ลาออกมาแต่งนิยายครบ 1 ปี 
“Whale Ink” อยากไปต่อหรือพอแค่นี้!?

 

หากจะชวนใครสักคนมาแบ่งปันประสบการณ์เขียนนิยายออนไลน์บนเว็บเด็กดี คุณอาร์ม หรือเจ้าของนามปากกา Whale Ink น่าจะเป็นหนึ่งในคนที่มาแชร์ประสบการณ์ถึงนักเขียนมือใหม่ได้ถึงพริกถึงขิงที่สุด เพราะเราเคยสัมภาษณ์คุณอาร์มมาแล้วเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนที่เขาลาออกจากงานประจำมาเขียนนิยายเต็มตัว! (อ่านสัมภาษณ์ : จบปริญญาเอกลาออกมาเขียนนิยายได้จริงหรือ!?)

แม้ว่าตอนนั้นคุณอาร์มจะเพิ่งเริ่มต้นเป็นนักเขียนได้ไม่นาน แต่หลังจากที่เขาแต่งนิยายเรื่องแรกจบ เขาก็มีผลงานใหม่ๆ ออกมาให้นักอ่านได้ติดตามกันอย่างสม่ำเสมอ มีทั้งเรื่องที่ฮิตติดท็อป และเรื่องที่นักอ่านมาๆ หายๆ พูดได้เลยว่าถ้าเขาไม่สู้ด้วยความขยันและอดทน คงยากที่จะเดินบนเส้นทางนักเขียนแห่งนี้ 

ทว่าคุณอาร์มตัดสินใจสู้ไม่ถอย เรียนรู้จากความผิดพลาดและพลิกสถานการณ์กลับมาได้อีกครั้ง ทำให้นิยายเรื่องล่าสุดที่กำลังแต่งอยู่อย่าง กู่ลี่จิน 谷丽金 จอมนางอักษรทองคำ พุ่งทะยานขึ้นไปติดท็อปทั้งหน้านิยายทุกหมวด และหน้านิยายขายดีประจำสัปดาห์ได้สมกับความตั้งใจจริง

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ในวันนี้ เราชวนคุณอาร์มกลับมาพบปะพูดคุยกันอีกครั้ง เพราะเราเชื่อว่าเรื่องราวจากประสบการณ์ตรงของเขาจะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจดีๆ ให้นักเขียนมือใหม่ และคนที่อยากเขียนนิยายเป็นอาชีพ ไม่ยอมแพ้บนเส้นทางนักเขียนแห่งนี้ไปง่ายๆ 

อัปเดตชีวิตตลอด 1 ปี
หลังลาออกมาแต่งนิยาย
_________________

 

ช่วงนี้เราเขียนนิยายเป็นหลักเลยครับ ตอนนี้กำลังเขียนเรื่อง กู่ลี่จิน 谷丽金 จอมนางอักษรทองคำ อยู่ครับ ส่วนงานเขียนเรื่อง ทำสวน? ใครว่าง่าย กับ เส้นทางวันสิ้นโลก ก็แต่งจบไปเรียบร้อยแล้วครับ 

ตอนนี้คิดว่าสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วล่ะครับ งานเขียนคือการทำงานแบบได้เรียนรู้ตัวเองไปด้วย เป็นงานที่มีอิสระ สนุก และก็ต้องมีความรับผิดชอบมากๆ ตอนนี้คงเลื่อนระดับจากนักเขียนมือใหม่ มาเป็นนักเขียนฝึกหัดล่ะมั้งครับ 

เป้าหมายตอนแรกที่อยากปลูกต้นไม้ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้วครับ รายได้จากที่เขียนนิยายมาตอนนี้เราเอามาสร้างโรงเรือนหน้าบ้านได้สำเร็จแล้วครับ เรียกว่าจากกระท่อมน้อยกลายเป็นโรงเรือนเล็กก็ได้ (ฮะๆ ๆ) กำลังสะสมแม่พันธุ์ครับผม ปลูกแคคตัสโตช้า ใจร้อนไม่ได้ เลยทำไปเรื่อยๆ ครับ 

