แลกเปลี่ยน 1 ปีเต็มที่ ‘ออสเตรีย’ ดินแดนแห่งศิลปะ ระบบเรียนสุดชิลล์ จุดแพสชันต่อโทในยุโรป!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D เราเชื่อว่ามีน้องๆ หลายคนตั้งเป้าหมายการเรียนและทำงานในประเทศแถบยุโรป เพราะกิตติศัพท์ความดีงามเรื่องคุณภาพชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ความเจริญด้านต่างๆ หรือแม้แต่ระบบการศึกษาที่ให้อิสระและปลูกฝัง Critical Thinking บางคนเลยพยายามมองหาโอกาสไปแลกเปลี่ยนช่วงสั้นๆ ซึ่งไม่ได้มีแค่ระดับมัธยมเท่านั้น เพราะบางมหาวิทยาลัยในไทยก็มีโครงการให้นิสิตนักศึกษาไปแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยคู่สัญญาในต่างประเทศด้วยค่ะ

และวันนี้เราจะพาไปรู้จักกับ ‘พี่ปราง’ บัณฑิตคณะเศรษฐศาสตร์อินเตอร์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ที่เคยไปแลกเปลี่ยนตอนปี 3 เป็นระยะเวลา 1 ปีเต็ม (ปี 2014-2015) กับโครงการของมหาวิทยาลัย บอกเลยว่าสุดคุ้มมากกกในทุกด้าน และเพิ่มแรงผลักดันให้เธอขอทุน ก.พ.ไปเรียนปริญญาโทที่ยุโรปสำเร็จ เรื่องราวจะน่าสนุกขนาดไหน มาอ่านแล้วทำความรู้จักประเทศนี้ไปพร้อมๆ กันเลย!

*ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลเพิ่มเติมจาก Blog ส่วนตัวเจ้าของเรื่อง

 

travel around EU ประสบการณ์แลกเปลี่ยนในยุโรปหนึ่งปีเต็ม

https://prangwong.blogspot.com/2014_09_06_archive.html 

 

ประสบการณ์แลกเปลี่ยนต่างประเทศ ณ ประเทศออสเตรีย ยุโรป

https://prangwjourney.wordpress.com/2021/08/10/

 

“ไม่เก่งภาษา แต่สปีดตัวเองเพราะอยากไปแลกเปลี่ยน”

“สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘ปราง’ นะคะ เราเรียนป.ตรีคณะเศรษฐศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ (BE Program) ม.ธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ช่วงปี 3 เราได้ไปแลกเปลี่ยน 1 ปีที่ JKU – Johannes Kepler Universität Linz ประเทศออสเตรีย มหาลัยนี้ตั้งอยู่ที่เมืองลินซ์ (Linz) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเป็นเมืองหลวงของรัฐอัปเปอร์ออสเตรีย (Upper Austria) ด้วย”

เล่าย้อนไปตอนปี 2 เราไม่ใช่คนที่เก่งภาษาอังกฤษ สื่อสารได้แบบไม่ fluent แต่ต้องถีบตัวเองเพราะเนื้อหา BE ที่เรียนทั้งยากและเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด และเรามีความฝันอยากไปแลกเปลี่ยนให้ได้ เลยพยายามอ่านหนังสือเพื่อไปสอบวัดระดับ

ตอนนั้นโปรแกรมที่เรียนเรามีความร่วมมือกับมหาลัยคู่สัญญาในต่างประเทศทั้งในทวีปยุโรป เอเชีย อเมริกา ฯลฯ เราอยากไปยุโรปมากอยู่แล้ว นั่งดูลิสต์แล้วก็มาลงตัวที่ Johannes Kepler Universität Linz ที่ประเทศออสเตรีย เพราะตอบโจทย์ทั้งค่าครองชีพ ตัววิชาที่เรียน (โชคดีที่มีรุ่นพี่ในคณะให้ข้อมูลไว้ว่าลงวิชาไหนจะเทียบโอนหน่วยกิตกลับมาที่ไทยได้บ้าง ซึ่งที่นี่เก็บได้เยอะมาก พอกลับเรียนตอนปี 4 ที่ไทยเลยเหลือเก็บไม่กี่ตัว) ที่สำคัญคือประเทศออสเตรียตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป เที่ยวง่าย ไปได้หลายประเทศ ก็เลยตัดสินใจไปที่นี่ ตอนสมัครต้องเขียนเรียงความ Study Plan และยื่นคะแนนวัดระดับภาษาอังกฤษ เรายื่น IELTS 6 กับ TOEFL iBT 82  

