 28.5 เลยขอหันไปซบเอกภาษาอิตาเลียนแทน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นอีกทางเลือกที่มีแพสชันไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะเราสนใจศิลปะกับโอเปราอยู่แล้ว
(ขวา) ประกวด MissSupranational2017
ทีนี้เราก็เป็นคนชอบร้องเพลงมาก ตอนเรียนจุฬาฯ เลยเข้า CU BAND ชมรมดนตรีสากลของจุฬาฯ แล้วจากนั้นความชอบเราก็ถูกต่อยอดไปอีก เพราะได้รับเชิญจากสถานทูตอิตาลีในไทยให้ไปช่วยร้องเพลงภาษาอิตาเลียนให้ พอก่อนเราเรียนจบเขาก็ยังช่วยอัปเดตข่าวว่าตอนนี้ทุนรัฐบาลอิตาลีกำลังเปิดรับสมัคร เราก็เลยไปลองดูค่ะ แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากกก สัมภาษณ์เสร็จได้ทุน บินไปอิตาลีหลังรับปริญญาเสร็จแค่ 1 วันเท่านั้น
มูลค่าทุน ค่าเรียน100% + ประกันสุขภาพ + ค่าใช้จ่าย €900 ต่อเดือน (เทียบเรตตอนนี้ประมาณ 35,000 บาท) สิ่งที่เราต้องจ่ายเองคือค่าตั๋ว ค่าทำวีซ่า สถานทูตจะช่วยอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่าให้ แต่เนื่องจากต้องรอเงินเข้า 3-4 เดือน เราเลยต้องสำรองจ่ายค่าอพาร์ตเมนต์ไปก่อน
*ผู้อ่านสามารถศึกษารายละเอียดทุนรัฐบาลอิตาลีของปีก่อนๆ เป็นแนวทางได้ที่ลิงก์นี้นะคะ https://www.dek-d.com/studyabroad/52709
พอได้ทุนแล้วต่อไปคือเราต้องสมัครมหาวิทยาลัยให้ผ่าน แล้วยื่นเอกสารให้ทางทุนไปดำเนินการต่อให้ ขั้นตอนสมัครเรียนคณะเราที่ ม.โบโลญญาไม่ยากนะ ไม่มีข้อเขียนและไม่ต้องใช้คะแนนภาษา มีแค่ส่งเอกสาร, Motivation Letter, โชว์ Portfolio จากนั้นก็นัดสอบสัมภาษณ์ได้เลย *ที่ไทยมีจัดสอบภาษาอิตาเลียนน้อยและเว้นระยะเวลานาน จนอาจทำให้สมัครไม่ทันเดดไลน์ ตอนเราส่งอีเมลไปถามเขาอนุโลมให้เราสอบวัดระดับของทางม.ได้เลย
เริ่มชีวิตใหม่ใน 'โบโลญญา'
ศิลปะ / ผู้คน / ต้นกำเนิดแฮมโบโลนา
เล่าก่อนว่าเรื่องสถาปัตยกรรมที่อิตาลีคือขึ้นชืิ่ออยู่แล้ว ประเทศเขาส่งเสริมพื้นที่สาธารณะดีมากๆ โดยจะแบ่งการปกครองเป็นเขตๆ ที่เรียกว่า Commune มีกฎรักษาความสะอาด ถ้าจะก่อสร้างอะไรก็ต้องควบคุมสีและขนาดตามที่กำหนดเพื่อรักษาทัศยนียภาพและสภาพแวดล้อมโดยรอบ อย่างโบโลญญาจะมีชื่อเล่นว่า 'เมืองสีส้ม' เพราะสถาปัตยกรรมเป็นสีส้มอิฐทั้งเมือง แล้วจะยิ่งสวยไปอีกเวลาที่เดินเล่นแล้วเห็นแสงที่กระทบทำมุมกับตึก
@sanitpims
@sanitpims
ตัวเมืองโบโลญญาเองจะไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดต้องนั่งรถไฟใต้ดิน (metro) คนที่นี่เลยเลือกจะสัญจรโดยการนั่งบัส เดินหรือปั่นจักรยานกันตลอดเวลา ด้วยความที่ภูมิประเทศส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นภูเขา เราจะเที่ยวแนวธรรมชาติไปปีนเขาชมวิวก็ได้ แต่ถ้าใครชอบแนวศิลปะ ที่นี่จะมีมิวเซียมกับอีเวนต์เยอะมากๆ แล้วในวันเสาร์อาทิตย์ ตรงถนนสายหลัก (main street) เขาก็จะปิดเพื่อให้คนมาเดินเล่น มีโชว์เปิดหมวก ขายงานศิลปะ ร้องเพลงเล่นกีตาร์ ฯลฯ มันดีมากกกก