ส่วนคนรอบข้างตอนนี้ก็คงยังมีความสงสัยอยู่บ้างแหละครับ แต่เพราะเรารับผิดชอบและยืนหยัดอยู่ได้มานานเป็นปี เขาเลยไม่ถามอะไรแล้วล่ะครับ แรกๆ ก็มีญาติห่างๆ มาซักไซ้อยู่บ้างว่าทำงานทำการยังไง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วครับ ฮะๆ ๆ ส่วนเพื่อนบ้านนี่... อย่าพูดถึงเลยครับ ข้อพิพาทระหว่างกันเยอะ (หัวเราะแบบขมขื่น)

โรงเรือนปลูกแคคตัสที่สร้างด้วยรายได้จากการเขียนนิยาย
โรงเรือนปลูกแคคตัสที่สร้างด้วยรายได้จากการเขียนนิยาย

แม้ว่าคนอ่านจะลดลงบ้าง
แต่หน้าที่เราคือต้องเขียนให้จบ
_________________

 

ประสบการณ์ของผมที่อยากแบ่งปัน คือ การทำใจกับยอดคนอ่านที่ลดลง แล้วก็อีกเรื่อง คือ คอมเมนต์จากคนอ่านที่บางครั้งก็ไม่จรรโลงใจนัก ผมคิดว่าถ้าอยากจะเป็นนักเขียนหาเลี้ยงชีพแล้ว ต้องทำใจในจุดนี้ให้ได้ครับ

ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกตินะครับที่เวลาแต่งนานขึ้น คนอ่านก็จะเบื่อ ยิ่งผมเขียนเรื่องยาวด้วย เห็นได้รายวันรายเดือนเลยครับว่า คนอ่านลดลง โดยเฉพาะนิยายเรื่อง ทำสวน? ใครว่าง่าย แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ต้องกัดฟันทนเรียนรู้ไปครับ เรื่องยาวเรื่องสั้นก็มีข้อดีข้อเสียของมัน แนวที่แต่ละคนชอบก็ไม่เหมือนกัน หลายคนก็ดองนิยายด้วย สุดท้ายก็ดองลืมไปเลยล่ะมั้ง ไม่กลับมาอีก ฮะ ๆ ๆ

แต่ที่เราผ่านมาได้คงเพราะมีคนติดตามและแฟนคลับนักอ่านที่คอยให้กำลังใจตลอดครับ นึกย้อนไปแล้วก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและความทุกข์ปน ๆ กันไปนะ 

ดังนั้นถ้าถามว่าผ่านมาได้ยังไง ผมคงต้องตอบว่า ต้องเขียนให้จบ อย่าท้อเท่านั้นครับ แล้วก็ใช้เวลาว่าง ศึกษาตลาดไปด้วยว่าแนวทางที่คนชอบอ่านเป็นอย่างไร เราพอจะเขียนได้ไหม ก่อนเรื่องหลักจะจบก็เริ่มเขียนเรื่องถัดไปต่อเลย จะได้ไม่เสียเวลาช่วงรอยต่อมากนักครับ

ผลงานนิยายของคุณอาร์ม ในนามปากกา  Whale Ink
ผลงานนิยายของคุณอาร์ม ในนามปากกา  Whale Ink 

ช่วงเรียนรู้คือช่วงที่ไม่มั่นคง
แต่ถ้าผ่านไปได้จะเป็นประสบการณ์ที่มีค่า
_________________

 

บอกตามตรงว่าตอนแรกเริ่ม ผมคิดว่านิยายเรื่องแรกจะไม่มีคนอ่านด้วยซ้ำ มียอดวิวถึงหมื่นตอนนั้นผมก็ดีใจแล้วล่ะครับ ฟีดแบ็กที่เรียกว่าดี คือ นักอ่านอย่างน้อยก็คอมเม้นต์ตอบเราบ้าง แนะนำเราบ้าง ติด่าเราบ้าง อันนี้ถือว่ามีประโยชน์มาก ๆ เลยครับ เพราะมันช่วยให้เรียนรู้ว่าสังคมนักอ่านนักเขียนออนไลน์เป็นยังไง