________

การเดินทางเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้....
05.09.2014

 

"ก่อนไปเราคาดหวังแค่อยากเปิดโลกทัศน์ เพราะไม่เคยใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเลย แต่ตอนกลับทุกอย่างเกินความคาดหวังของเราไปอีก ทั้งมุมมอง ภาษา และเพื่อน" 

ด้วยความที่ไม่คิดว่าภาษาตัวเองจะดีขนาดนั้นก็เป็นธรรมดาที่จะตื่นเต้นตามประสาคนไม่เคยห่างบ้านไปไกลปีนึง แล้วต้องมาดูแลตัวเองทั้งหมด ในใจก็คิดอีกว่าจะพูดกับเค้ารู้เรื่องป่าวฟะ 55555 จินตนาการตอนตัวเองพูดภาษาอังกฤษตลอดเวลาไม่ออกอ่ะ แต่เอาวะ เป็นไงเป็นกัน  ไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนสนิทที่คณะอีกคนเลยอุ่นใจขึ้นหน่อย

วันออกเดินทางคุณพ่อขับรถมาส่งที่สนามบิน เครื่องออกเกือบเที่ยงคืนแต่คนยังเยอะเวอร์ พอหา gate เจอก็นั่งรอเพื่อน  พอถึงเวลาเข้า gate เท่านั้นแหละ น้ำตาแตกเลยค่ะ TT ไม่คิดจะร้องมาก่อนแต่อดไม่ได้จริงๆ ยิ่งตอนขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อไปที่รอตรงผู้โดยสารขาออกนี่คือครั้งสุดท้ายที่เห็นหน้าทุกคน เริ่มคิดว่าไม่อยากไปแล้ววว ชีวิตต่อจากนี้อีกปีต้องเหงาแน่ๆ

แต่พอเข้ามาที่นั่งรอเท่านั้นแหละ แบบอยากจะไปแล้วอ่ะ เค้าอยากขึ้นเครื่องแว้ววว (เปลี่ยนโหมดฉับพลัน งงป่ะ) พอได้ขึ้นเครื่อง Austrian Airline ก็หลับทันที (อะไรวะเนี่ยย) เครื่องเค้าดีนะ แต่ที่นั่งแอบแคบไปนิด เรานั่ง Economy ด้วยมั้ง ตอนจะลงงี้ปกติเราจะกลัวมาก คือแบบขี้หูจะออกมาเต้นระบำอยู่แล้วว แต่กัปตันจอดนุ่มมากก

รอเครื่องที่เวียนนา
รอเครื่องที่เวียนนา
Cr. https://prangwong.blogspot.com

สักประมาณ 10 โมงเช้าอีกวันก็เดินทางประมาณถึงกรุงเวียนนา (Vienna) ที่เป็นเมืองหลวงออสเตรีย  ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง แล้วนั่งรอเปลี่ยนเครื่องไปลินซ์ (Linz) อีก 7 ชั่วโมง ในขณะที่จากเวียนนาไปลินซ์คือครึ่งชั่วโมง 5555 พอเครื่องลงจอดสนามบิน Blue Danube ที่ลินซ์ ก็เจอเมนเทอร์ (mentor) ต้องบอกก่อนว่า mentor คือคนที่เค้าจัดมาดูแลเราตลอดเวลาที่แลกเปลี่ยน ปรึกษาได้ทุกเรื่อง ของบางคนมารับแล้วหายไปเลยก็มี แต่ของเราคือดีมากกก เค้าชื่อ ‘Artem’ เป็นคนรัสเซียที่พูดเยอรมันเก่งมากกก เรียนโทที่ ม.เดียวกันนี่แหละ เค้ามาพร้อมเมนเทอร์เพื่อนเราอีกคน พานั่งแท็กซี่มาส่งถึงหน้าหอ ช่วยลากกระเป๋า จัดการเรื่องที่พักให้เสร็จสรรพ