เรารู้สึกว่าคนอิตาเลียนจะมีความ extrovert พอสมควร สมมติมีคนเอ่ยปากชวน ‘ว่างมั้ยไปคอฟฟี่กัน’ จะหมายถึงการนัดจิบกาแฟ กินแอลกอฮอล์ มันฝรั่ง ขนมปังจุ๊บจิ๊บ ก่อนจะไปต่อด้วยดินเนอร์กับบทสนทนาที่ยาวเป็นชั่วโมง (แล้วอาหารที่นี่เด็ดและหลากหลายมาก แล้วขอบอกว่าโบโลญญาคือต้นกำเนิดของ Mortadella Bologna หรือ แฮมโบโลนา ที่บ้านเราเรียกนั่นแหละ อย่างเดียวกันเลย)
@sanitpims
@sanitpims
@sanitpims
ความดีงามในเมืองมหาวิทยาลัย
ค่าครองชีพพอๆ กับกรุงเทพฯ
วันๆ เราจะไม่ค่อยเจอเพื่อนคณะอื่น เพราะที่ตั้งแต่ละคณะจะแยกออกมาตามถนนเส้นต่างๆ กระจายทั่วเมือง หรือถ้าออกนอกกำแพงเมืองไปหน่อยจะเจอคณะวิศวะ ดังนั้นวัยรุ่นเลยชอบนัดปาร์ตี้กัน ฮิตหน่อยก็ตรงจัตุรัสของมิลานที่ชื่อ ‘Piazza Verdi’
@sanitpims
@sanitpims
ข้อดีคือทุกอย่างในเมืองจะมีราคานักศึกษาหมด! ฟิตเนสก็มีส่วนลดหรือเข้าฟรี บางทีไปดูโอเปราหรือเข้ามิวเซียมยังฟรีด้วยซ้ำ มหา'ลัยก็มีโรงอาหารราคาถูกกว่า และมีประกันสุขภาพของนักศึกษา จริงๆ เงินเดือนที่ทุนให้ก็อยู่ได้แล้วถ้าไม่เหมือนเราช่วงแรกๆ ที่สั่งอาหารทุกวันเพราะทำไม่เป็น 5555 พอทำได้ก็ประหยัดขึ้นเพราะทุกเมืองมีร้านเอเชียให้เราไปซื้อวัตถุดิบในราคาถูก นอกจากนี้เราจะชอบไปสอยเสื้อผ้าที่ร้านวินเทจมือสองที่มิลานกับโบโลญญา เขาจะโละแบรนด์ต่างๆ มาขาย อย่างวันก่อนเราเพิ่งจะได้แจ็กเกตที่ลดราคาจาก €200 เหลือแค่ €15 เอง
ส่วนเรื่องที่พัก ถ้าแชร์อพาร์ตเมนต์ได้จะประหยัด มีห้องส่วนตัว แต่มีของส่วนกลางที่ใช้ร่วมกัน แต่เราจะต้องสัมภาษณ์กับคนที่เช่าอยู่ก่อนแล้ว อารมณ์เหมือนสัมภาษณ์เข้าเรียนหรือทำงานเลยค่ะ 5555 เราโชคดีตรงพูดภาษาอิตาเลียนได้ ทำให้จัดการเองได้หมดโดยไม่ต้องผ่านเอเยนซี่ เริ่มจากเข้าไปหาห้องว่างในกรุ๊ปแล้ว VDO Call กับคนที่เช่าอยู่แล้ว(และหาคนแชร์) คุยเสร็จปิดดีลทันที ได้ในราคา €370 หรือประมาณ 14,000 บาทต่อเดือน อันนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะด้วยค่ะ เพื่อนบางคนมาช่วงตุลาคม เป็นช่วง Autumn Semester มีนักเรียนต่างชาติหาหอแล้วคนย้ายเข้าเยอะ ก็เลยทำให้ใช้เวลานาน บางคนเช่า AirBnb สองเดือนกว่าจะได้อพาร์ตเมนต์
เข้าสู่โหมดเรียนของเด็กเอกละคร
คณะเราจะมี 2 เอก หลักสูตรป.โทมีดนตรี (Music) กับการละคร (Theatre) เราเลือก Theatre เพราะตอนอยู่ไทยเคยเล่นละครเวทีมาก่อน มีพื้นความรู้มากกว่าฝั่งดนตรี แต่ยังไงก็ต้องเรียนวิชาพื้นฐานของทั้งสองเอกอยู่แล้ว