จากที่เขียนมาหนึ่งปี และอ่านมามากกว่าสิบปี ผมคิดว่าคนที่เป็นนักเขียนมือใหม่ทุกคนควรมุ่งความสนใจไปที่ความสม่ำเสมอในการอัปงานและการตรวจสอบคำผิดนะครับ  ผมคิดว่าสิ่งที่คนอ่านรับไม่ค่อยได้ และกลัวมากคือ การโดนนักเขียนเท หรือหายไปโดยไม่มีเหตุผล ดองนิยายเอยอะไรเอย ส่วนคำผิด ถ้าผิดบ่อย ๆ เข้านักอ่านก็ต้องทำใจปิดเหมือนกันครับ เพราะดูเหมือนคนเขียนเองก็ยังไม่ใส่ใจงานของตัวเองเลย แล้วจะมาหวังให้คนอ่านใส่ใจได้อย่างไร

  • เรื่องพล็อตก็สำคัญนะครับ พล็อตเรื่องซ้ำซากก็ทำให้คนอ่านส่ายหน้าเหมือนกัน จากที่เขียนนิยายจีนเรื่องแรกมา ผมลองทดสอบดูหลายครั้งแล้ว นักอ่านส่วนใหญ่ตัดสินตัวละครแบบโหดมากเลยล่ะครับ 
     
  • ส่วนแนวนิยาย ชีวิตผมแหวกแนวมาเยอะแล้วครับ (ฮะ ๆ ๆ) นิยายที่ชอบอ่านก็มีหลายแบบ แต่คนเราอ่านซ้ำ ๆ ก็จะเบื่อใช่ไหมล่ะครับ นักเขียนเขียนซ้ำ ๆ ก็น่าจะเบื่อได้เหมือนกัน ผมเลยลองนึกแนวที่สนุก ๆ เขียนไปเรื่อย แต่ในมุมมองที่ใหญ่ขึ้น คิดว่านิยายที่เขียนยังเป็นแนวแฟนตาซีอยู่นะครับ อาจจะเป็นมีซัพกรุ๊ปที่ต่างออกไปบ้างเท่านั้นเอง แหะ ๆ
     
  • กระแสก็มีส่วนนะ อย่างตอนนี้นิยายแนวจีน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จีนโบราณ กำลังมาแรงใช่ไหม เราเป็นนักเขียนออนไลน์หาเลี้ยงชีพ ก็ต้องศึกษาแนวทางเอาไว้ครับ ประสบการณ์เป็นสิ่งที่หาได้เสมอ ๆ ถ้าเราเปิดใจกว้างสักนิดเท่านั้นเอง
     
  • ประเด็นสุดท้ายคือการหาข้อมูลประกอบครับ อันนี้คิดว่าเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวไปแล้วที่อยากสอดแทรกความรู้ในนิยายบ้าง คิดพล็อตเสร็จแล้ว ก็ต้องดูว่าธีมนิยายของเราอยู่ในยุคไหน อย่างเช่นก่อนผมจะเขียนเรื่องกู่ลี่จิน ก็หาข้อมูลมาเยอะทีเดียวครับกว่าจะเริ่มพิมพ์อักษรตัวแรกได้ก็นานพอตัว แต่ที่ค้นหามาก็ไม่ได้ถูกต้องเสมอไปนะ หลัง ๆ มาก็ต้องมารับฟังความเห็นของนักอ่านสายนี้ คอยปรับแต่งไปตามความเหมาะสมด้วยครับ

ก่อนจะเขียน (ตามแนวทางของผมนะ) เมนพล็อต โครงหลังเริ่มต้น กึ่งกลางระหว่างทาง และจุดจบจะต้องคิดไว้เสร็จแล้วครับ จากนั้นระหว่างทางจะยึกยือเลี้ยวไปมา แวะซัพพล็อตตามอารมณ์ก็ได้ แต่ว่าทุกเรื่องต้องมีเป้าหมายครับ

ส่วนตัวผมว่าเขียนให้จบเป็นเรื่อง ๆ ไป ดีกว่าเปิดเรื่องใหม่ยิบย่อยมากมายแต่แทบไม่มีเรื่องไหนจบเลยนะครับ นักอ่านบางคนเขาก็ย้อนกลับไปดูผลงานเก่าของเรานะ เพื่อประเมินว่าเขาจะยอมเสียเวลาอ่านตรงจุดนี้ โดยที่คนเขียนจะไม่เทได้หรือเปล่า ส่วนหนึ่งก็คงทำให้คนติดตามด้วยครับ แต่ก็นะครับ... ถ้าเขียนหลายแนว คนติดตามเรื่องนี้ อาจจะไม่ชอบเรื่องนั้นก็ได้ มีข้อดีข้อเสียต่างกันไปครับ