นั่งเครื่องบินไปลินซ์
นั่งเครื่องบินไปลินซ์
Cr. https://prangwong.blogspot.com

หลังจากเก็บของทุกอย่างเสร็จก็กะจะไปสำรวจ เลยอยากหาเพื่อนคนอื่นไปด้วย แต่ยังไม่รู้จักใครก็เลยโพสต์ในกลุ่มเด็กแลกเปลี่ยนว่ามีใครอยากไปดู Festival ประจำปีมั้ย เป็นงานกลางคืนประจำปี มีโชว์ จุดพลุ ออร์เคสตรา (Orchestra) เล่นริมแม่น้ำดานูบไรงี้ สรุปโชคดีมาก วันนั้นเราได้เพื่อนดีๆ มาสองสามคน เป็นคนจากประเทศเบลารุส, เอสโตเนีย กับสเปน ทุกคนคือดีมากก พาเดินจากหอไปจัตรุรัสกลางเมืองที่ใหญ่สุดในยุโรปกลาง ชื่อว่า Hauptplatz

คือจะบอกว่าโคตรไกลลลลล เพิ่งรู้ทีหลังว่าเค้านั่งแทรม ไม่มีใครเค้าเดินกัน 5555 ตอนไปถึงคือมืดแล้ว เรามาจองที่นั่งดูงานที่ริมแม่น้ำดานูบนั่นแหละ โรแมนติกเวอร์ถ้าไม่มีคนมาสูบบุหรี่ข้างๆ คนก็เยอะมากๆๆๆ ดูบรรยากาศครึกครื้นมีความสุขแบบบรรยายไม่ถูก กว่าจะถึงหอก็เกือบตีหนึ่ง เหนื่อยมากก แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คิดว่า เราเริ่มชอบที่นี่แล้วจริงๆ

จบการเดินทางวันแรก
6.09.2014 ถึงออสเตรียแล้วค้าบบบ

________

เข้า Part ชีวิตเรียนสุดเก๋ที่ JKU
เรียนได้อิสระ ไม่ห้ำหั่น ไม่ต้องแย่งชิง!

Johannes Kepler Universität Linz เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่กลางธรรมชาติ มีทะเลสาบเล็กๆ อยู่ในนั้นข้างห้องสมุด โดยจะมีครอบครัวเป็ดมาอาศัยตลอดปี แล้วค่อยอพยพไปตอนฤดูหนาวที่พื้นกลายเป็นน้ำแข็ง ทุกวันเราจะเดินจากหอพักไปมหาลัยประมาณ 15 นาที เป็นช่วงที่มีความสุขมาก เพราะเดินผ่านเนินเขา บ้านเรือน สนามบาส ป่าในมหาลัย พร้อมอากาศเย็นสบาย เป็นประสบการณ์ที่ยากจะหาได้ในไทย 555 ส่วนกิจกรรมในมหาลัยก็มีให้ทำตลอด ไม่ต้องห่วงว่าจะได้มาเรียนอย่างเดียว

Cr. JKU - Johannes Kepler Universität Linz
Cr. JKU - Johannes Kepler Universität Linz