ตอนเรียนเราไม่ได้ต้องอ่านหนังสือเยอะเหมือนเด็กกฎหมาย เพียงแต่ต้องอาศัยความเป็นนักวิเคราะห์วิจารณ์ เพราะเรียนแบบเน้นดิสคัส อาจารย์เปิดกว้าง ไม่มีถูกผิด แต่เราต้องมีเหตุผลซัพพอร์ต แต่ยากตรงหลักสูตรเป็นภาษาอิตาเลียนล้วนๆ ช่วงแรกร้องไห้ทุกวันเพราะศัพท์ยากมากกกก เราเคยอ่าน text ภาษาอิตาเลียนตอนเรียนอักษรฯ แต่ไม่ได้ 100% แบบนี้ ต้องอ่านเพื่อให้เข้าใจเนื้อความแล้วเอาไปพูดอีก ใช้เวลาเกือบปีกว่าจะลงตัว ตอนเรียนจบต้องเขียนธีสิส 1 เล่ม และดิสคัสธีสิสหัวข้อที่เขียน ซึ่งภาษาวิชาการสำหรับเขียนและพูดก็ต่างอีก
@sanitpims
รีวิววิชาเรียนสักนิด
ถ้าบังคับจะมี 3 วิชาคือ Musical Dramatic, Theater Management กับ Theater and Culture and Performance Art นอกนั้นเป็นวิชาเลือก เช่น Music Pedagogy, Dance Theories and Poetics ฯลฯ และวิชาฝั่งมนุษยศาสตร์ เช่น History, Literature, Philosophy ฯลฯ
- Musical dramatic เรียน Opera (เป็นละครเวทีที่เน้นดนตรี) ในคลาสเขาจะเปิดโอเปราให้ดูแล้ววิเคราะห์แบบละเอียดมากตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้าย ดนตรีสื่อถึงอะไร ผู้กำกับจะเลือกให้นักแสดงทำแบบนี้เพื่อสื่อถึงอะไร นักแสดงจะตีความบทละครยังไงบ้าง ฯลฯ เป็นการผนวกความรู้ทั้งดนตรีและละครไว้ด้วยกัน
- Music Pedagogy เรียนเกี่ยวกับการสอนดนตรี วิชานี้เราได้ไปฝึกสอนน้องนักเรียนช่วงมัธยม 1-2 ครั้งด้วย
- Dance Theories and Poetics เราลงเพราะสนใจ Temporary Dance ดูแล้วมานั่งดิสคัส สนุกดีอ่ะ มันจะมี workshop ศิลปินที่มาแล้วอาจารย์พาคนในคอร์สขยับร่างกายไปเรียนกับเขาด้วย
พอเป็นป.โทหลายคนคิดว่าคนจะต่างคนต่างเรียน แต่เราโชคดีตรงได้เพื่อนน่ารักมาก เค้าคอยช่วยตลอด วันที่ไปเรียนไม่ได้เขาก็คอยส่งเลกเชอร์หรืออัดเสียงส่งให้ ตอนสอบนั่งติวด้วยกัน จนเราไม่รู้สึกว่าการแข่งขันสูงเลย
Musical theatre workshop by Roberto Serafini
@sanitpims
Musical theatre workshop by Roberto Serafini
@sanitpims
Musical theatre workshop by Roberto Serafini
@sanitpims
ประเทศที่ผู้คนยอมจ่ายแพง
เพื่อเสพดนตรีและศิลปะ
สภาพแวดล้อมที่นี่คือเหมาะกับคนเรียนดนตรีหรือศิลปะอยู่แล้ว เราไปเที่ยวเยอะมาก แล้วรู้สึกที่ไหนก็สวยๆๆ ไปหมด 555 อย่าง Venice คือเลิฟสุดเพราะเราชอบน้ำชอบทะเล แล้วยังมีโบสถ์ Piazza San Marco ที่ดีเทลล์เฉพาะตัวต่างจากโบสถ์อื่นในอิตาลี หรืออย่าง Florence ก็เป็นเมืองศูนย์กลางยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) บ้านเกิดของศิลปินดังระดับโลกอย่าง Michelangelo, Leonardo da Vinci หรือ Raphael ในตัวเมืองจะมีแหล่งชอปปิงและมิวเซียมเยอะ ในขณะที่ Milan ตึกรามบ้านช่องจะเป็นฟีลเมืองธุรกิจและมีความโมเดิร์นมากกว่า ตึกสูงเยอะ ผู้คนใช้ชีวิตเร่งรีบ เดินทางด้วยเมโทรและแทรม