งานอดิเรกที่ทำสลับกับเขียนนิยาย
งานอดิเรกที่ทำสลับกับเขียนนิยาย

เขียนนิยายตอนไหนก็ได้
แค่มีวินัยกับงานของตัวเองก็พอ
_________________

 

ในทุกๆ วัน ผมตื่นเช้ามาก็เตรียมชงชาชงกาแฟก่อนเลยครับ จากนั้นก็เดินไปดูต้นไม้ในโรงเรือนว่าเป็นยังไงบ้าง ดินแห้งไหมมีต้นไหนเป็นโรคบ้างไหม ใช้เวลาในโรงเรือนช่วงเช้าตอนที่ยังไม่ร้อนประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ แบ่งเวลาทำอาหารระหว่างวันบ้าง ดูแลบ้านบ้าง เวลาว่างในแต่ละวันก็แล้วแต่ฤดูกาลครับ ช่วงไหนมีงานในโรงเรือนอย่างการผสมเกสร หรือเพาะเมล็ดหรือเปลี่ยนดินก็จะใช้เวลาช่วงกลางวันดูแลต้นไม้นานหน่อย 

แต่เวลาว่างส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นครึ่ง ๆ เลยครับ ไม่อ่านนิยายเพิ่มเติม (จากที่ติดตาม และได้คำแนะนำมา) ก็จะทุ่มไปกับการเขียน ปกติแล้วกว่าจะได้เขียนก็ช่วงบ่ายแล้วล่ะครับ ลากยาวไปจนถึงสามสี่ทุ่มแล้วแต่ความขยัน

แนวทางส่วนตัวของผมคือต้องอัปนิยายทุกวันนะครับ แต่ก่อนขั้นต่ำวันละตอน (ประมาณ 2 พันคำต่อตอน) ช่วงนี้ขั้นต่ำวันละสองตอนแล้ว ยิ่งเขียนไปนานขึ้น ความสามารถในการเรียบเรียงก็จะเร็วมากขึ้นครับ

ส่วนหลัง ๆ มานี้คิดว่าต้องแบ่งเวลาออกกำลังกายบ้างแล้ว (โดนหมอดุมาครับ ฮะๆ ๆ ) เป็นนักเขียนไม่ยากครับ แค่มีวินัยกับงานของตัวเองก็พอ

 

กว่าจะมีเงินเก็บและเงินลงทุน
ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา
_________________

 

ผมคิดว่ายังไงก็ตาม ก่อนที่เราจะขายนิยายเราต้องถามคนอ่านก่อนนะครับ หรือไม่ก็แจ้งให้เขาทราบแต่เนิ่น ๆ ว่าเราเขียนนิยายหาเลี้ยงชีพนะ จำนวนคนที่เข้ามาอ่าน กับคนที่มีกำลังซื้อหรือสนับสนุนนิยายของเรามีสัดส่วนที่ต่างกันค่อนข้างมากเลยล่ะครับ ราคารายตอนและความคุ้มค่าก็สำคัญ เราเองก็เป็นผู้บริโภคอยู่แล้ว พอเป็นผู้ผลิตบ้างก็พอจะรู้ว่าควรทำอย่างไรครับ

พอเรามาเป็นนักเขียน ผมว่าต้องอ่านเยอะกว่าที่เขียนนะ ตลาดก็ต้องศึกษา หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ เวลานี้ ถ้ามีใครมาถามว่าทำอาชีพอะไร อยากตอบว่าเป็นนักอ่านมากกว่า น่าเสียดายที่การอ่านมันไม่ได้เงิน ฮ่า ๆ ๆ อย่างตอนนี้ผมมีสามเรื่องใช่ไหมครับ แต่ผมคิดว่าถ้าทุ่มเทจริง ๆ ควรจะได้สักสี่เรื่อง แต่เรื่องที่สองของผมก็ยาวจริง ๆ นั่นแหละ คิดว่าคงต้องปรับปรุงเวลาและการวางแผนทำงานให้ดีขึ้นสักหน่อย 