ถ้าพูดถึงการเรียนที่คณะเศรษฐศาสตร์ JKU ข้อดีอย่างแรกเลยคือเค้าให้เราลงทะเบียนได้อิสระ จะเลือกวิชาข้ามคณะก็ได้ (แต่วิชาที่เราแพลนตั้งแต่อยู่ไทยจะเป็นวิชาในคณะหมดเลย) ซึ่งระบบเรียนที่นี่ไม่ต้องแย่งกันลงทะเบียน แต่ละ section คนก็ไม่ค่อยเต็ม เพราะเค้ารับหมด แล้วนักศึกษาก็ไม่เยอะขนาดนั้น  อย่างวิชาที่เราเรียนถ้าเป็นแนว Discussion-Based จะมีไม่เกินสิบ ส่วนวิชา Lecture-Based จะเป็นห้องใหญ่ๆ จัดที่นั่งแบบ slope มีอาจารย์สอนหน้าคลาส และไม่ว่าคนจะเยอะแค่ไหนนักเรียนก็กล้ายกมือถามตลอด

สรุปคือใน 2 เทอม เก็บไป 10 วิชา เนื้อหาวิชาส่วนใหญ่เป็นเลขเป็นกราฟซะเยอะ เวลาเรียนไม่อัดเท่าไทยและเนื้อหาก็ไม่เข้มข้นเท่า (ขนาดเพื่อนที่ไปแลกเปลี่ยนยูท็อปๆ ในออสเตรียก็บอกเหมือนกันว่า มธ.ยังยากกว่า 555555) เราสังเกตว่านักเรียนที่ออสเตรียจะชิลล์ ไม่ได้ห้ำหั่นเรื่องเรียน เพราะเค้าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย เช่น กิจกรรมมหาลัย งานอาสา งาน part-time เพื่อนออสเตรียบางคนที่คือไม่ยอมจบด้วยซ้ำ เพราะเค้าทำธุรกิจของตัวเองแล้วอยากคงสถานะไว้เพื่อใช้สวัสดิการนักศึกษา ปกติมหาลัยที่นั่นฟรีค่าเทอม จ่ายแค่ค่าบำรุงมหาลัย

“ไม่ได้ลงวิชาข้ามคณะก็จริง แต่ข้ามไปลงวิชาป.โท”

ความท้าทายตอนไปเรียนมีหลายอย่างมาก ทั้งการปรับตัว ภาษา (ใช้เยอรมันในชีวิตประจำวัน แต่เรียนเป็นอังกฤษ) รวมทั้ง culture shock อื่นๆ ด้วย และหนึ่งในเรื่องที่ชาเลนจ์ตัวเองมากคือการเรียนลงเรียนวิชาของป.โทที่ชื่อ ‘Economic Growth’ ลงเพราะวิชานี้สามารถเทียบหน่วยกิตกลับมาไทยได้ เรากับเพื่อนคนไทยรวม 5 คนก็ลงหมดเลยโดยไม่รู้มาก่อนว่ามันโคตรยากกก จนดร็อปกันไปเกือบหมดตั้งแต่คาบแรก เหลือแค่เรากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสวีเดนอีกคนที่เป็นต่างชาติ

วิชานี้จะว่าด้วยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจ คำนวณว่าประเทศที่กำลังพัฒนา สุดท้ายแล้วจะตามทันประเทศที่พัฒนาแล้วในจุดไหน มีสอนดูกราฟ ความเหลื่อมล้ำ ทั้งหมดพิสูจน์ด้วยตัวเลข และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือตัวเลขด้วย พิสูจน์สูตรกันเต็มกระดาน แล้วยังพีคอีกตรงที่อาจารย์เค้าก็สอนเป็นภาษาอังกฤษนั่นแหละ แต่เพื่อนออสเตรียยกมือถามเป็นภาษาเยอรมัน แล้วอาจารย์ก็ตอบกลับเป็นภาษาเยอรมัน ทำให้เราพลาดเนื้อหาตรงนั้นไป 

แต่เราก็สู้เพราะตั้งใจจะไม่ดร็อปแล้วทำเกรดให้ดีที่สุด พยายามอ่าน text ที่เค้าให้ แล้วนัดติวกับเพื่อนสวีเดน สุดท้ายได้ A มากอดค่ะ 55555 อาจไม่ใช่วิชาที่ชอบสุดแต่ประทับใจที่เราเอาชนะความกลัวมาได้ แล้วนี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่เราเขียนเล่าลงใน Motivation Letter สมัครเรียนต่อป.โทด้วย 