@sanitpims
@sanitpims
ที่อิตาลีเวลามีคอนเสิร์ต งานดนตรี การแสดงโอเปรา คลาสสิกเธียเตอร์ คนจะเต็มทุกรอบ เขายอมจ่ายค่าตั๋วที่ราคาไม่ได้เบาเลย (แต่เรามีสวัสดิการนักศึกษาฟรี) คอนเสิร์ตฮอลล์ก็มีบ่อยมากเดือนละ 1-2 ครั้ง แม้จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงในสังคมเขา ไม่ใช่ดังแบบเป็นนักร้อง pop แต่ก็ได้รับความสนใจตลอด นักดนตรีสามารถอยู่ได้ คนที่นี่ไม่ได้ไปร้านอาหารเพื่อกินข้าวแล้วฟังเพลงเป็นของแถม แต่คนไปร้านอาหารเพื่อฟังเพลงเสพสุนทรีย์เป็นหลัก อย่างเช่นบาร์แห่งหนึ่งจะมีตารางงานออกมาว่าคืนนี้มีวงไหนเล่นบ้าง แล้วคนก็จะสลับกันเข้าไปดู
เรารู้สึกว่าคนที่เป็นศิลปินในอิตาลีจะมีอีโก้ในตัวเองสูง เขาทำเพราะรักสิ่งนี้และได้สื่อตัวตนเต็มที่โดยไม่ได้สนใจเรื่องเงิน อาจเพราะเขาโตมาในพื้นที่ที่มองทางไหนก็สวยและสร้างแรงบันดาลใจได้หมด ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเพื่อหาเงิน มีเวลาใช้ชีวิตและเสพศิลปะได้ตลอด
นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่ไม่ค่อยนำเข้าของจากต่างประเทศ หรือถ้าอย่าง McDonald เขาจะเขียนเลยว่าเป็นเนื้อจากอิตาเลียน Product of Italy คุณภาพดีแน่นอน ร้านเสื้อผ้าก็มักจะเป็นร้านที่แฮนด์เมด ดีไซเนอร์ทำขายเองเยอะและประสบความสำเร็จกันหลายคน เพราะผู้คนให้คุณค่ากับงานศิลปะจริงๆ
@sanitpims
@sanitpims
ความท้าทายเรื่องการปรับตัว
ทั้งภาษา ผู้คน และคุณภาพชีวิต
อิตาลีอาจจะเศรษฐกิจไม่ได้ดีมาก และคนเกษียณช้าจนทำให้คนรุ่นใหม่หางานยากโดยเฉพาะแวดวงศิลปะ แต่โดยรวมเราคิดว่าคนที่อิตาลีมีคุณภาพชีวิตที่ดีเพราะสวัสดิการดี พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเลยค่ะ และแม้ว่าเงินเดือนแต่ละอาชีพจะไม่ได้สูง แต่เขาให้เกียรติทุกอาชีพเหมือนกันหมด
คนอิตาลีที่เราเจอจะใจดีและมีความเห็นอกเห็นใจสูง เราว่าพวกเขาน่าจะนิสัยคล้ายคนไทยในแง่การทำงาน คนทุ่มกับงานก็มี แต่ที่เจอบ่อยจะเป็นสไตล์ชิลล์ๆ ค่อนไปทางไร้การวางแผน อยากทำอะไรก็ทำเลยเดี๋ยวค่อยว่ากัน ค่อนข้างประนีประนอมจนบางทีดูยืดหยุ่นมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องระบบราชการ งานเอกสารจะล่าช้ามาก อย่างเช่นตอนไปทำใบอนุญาตพำนักที่อิตาลี (Permit to stay) เราต้องยื่นเอกสารทางไปรษณีย์ รอแจ้งผลกลับ จากนั้นต้องสแกนยืนยันตัวตนและรอไปอีก 3-5 เดือน ถ้าใครจะทำเอกสารที่นี่ควรเผื่อเวลาดีๆ เลย
@sanitpims
ส่วนเรื่องภาษา เราว่าภาษาอิตาเลียนอาจจะไม่เซ็กซี่เท่าภาษาฝรั่งเศส และไม่ได้ agressive ขนาดนั้น แต่เราชอบตรงเวลาส่งต่อความรู้สึกแล้วฟังดูมีอิมแพค สมมติเจอคนอิตาเลียนคุยกันเราอาจคิดว่าเขาทะเลาะกันก็ได้