ทำงานอิสระมันมีช่วงขี้เกียจด้วยครับ อันนี้ก็เป็นความผิดของเราส่วนหนึ่งแหละ แต่โดยรวมแล้ว รายได้ที่เข้ามาก็พอจุนเจือชีวิตครับ จำนวนเงินเป็นตัวเลขขอไม่บอกได้ไหม...(เขิน) เอาเป็นว่า มีเงินเก็บและเงินลงทุนทำสิ่งที่ชอบมากกว่างานเก่าก็แล้วกันครับ 

นอกจากงานเขียนแล้ว เขายังใส่ใจกับภาพปกนิยายด้วย
นอกจากงานเขียนแล้ว เขายังใส่ใจกับภาพปกนิยายด้วย

อยากเขียนนิยายเป็นอาชีพ
ต้องไม่หยุดเรียนรู้
_________________

อยากเป็นนักเขียนไม่ยากหรอกครับ ประสบการณ์ส่วนตัวของผมก็เกิดขึ้นเพราะพิษเศรษฐกิจนี่แหละ แต่ก็นับว่าโชคดีที่เลือกจับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์ หนทางเลยไปต่อได้ แรก ๆ ที่เคว้งคว้างก็มีอยู่บ้างครับ กว่าจะผ่านช่วงเสนองาน (อัพนิยาย) แล้ว ก็ต้องรอลุ้นว่าแนวโน้มของลูกค้า (นักอ่าน) เป็นยังไง ช่วงเรียนรู้เป็นช่วงที่ไม่มั่นคงมากครับ แต่ถ้าผ่านมาได้เราก็จะมีประสบการณ์ที่มีค่ามาก

การต่อยอดหลังจากนั้น ก็เป็นเหมือนธุรกิจทั่วไปนะครับ ศึกษาตลาด (นิยาย) ศึกษาพฤติกรรมนักอ่าน หาข้อมูลเพิ่มเติม ถ้าเราจัดการได้ งานที่เราชอบ (เขียนนิยาย) ก็จะไปได้ครับ  นอกจากนี้ การเขียนนิยายทำให้เรารู้จักบริหารตัวเอง แถมยังได้เรียนรู้ความคิดของตัวเองได้มากขึ้นนะครับ อิสระในช่วงแรก สายตาจากสังคม จะคอยกดดันเรานิดหน่อย แต่พอคิดได้ว่า อยู่บ้านทำงานก็ไม่มีอะไรผิดนี่นา จิตใจของเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเลยครับ ฮะ ๆๆ 

เป้าหมายในอนาคตของผมคือเขียนต่อไปครับ อยากทำให้ได้ปีละสี่เรื่อง น่าจะไหวอยู่ หาเงินมาทำหนังสือของตัวเองเก็บเข้าชั้น แล้วก็เอาไปลงทุนกับต้นไม้ด้วยก็คงจะดี หาเงินทำสวนครับ สวนใหญ่ ๆ ไปเลย ตอนนี้เป็นนักเขียนที่บ้าแคคตัสมาก ฮะ ๆ ๆ

สุดท้ายนี้ก็ต้องขอบคุณนักเขียนทุกคนที่ร่วมกันเผยแพร่งานให้ได้อ่านกันนะครับ ความฝันของพวกเราอยู่บนเส้นทางเดียวกัน ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนด้วยนะครับ

ขอบคุณนักอ่านทุกคนที่ช่วยสนับสนุนผลงาน ออกความเห็นติชมให้นักเขียนอย่างพวกเรานะครับ งานเขียนมีหนทางพัฒนาได้ก็เพราะความเห็นของนักอ่านนี่แหละครับ ทุกคอมเมนต์คือกำลังใจ อ่านนิยายแล้ว ลองเสียเวลาคอมเมนต์ให้นักเขียนกันหน่อยนะครับ :D อนาคตพวกเราจะได้พัฒนาผลงานให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปครับผม

อ่านเรื่องราวที่คุณอาร์มนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้แล้ว แอบเห็นด้วยหลายๆ ข้อเลยค่ะ โดยเฉพาะตอนที่บอกว่า ช่วงเรียนรู้คือช่วงที่ไม่มั่นคงที่สุด แต่ถ้าเราผ่านไปได้เราก็จะมีประสบการณ์ที่มีค่ามาก 