อีกวิชาของป.ตรี ที่อยากเล่าจะเป็นแนวๆ การลงทุนในต่างประเทศ หรือ Foreign Investment เค้าพาไปทริปต่างจังหวัดในออสเตรีย ไปกันยกคลาสแล้วจองที่พักกันเอง มีห้องประชุมให้พรีเซนต์ ขับรถขึ้นเขาไปโรงแรมกลางทุ่ง มีห้องประชุมให้พรีเซนต์ มีอาหาร traditional ให้กิน พนักงานใส่ชุดเยอรมันโบราณด้วย คือเก๋มากกกกก 

“แล้วตลอดเวลาที่แลกเปลี่ยนเราได้ไปดูชนบทแบบเนี้ย 2-3 ครั้งได้...”

อย่างเช่นวิชาภาษาเยอรมันที่เป็นต่างชาติทั้งคลาส อาจารย์เค้าก็ใช้วิธีสอนสนุกๆ เช่น เล่นเกมโยนบอล ให้คนที่จับบอลได้เป็นคนตอบคำถาม หรือให้จับคู่คุยกัน ไฮไลต์คือมีพาไปออกทริปเดินขึ้นเขา พาชิมชีส กินขนมปังโฮมเมด นั่งรถชมเมือง ระหว่างเที่ยวก็สอนไปด้วยว่าตรงนี้เรียกว่าแบบนี้ๆ นะ เราว่าอาจารย์ที่นี่ชอบให้เรียนกับธรรมชาติมากกว่านั่งในคลาส และทำให้เรารู้สึกว่าออสเตรียเป็นประเทศที่เมืองกับชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนมากๆ ค่ะ

และมีครั้งที่ mentor ผู้หญิงคนนึงอาสาพาเรากับเพื่อนอิตาลีอีก 2 คนที่มีเมนเทอร์คนเดียวกัน ไปเที่ยวบ้านและเยี่ยมครอบครัวของเขาที่ชนบท มีเอาชุด traditional ให้ใส่เพื่อไปเทศกาลเบียร์ที่ชื่อ ‘October Festival’ เต็นท์นึงจะนั่งอัดกัน (จริงๆ คือเบียร์ที่นั่นถูกกว่าน้ำเปล่าที่ขายอีกค่ะ แต่คนที่นั่นสามารถดื่มน้ำจากก๊อกได้นะ ทั้งฟรีและสะอาด) จากนั้นเค้าก็ยังพาขึ้นเขาไปร้านอาหาร open air บนนั้นอีก 

Note: ประเทศออสเตรียมีภาษาราชการคือ ‘ภาษาเยอรมัน’ และเป็นเวอร์ชันออสเตรียด้วย ซึ่งสำเนียงหรือคำบางคำจะต่างกับภาษาเยอรมันมาตรฐาน ดังนั้นพอเรียนภาษาแล้วจะช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ตอนนั้นราเห็นป้ายโดยเฉพาะในต่างจังหวัดเป็นภาษาเยอรมันหมด คนเดินถนนกับร้านค้าจะพูดภาษาเยอรมัน และผู้สูงอายุไม่ค่อยได้ภาษาอังกฤษ 


 

สิ่งที่เราคิดว่ายากคือภาษาเยอรมันมีเพศ ต้องจำหมดเพราะไม่มีหลักการอะไรเลย ส่วนคำศัพท์ก็มีบางคำที่คล้ายภาษาอังกฤษ แต่บางคำคือยากทั้งรูปทั้งการออกเสียง (บางทีเหมือนขากเสลดก็มี 5555) 

“ภาษาอังกฤษดีขึ้นมากเพราะใช้ทุกวัน และไม่มีคนจับผิด”

ช่วงนั้นพูดคล่องแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องผ่านการคิดเลย เพราะเราได้ใช้ตลอดเวลาและเป็นการแบบไม่กดดัน ไม่มีใครบอกว่าเราสำเนียงไม่ดี แกรมมาร์ไม่เป๊ะ เพราะคนที่นั่นขอแค่ให้สื่อสารได้พอ แล้วแกรมมาร์ก็ตามเองทีหลัง  เพื่อนที่เรียนด้วยกันมีทั้งคนที่มาจากอเมริกา แคนาดา สกอตแลนด์ อิตาลี ฝรั่งเศส เบลารุส รัสเซีย ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฯลฯ หลากหลายมากกกมากันแบบทั้งยุโรป ทั้งจากคนที่ได้ทุน ERASMUS ด้วย ถ้าเป็นฝั่งเอเชียจะมีไต้หวัน เกาหลี จีน ไทย ญี่ปุ่น ฯลฯ 

ทุกคนที่นี่เรียนด้วยกัน ติวด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ปาร์ตี้ด้วยกันแทบทุกอาทิตย์เพราะอยู่หอพักด้วยกัน ทำให้สนิทง่ายและยังติดต่อกันถึงทุกวันนี้เลยค่ะ เหมือนเป็นคอมฟอร์ตโซน ให้พูดกี่รอบก็ยังจะบอกว่าประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการมาแลกเปลี่ยนครั้งนี้ คือ มิตรภาพข้ามประเทศนี่แหละ 

นอกจากทำให้บรรยากาศการเรียนสนุกแล้วยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมต่างๆ ของยุโรป (เปิดโลกสุด!) เข้าใจมุมมองทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกว่ามีทั้ง culture ดีและไม่ดี เราก็แค่เก็บส่วนที่ดีแล้วปรับนิสัยเราบางอย่าง เช่น แคร์น้อยลง จะได้มีความสุขขึ้น และประสบการณ์เหล่านี้ยังทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตว่าจะกลับมาเรียนป.โท ที่ยุโรปอีกครั้ง ได้ไปเห็นด้วยว่าคนประเทศเค้าเหลื่อมล้ำน้อยมาก คุณภาพชีวิตดีจนแทบไม่เห็นขอทาน (นอกจากผู้อพยพ) เราว่านี่คือมินิมัลของจริง

รีวิวความต่างของคนจากสองซีกโลก
(*จากประสบการณ์ส่วนตัว)

 

Western - ทุกคนจะเป็น Individualism สูง ไม่ยึดติด เน้นพึ่งตัวเอง ถ้ามีข้อผิดพลาดจะไม่โทษตัวเอง แต่จะเป็นแนวๆ Let it go เค้าเป็นสายชิลล์ที่มี empathy ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลย เพียงแต่จะไม่ใช่มนุษย์ดีเทลล์เฉยๆ

 

Eastern - จะมีเซ้นส์ของความโทษตัวเองอยู่ (Corrective) ชอบลงดีเทลล์ แคร์คนนั้นคนนั้น ซึ่งรวมถึงเราเองด้วยที่เป็นแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้ซึมซับความตะวันตกมาบ้าง เราแคร์คนที่ทำให้ suffer น้อยลงอย่างชัดเจน โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เรามั่นใจในตัวเองและเป้าหมายชีวิตมากกว่าขึ้นกว่าเดิม

 

เวลาที่เพื่อนไปปาร์ตี้กันแล้วเราไม่ไปเพราะเป็นช่วงก่อนสอบ เพื่อนก็จะทักว่า ‘เอ้ย เจอทีไร you ต้องอ่านหนังสือตลอด’ ยิ่งเพื่อนญี่ปุ่นคนนึงคือจริงจังกับการเรียนมากก เค้าอายุเท่าเราเลย เพราะประเทศเค้าจะมีช่วง job hunter แล้วคนญี่ปุ่นเค้าซีเรียสว่าควรจะได้งานตั้งแต่เรียนปี 3 เพื่อนก็คือนั่ง job hunting ไม่ออกจากห้องเป็นเทอมๆ เลยค่ะ 

 

“เราได้เที่ยวในออสเตรีย 
กับอีกเกิน 10 ประเทศในยุโรป”

อย่างในช่วงคริสต์มาสที่หยุดติดต่อกันเป็นสิบวัน เรามีไปเบลเยียม แล้งลงมาฝรั่งเศสที่กรุงปารีส (Paris) กับลียง (Lyon) ต่อด้วยสวิสเซอร์แลนด์อีก 3 เมือง แล้วกลับเข้าออสเตรีย เส้นทางจะเป็นวงกลมพอดี นอกจากนี้ช่วงวันหยุด Easter เราก็ไปโครเอเชีย กับสโลวาเนียที่เป็น UNESCO Heritage Site ค่ะ 

สรุปเราไปเที่ยวในยุโรปเกิน 10 ประเทศ ทั้งออสเตรีย เยอรมนี ผรั่งเศส อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม โครเอเชีย โปแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชค สโลเวเนีย และที่จำไม่ได้อีก555 มันเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก และคิดเสมอว่าจะกลับมาอีกในทุกประเทศ ทุกแห่งมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของตัวเอง ตอนนั้นคือกลัวไม่คุ้ม ก่อนไปที่ไหนต้องศึกษาข้อมูลและสถานที่เที่ยวของประเทศนั้น จะได้อินตอนไปชมของจริง ตอนนั้นไปโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ พระราชวัง เยอะมากจนต้องร้องขอชีวิต เยอะจริงๆ555 

สรุปคือถ้าคิดรวมค่าเทอม + ค่ากินอยู่ + ค่าเที่ยวไป 10 กว่าประเทศ จ่ายไปประมาณ 700,000 บาท เฉลี่ยใช้เดือนละพันยูโรค่ะ 

รีวิวออสเตรียใน 5 ข้อ
จากความคิดเห็นส่วนตัว

1. ออสเตรียเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่มีความสงบเรียบง่าย คนสวมชุดสีทึมๆ เรียบง่ายไม่แฟชันจ๋า ผู้คนที่เราเจอมักจะใจดีแม้จะเงียบหรือไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่ (เราเที่ยวมาหลายประเทศ บางที่เรารับรู้ได้เลยว่าคนไม่ค่อยเป็นมิตร ซึ่งต่างจากออสเตรีย) และในขณะที่ธรรมชาติของคนเยอรมันจะขึงขังตรงไปตรงมา แต่เรารู้สึกออสเตรียจะไปทางชิลล์ๆ มากกว่าแม้ทั้งคู่จะมีวัฒนธรรมเดียวกัน

2. เป็นดินแดนดนตรีคลาสสิก โดย ‘Wolfgang Amadeus Mozart’ หรือ ‘โมสาร์ท’ นักประพันธ์ดนตรีชื่อก้องโลกก็เกิดที่เมืองซัลซบวร์ก (Salzburg) ที่เมืองนั้นก็เลยมีร้านขายช็อกแลตโมสาร์ท Mozartkugeln เป็นของขึ้นชื่อค่ะ อร่อยมากกก ใครไปต้องลอง!

Birthplace of Mozart, Salzburg, Austria
Birthplace of Mozart, Salzburg, Austria
Photo by Reiseuhu on Unsplash
Cr. munich-insider.org
Cr. munich-insider.org

3. อาหารที่ออสเตรียค่อนข้างชืดๆเย็นๆ ตัวเลือกน้อย แต่ก็มีบางเมนูที่เราชอบเหมือนกัน เช่น Schnitzel เป็นเนื้อชุบเกร็ดขนมปังทอดจิ้มกับแยม หรือไส้กรอกต่างๆ แฮม ชีส และ Vienna Coffee ใช้ได้เลย แต่ถ้าให้อยู่คงต้องทำอาหารไทยบ้าง

4. ไม่ว่าจะเยอรมนีหรืออสเตรีย กฎหมายจะเที่ยงตรงไม่หย่อนยาน ผิดคือผิด มีความซื่อสัตย์สูงมาก อย่างเวลาขึ้นแทรมจะเป็นระบบให้สแกนบัตรจ่ายเงิน เค้าเชื่อใจว่าทุกคนจ่ายเงินซื้อตั๋วหมด ดังนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาสุ่มตรวจบางครั้ง และเหตุผลที่ตรวจคือออสเตรียมีผู้อพยพเข้าประเทศเยอะ

5. กว่าจะขับรถบนท้องถนนได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีทั้งเงิน + ความรับผิดชอบต่อสังคม + ความสามารถในการขับขี่ที่มั่นใจได้จริงๆ เพราะต้องสอบใบขับขี่หลายด่านมากกว่าจะผ่าน จ่ายค่าธรรมเนียมแพง แล้วเวลาทำผิดกฎจราจรทีปรับโหดมาก นั่นทำให้อุบัติเหตุบนท้องถนนที่ออสเตรียมีน้อย รถไม่แออัด 

6. แต่ในขณะเดียวกันคนก็ไม่จำเป็นต้องขับรถ (ยกเว้นอยากขับกลับต่างจังหวัด) เพราะระบบขนส่งสาธารณะของออสเตรียก็ดีมาก เชื่อมถึงกันหมด ในเมืองจะมีรถแทรมวิ่งบนราง ส่วนออกนอกเมืองเป็นรถไฟ และรถบัสที่ขับออกนอกเมือง การขับจะได้มาตรฐาน มีความปลอดภัยสูง

7. บนรถสาธารณะจะเงียบและทุกคนเคารพความเป็นส่วนตัวมาก ไม่มีทั้งโฆษณาบนรถไฟ และไม่มีคนที่มาเปิดเพลงดังๆ ในที่สาธารณะ

8. ประชาชนที่นี่พึงพอใจกับการบริหารจัดการของรัฐบาลในช่วง pandemic ที่ออสเตรียไม่เคยมีประท้วงเรื่องนี้ อาจมีบ่นได้วัคซีนช้านิดหน่อย ของเค้าจะมีวัคซีนยี่ห้อ Johnson & Johnson, Moderna และ Pfizer

“หลังกลับมาจากการไปแลกเปลี่ยนที่ออสเตรีย เรารู้ตัวเองทันทีว่าอยากกลับไปเรียนต่อป.โทที่ยุโรป ประเทศไหนก็ได้…”

เรารู้สึกมี sense of belonging ที่นี่ แล้วในที่สุดก็ต่อยอดความฝันจนได้ไปเรียนต่อที่เนเธอร์แลนด์ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็ยังคงเป็นประสบการณ์ 1 ปีที่นึกถึงทีไรก็มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก  ได้รู้ว่าเรามีความสามารถมากกว่าที่คิด รู้จักการปล่อยวางบางอย่างเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น ได้ทักษะต่างๆ ความยืดหยุ่น การเอาตัวรอด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การวางแผนทั้งเรียนและเที่ยว การเข้าสังคม เรียนรู้วัฒนธรรม และอื่นๆ อีกมาก เงินเท่าไหร่ก็ซื้อประสบการณ์นี้ไม่ได้ (แต่อาจต้องเก็บเงินมาสักระยะ)

สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากแลกเปลี่ยนแล้วมีโอกาส เราอยากบอกว่าให้ไปเถอะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีพาร์ตไหนในชีวิตที่จะเปลี่ยนเราไปตลอดกาล เก็บเกี่ยวให้มากที่สุด แนะนำให้เริ่มจากการตั้งเป้าหมาย ลิสต์ขั้นตอนและวางแผนแต่เนิ่นๆ คิดว่าทำไมอยากไป คาดหวังอะไรบ้าง ทำให้เรามีแรงบันดาลใจสมัคร เราขอให้ทุกคนโชคดีได้ไปประเทศที่ตั้งใจไว้นะคะ 

"ใครสนใจติดตามประสบการณ์ไปเที่ยวช่วงแลกเปลี่ยน อ่านได้ที่อีกบล็อกนี้เลย รับรองว่าสนุก เพราะเรากลับไปอ่านใหม่ก็ยังรู้สึกสนุกนะ 555" https://prangwong.blogspot.com/2014/09/ 

อ่าน Part II : รีวิวขอทุน ก.พ. + งานราชการ
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น