ช่วงแรกที่มาถึงแล้วเจอคนอิตาเลียนพูดจริงๆ ก็เสียเซลฟ์ไปเหมือนกัน เพราะเราเรียนแบบทางการ แล้วยังมาเจอสำเนียงของแต่ละแคว้นที่ต่างกันมาก ยิ่งที่โบโลญญาคือเหมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แถมนักเรียนก็มาจากทุกมุมของอิตาลี และบางคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (*ปกติที่มิลานกับโรมคนจะพูดภาษาอังกฤษได้แต่ไม่ fluent เน้นใช้เชิงธุรกิจกับการท่องเที่ยว แต่ Bologna ไม่ใช่เมืองเที่ยว)
ดังนั้นต้องใช้เวลาหน่อยก็จะปรับตัวได้ค่ะ บางคนเห็นเราเป็นต่างชาติเขาก็จะช่วยพูดช้าลงให้ ทุกวันนี้เราสามารถฟังและโต้ตอบในชีวิตประจำวันหรือระดับวิชาการก็ได้ แต่อาจไม่ถึงกับ 100% วิธีฝึกของเราคือพยายามพูดบ่อยๆ เน้นอธิบายตัวเองให้โดยที่ยังไม่ต้องสนเรื่องถูกผิด บางทีก็ผสมๆ ภาษาอังกฤษไปด้วย นอกนั้นก็ดูซีรีส์ หนัง แฮงก์เอาต์บ่อยๆ ช่วยได้
Q: คิดว่าอะไรคือความยากของภาษาอิตาเลียน?
- การผันกริยา (verb) เพราะมีหลายตัวแปรมาก สมมติคำว่า "ฉัน กิน" ก็จะ verb ตัวนึง แต่ถ้าเปลี่ยนประธาน (subject) เป็น "เธอ กิน" ก็ต้องเปลี่ยน verb แล้ว
- คำบุพบท (preposition) จำยากเพราะไม่เมกเซนส์กับสิ่งที่เราคุ้นเคยจากภาษาอังกฤษ เช่น I go for ไม่ใช่ I go to
- ศัพท์เยอะโดยเฉพาะคำคุณศัพท์ (adjective) จะมีแตกเป็นหลายคำ สมมติคำว่า ‘ตื่นเต้น’ จะมีกลิ่นว่าบริบทนี้ควรจะใช้ตื่นเต้นแบบไหน เราถึงได้บอกว่าคำภาษาอิตาเลียนสามารถสื่อสารได้เลยโดยไม่ต้องอธิบายเยอะ
@sanitpims
ปิดท้ายด้วยชีวิตช่วง pandemic
อัปเดตสถานการณ์ & วัคซีน
ตอนแรกเราคิดว่าเป็นเด็กอินเตอร์น่าจะได้ฉีดวัคซีนหลังคนประเทศเขา แต่ไม่เลย เราลองเช็กแล้วไปร้านขายยาแล้วจองวัคซีนได้ เขาจะถามชื่อ, วันเกิด, track code (คล้ายๆ เลขบัตรประชาชน) แล้วถามว่าเรามีทำประกันไว้มั้ย พอดีเรามีทำไว้ในฐานะนักศึกษาและครอบคลุมถึงสิ้นปีนี้ จากนั้นนัดคิวฉีดได้เลย เขาจะพิจารณาเลือกวัคซีนให้ตามความเหมาะสม ซึ่งจะมี Moderna, Pfizer, Astrazeneca และ Johnson & Johnson จริงๆ ตอนแรกมีเคสที่คนฉีด Az แล้วมีปัญหาลิ่มเลือด เขาเลยระงับการฉีดให้คนอายุต่ำกว่า 60 ปี
ส่วนบรรยากาศช่วง pandemic ก็จะมีช่วง 2 เดือนแรกที่ระบาด เขาจะห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน ต้องเว้นระยะห่าง คนจริงจังมากๆ แต่พอซัมเมอร์ปีก่อนคนเริ่มชิลล์และคุ้นเคยกับการป้องกันตัวเอง จนลืมตัวบ้าง ปาร์ตี้บ้าง ทำให้ผู้ติดเชื้อกลับมาพุ่งช่วงหน้าหนาว แต่ตอนนี้มีวัคซีนเข้ามาทำให้คนใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้นค่ะ :)
@sanitpims
@sanitpims
@sanitpims
@sanitpims
@sanitpims
@sanitpims
Instagram icon (cover) by Freepik
0 ความคิดเห็น