เหมือนที่คุณอาร์มเรียนรู้การเป็นนักเขียนฟูลไทม์ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาอย่างไม่ย่อท้อ แม้ว่านิยายเรื่องที่สองจะมีคนอ่านน้อยลง แต่เขาก็ตั้งใจเขียนต่อไปจนจบ เพื่อนักอ่านที่ยังคงติดตามและคอยให้กำลังใจกันอยู่เสมอ  

 

โดยระหว่างนั้นเขาเองก็ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดหลายๆ อย่าง  ไม่ว่าจะเป็นการวางพล็อตให้น่าติดตาม ตลอดจนศึกษาตลาดนิยาย และแนวนิยายที่เป็นกระแสว่ามีความน่าสนใจในจุดไหน  และถ้าหากเขานำมาต่อยอดด้วยการเขียนในสไตล์ที่ตัวเองชอบเรื่องราวจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เขาคิดและนำมาเริ่มต้นใหม่ในนิยายเรื่อง กู่ลี่จิน 谷丽金 จอมนางอักษรทองคำ ที่กำลังฮิตติดท็อปอยู่ในตอนนี้นั่นเองค่ะ  

 

นอกจากนี้ ความสำเร็จของนิยายเรื่องนี้ ยังมาจากสิ่งที่เขาทำมาตลอดอย่างการอัปนิยายทุกวัน และการตรวจเช็คคำผิดอยู่เสมอด้วยนะคะ  แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ  น้อยๆ แต่นักอ่านที่เห็นความเอาใจใส่ของเขามาโดยตลอด และเห็นว่าเขาเองก็ตั้งใจเขียนนิยายจนจบทุกเรื่อง  ย่อมเชื่อในตัวผลงานและตัดสินใจสนับสนุนนิยายเรื่องนี้กันอย่างไม่ลังเล  เราจึงไม่แปลกใจเลยที่นิยายเรื่องนี้จะพุ่งขึ้นไปติดท็อปนิยายทุกหมวด และขึ้นไปติดท็อปนิยายขายดีได้ทุกครั้งที่มีการอัปเดต!

เห็นกันแล้วใช่ไหมว่า ถ้าเราผ่านอุปสรรคมาได้ เราก็จะเจอประสบการณ์ที่มีค่า อย่างที่คุณอาร์มบอกเอาไว้เลย เราหวังว่าเรื่องราวของคุณอาร์มที่นำมาแบ่งปันกันในวันนี้  จะทำให้ทุกคนได้แรงบันดาลใจดีๆ และมีไอเดียไปแต่งนิยายของเรากันนะคะ  เราเชื่อว่าทุกคนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จเหมือนคุณอาร์มได้ ขอเพียงเชื่อมั่นในจินตนาการของตัวเอง ไม่หยุดเรียนรู้  และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่เจอ  สักวันความฝันของเราจะต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอนค่ะ ดังนั้น มาเริ่มต้นเขียนนิยายเพื่อทำความฝันของเราให้สำเร็จกัน!

เริ่มต้นเขียนนิยาย

พี่แนนนี่เพน

 

อ่านนิยายของ Whale Ink

 

พี่แนนนี่เพน
พี่แนนนี่เพน - Columnist สาวเหนือที่มีความสุขกับการเขียนนิยาย และเชื่อว่านิยายให้อะไรดีๆ กับสังคมเสมอ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

Tamako Member 27 ม.ค. 65 11:36 น. 1

เราดองเรื่อง ทำสวน? ใครว่าง่าย It's not easy to be a Farmer แล้วลืมไปจริงๆ เดี๋ยวไปตามอ่านต่อนะไรท์ แต่ตอนนี้ขอตามแม่ลี่จินก่อนนะ5555

0
กำลังโหลด

1 ความคิดเห็น

Tamako Member 27 ม.ค. 65 11:36 น. 1

เราดองเรื่อง ทำสวน? ใครว่าง่าย It's not easy to be a Farmer แล้วลืมไปจริงๆ เดี๋ยวไปตามอ่านต่อนะไรท์ แต่ตอนนี้ขอตามแม่ลี่จินก่อนนะ5555

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด